ในนามของความเป็น "เนม" ปราการ ไรวา
เรื่อง : ณัฐพล ศรีเมือง
ภาพ : รัชพล บุญเลิศ
ในนามของส่วนตัว ตอนนี้ เนม ปราการ ไรวา ถือว่าตัวเองและผองเพื่อนเป็นศิลปินเพลงเต็มตัว ในฐานะที่เขาเป็นนักร้องนำวง Getsunova เจ้าของซิงเกิ้ลฮิตถล่มทลาย"ไกลแค่ไหนคือใกล้" และเร็วๆ นี้เราจะได้ฟังเพลงและผลงานของพวกเขาแบบเต็มอัลบั้ม
ในนามของสมาชิกครอบครัว ในฐานะทายาทธุรกิจ S&P เชนร้านอาหารและอุสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่ของไทย เขารู้สึกว่าตัวเองต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ มากกว่าการทำงานร่วมกับครอบครัว
ชีวิตทั้งสองด้านของเนม ด้านของดนตรีและธุรกิจ อาจดูเหมือนต่างมีเส้นทางดำเนินควบคู่กันไป และถือว่าเป็นความพยายามอย่างหนักหน่วงของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่เดินทานบนหนทางของการค้นหาตัวเองและพิสูจน์ความสามารถในทุกๆ ด้าน
เราต่างก็ล้วนอยู่บนวิถีนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่เรื่องราวและประสบการณ์ของเราย่อมต่างกัน
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ชายหนุ่มชื่อ ปราการ ไรวา อยากบอกเล่า
Walk The Line
ตอนนี้นอกจากการร้องเพลง โปรเจกต์ที่กำลังจะผุดขึ้นตามมาของเนม ก็คือธุรกิจร้านอาหาร นับเป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของเขาเอง แยกออกมาจากเอสแอนด์พี ไม่เกี่ยวกับครอบครัว
ธุรกิจอาหารนั้นอยู่ในสายเลือด แต่ไลฟ์สไตล์และเวิร์คสไตล์นั้นกลับแตกต่างออกไปจากครอบครัว เขาเคยทำงานในบริษัทของครอบครัว แต่ก็พบว่านั่นไม่ใช่สไตล์ของตัวเอง เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความฉับไว ทันใจ กล้าเสี่ยง และตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
เนมบอกว่าหลักการสำคัญของยุคสมัยนี้ ก็คือความสะดวกสบาย ธุรกิจร้านอาหารเป็นความสนใจของเขาอยู่แล้ว เขาชอบชิมอาหารแปลกใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ และเชื่อว่าธุรกิจของตัวเอง จะเป็นงานครีเอทีฟที่รับประทานได้
“ครอบครัวเราทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารอยู่แล้ว จึงง่ายมากที่ผมจะไปเรียนรู้ระบบงานของการบริหารร้านอาหาร แค่ถามคนโน้นคนนี้ คือมีทุกอย่างให้เราเก็บข้อมูล ซึ่งเราก็ได้เข้าไปพูดคุยกับพี่ๆ ที่เขาดูแลแต่ละด้าน แล้วก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาทำเอง เพราะว่ายังไงเราก็อยากจะสร้างอะไรขึ้นมากับมือเอง ผมอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ เรามีไอเดียของเราแล้วมันโอเค แต่ยังไงๆ ก็ไม่ทิ้งเอสแอนด์พีอยู่แล้ว” เนมยิ้มเมื่อพูดถึงครอบครัว
เนมมองว่าตัวเองไม่ได้นักธุรกิจแบบจริงจัง แต่มีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว เขาอยากทำธุรกิจแบบมีสีสันอย่างศิลปิน เพราะว่าเวลาทำงานแต่ละโปรเจ็กต์ เขาต้องมีเพื่อนคนหนึ่งหรือใครสักคนที่เป็นหัวบริหาร หัวแมเนจเมนต์ หรือไฟแนนซ์ ไม่งั้นเขาทำเองไม่ได้ เรื่องตัวตัวเลขอย่ามาพูดกับเขาเลยดีกว่า เขาจะเป็นสายครีเอทีฟ สายไอเดีย ออกแบบคอนเซ็ปต์ ธีมต่างๆ
“ผมว่าคุณสมบัติในการทำธุรกิจในยุคนี้หรือทำงานอะไรก็ตาม คือการที่คิดเองทำเอง คือมีความเป็นเอกลักษณ์ มีความชัดเจน และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ อย่าแค่ไปตามเทรนด์คนอื่น คุณต้องเชื่อในโปรดักต์ของคุณ หรือเชื่อในธุรกิจของคุณว่ามันแตกต่าง ก็เหมือนงานศิลปะ เหมือนงานเพลง ถ้าอยากเป็นนักร้อง ก็ไม่ใช่เห็นภาพว่าอยากเป็นคนนั้นคนนี้ ต้องทำท่านี้ ร้องอย่างนี้ จุดต่างที่ว่ามีนักร้องเยอะแยะ แต่ทำไมมีไม่กี่คนที่ได้ขึ้นไปเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ก็เพราะว่าเขามีเอกลักษณ์ ก็เหมือนธุรกิจที่อาจจะมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าคุณไม่มีจุดสนใจหรือมีอะไรที่ทำให้คนสามารถพูดถึงหรือพูดต่อได้ มันก็กลายเป็นร้านอาหารหนึ่งที่ธรรมดาไม่ได้น่าสนใจอะไร”
นี่ดูจะเป็นจุดที่เชื่อมกันของตัวตนสองด้านของเขา คือการทำธุรกิจและความเป็นศิลปิน เขาเป็นศิลปินที่ดูสนุกสนานกระตือรือร้นที่จะทำธุรกิจในมุมของเขา เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่ได้เข้าไปลึกนัก แต่มันคือสิ่งที่เขาอยากทำมานานแล้ว
"เรื่องร้องเพลงผมถือว่าตัวเองเกินเป้าหมายชีวิตนักดนตรีไปตั้งนานแล้ว รู้สึกว่าถ้าอยากจะพิสูจน์อะไรตัวเองอย่างหนึ่งก็คือการลองทำธุรกิจ ทำกิจการอะไรสักอย่าง ที่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยในปัจจุบันนี้และทำให้พ่อแม่เห็นว่าเราก็ทำตรงนี้ได้"
Somewhere Far Beyond
วงเก็ทสึโนว่ามีซิงเกิ้ลเปิดตัวมาตั้งแต่เมื่อปี 2551 และยังคงทะยอยออกซิงเกิ้ลใหม่มาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เคยมีอัลบั้มเต็ม แต่เร็วๆ นี้ ขอให้เราเฝ้าติดตาม พวกเขาเตรียมจะปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาแล้วครับ
จุดเปลี่ยนในชีวิตการเป็นนักร้องของเนมคือตอนที่วงเก็ทสึโนว่าปล่อยซิงเกิ้ล 'ไกลแค่ไหนคือใกล้' ออกมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว และฮิตระเบิดในระดับปรากฏการณ์ ปัจจุบันมียอดวิวในยูทูปสูงถึง 170 กว่าล้านวิวในตัว Audio และอีกกว่า 15 ล้านวิว สำหรับตัวมิวสิควิดีโอ อย่างที่ไม่มีเพลงไทยเพลงไหนทำได้
เนมบอกว่าแค่เห็นตัวเลขล้านวิวแรก พวกเขาก็ดีใจจนตัวลอยแล้ว แถมเพลงนี้ส่งให้วงเก็ทสึโนว่าของเขากับเพื่อนๆ กลายเป็นวงที่ได้รับการยอมรับ และมีงานชุกจนถึงทุกวันนี้
ก่อนหน้าที่จะออกซิงเกิ้ลยอดฮิตนี้ เนมไม่เคยเทรนเรื่องการร้องเพลงเลย เขาเล่าว่าที่ผ่านมา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เยอะแยะมากมาย
ไอ้หมอนี่ร้องเพลงห่วย … เสียงแย่มาก … เนมทำหน้าจริงจัง บอกว่าเขายอมรับเสียงสะท้อนเหล่านี้ และหันไปเรียนร้องเพลงอย่างเอาจริงเอาจัง
“เขาสอนเบสิคของการบริหารเสียง วอร์มเสียง ดึงเสียงหรือวิธีการร้องที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าร้องแบบนี้ได้ออกมา จนกลายเป็นทุกวันนี้เวลาร้องเพลงจะร้องแบบนี้ แบบเสียงที่ร้องอยู่ ออกแหบนิดนึง ออกลมๆ รู้สึกว่าเป็นตัวเองดี เป็นเอกลักษณ์ เลยร้องแบบนี้มาเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่าไม่มีใครร้องแบบผมในเมืองไทย ค่อนข้างชัวร์ว่าไม่มีใครเลียนแบบเสียงผมได้ ทุกครั้งที่ผมร้องเพลงคนจะรู้ว่านี่คือเสียงผม รู้สึกว่ามันดีมาก”
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่คงเป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็ํจท่วมท้นของ ไกลแค่ไหนคือใกล้ เพราะเนมนำเสียงร้องแบบนั้นมาใช้เป็นครั้งแรกในซิงเกิ้ลนี้
“ผมพูดกับเพื่อนว่า ถ้าเพลงนี้ปล่อยมาแล้วเงียบอีก กูจะเลิกร้องแล้วนะ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า” เนมหัวเราะก๊าก
ในฐานะที่ฝันเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก และทุกวันนี้ก็เกินภาพฝันไปแล้ว GMถามเนมด้วยความอยากรู้ว่า แล้วชีวิตการทัวร์คอนเสิร์ตล่ะ การเป็นร็อคสตาร์ล่ะ เหมือนที่คิดไว้มั้ย เนมปฏิเสธเป็นพัลวันว่าเขาไม่ใช่ร็อคสตาร์หรอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องทัวร์คอนเสิร์ตอย่างออกรสอีกครั้ง
“ผมก็มีภาพในหัวว่า โอ้โห ไปทัวร์คอนเสิร์ต ต้องเป็นเหมือนวงฝรั่ง ไปแล้วปาร์ตี้ตลอด มีกรุ๊ปปี้มา ในความเป็นจริงและในเมืองไทย มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แรกๆ ตอนที่ต้องไปทัวร์ ก็คือนั่งรถตู้ไป 4-5 ชั่วโมง ไปขอนแก่น อุบลฯ ตอนแรกๆ ไม่ได้บิน พวกเราต้องเซฟคอสต์ ตีรถตู้ไป 4-5จังหวัด ไปอยู่โรงแรมที่ก็ดีที่สุดของจังหวัดนั้นแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยโอเคสำหรับเรา ซึ่งเราก็ต้องยอมอยู่ ยอมรับว่าก็ช็อคเหมือนกันตอนที่ต้องทำอย่างนั้น อย่างเข้าไปห้องโรงแรมหนึ่งแล้วมีรูกระสุนอยู่ตรงกระจก มีผงมีผีอะไรอย่างนี้ ก็ต้องทำ ก็ผ่านมาแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะเราก็ได้ไปเที่ยวจังหวัดที่เราไม่เคยคิดว่าจะไปถ้าเราไม่ได้ไปทำงาน มันก็ไม่ได้ลักชัวร์รี่เหมือนที่หลายๆ คนคิดว่ามันเป็น”
เนมเล่าว่าชีวิตการเดินสายค่อนข้างจำเจ ขึ้นรถตู้ ไปถึงสถานที่ นั่งรอซาวน์เช็ค ซาวน์เช็คเสร็จกินข้าว นั่งรอเล่นโชว์ บางทีเที่ยงคืน ตื่นเช้ามาก็ออกเดินทางต่อ
“แต่มันก็เป็นพาร์ทของการเป็นนักร้อง ความสนุกนั้นอยู่บนเวทีอย่างเดียว คือการร้องเพลงและได้เห็นปฏิกิริยาของคนดูว่า เราสามารถบิวด์ให้คนสนุกได้มากน้อยแค่ไหน” เนมหลับตานึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา
“บางงานไปคนนั่งนิ่งยืนนิ่งไม่สนใจ ผมก็ไม่สนใจ เพราะผมคิดว่าพลังจากคนดูมันส่งขึ้นมาให้นักดนตรี ยิ่งคนดูสนุกกับเรา เราก็ยิ่งเล่นดีขึ้นร้องดีขึ้น แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ที่เราไปร้องเพลงแล้วคนไม่สนใจเรา ก็จะรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ คือจะไม่อิน ผมเป็นคนทำอะไรตามความรู้สึก บิวด์มีบ้าง แต่เราก็ไม่ชอบบังคับคน ถ้าคุณจะไม่อินกับผมผมก็ไม่อินกับคุณ ผมไม่ได้เป็นคนที่ต้องมาพลีสเขา ผมทำงานในฐานะนักร้อง ผมเป็นเพอร์ฟอร์เมอร์ ผมอาจจะไม่เหมือนนักร้องคนอื่นตรงที่ผมไม่ค่อยแคร์หรอกว่าคนจะคิดว่าผมเป็นยังไงหรือผมวางตัวยังไง ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมเชื่อว่าผมเป็น ผมก็ทำแบบนี้”
The Dark Side of Me
หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าก่อนจะมาเป็น Getsunova เนมเคยเป็นนักร้องออกอัลบั้มเดี่ยวมาก่อน เมื่อปี 2549 ตอนนั้นเขาเป็นหนุ่มน้อยเพิ่งจบมัธยมที่อังกฤษ เขามีฐานะเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่อยู่แล้ว เมื่อได้รับการชักชวนให้มาออกเทปเขาก็รีบกลับมาทันที
“ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ ร้องไห้ ขอดร็อปเรียนไปปีหนึ่งเพื่อมาออกเทป ดื้อมาก ทะเลาะกันเลย” เนมเล่า
พอได้มาออกเทป เขาก็ถูกจับแต่งตัว จับร้องเพลง ทุกอย่าง ไม่ได้คิดอะไรเลย มันก็ออกมาอย่างที่เห็น คือออกมาแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วมากๆ ไม่ว่าจะน่าเสียดายแค่ไหนก็ตาม เนมบอกว่าก็ดีแล้วที่มันจบไป เพราะว่าไม่งั้น เขาก็ไม่ไปเจอเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ตอนนี้เป็นวงเก็ทสึโนว่าด้วยกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เขาต้องต่อสู้กับครอบครัวเพื่อให้ได้ทำความต้องการของตัวเอง แต่เขาบอกว่าต้องต่อสู้มาตลอด
“ผมถูกส่งไปเรียนอังกฤษตั้งแต่อายุยังไม่สิบขวบ อยู่โรงเรียนประจำผู้ชายล้วน พูดได้สองคำ คือเยสกับโน”
เนมเล่าว่าช่วงแรกๆ แย่มาก คิดถึงบ้านมาก ต้องโทรหาพ่อแม่วันละสองสามครั้ง ซึ่งเมื่อก่อนการโทรก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ จนเฮดมาสเตอร์สั่งว่าห้ามโทรศัพท์หาพ่อแม่
พอเข้ามัธยมก็อยู่โรงเรียนประจำที่เป็นโรงเรียนเก่าแก่ มีกฎระเบียบเยอะแยะมากมาย ทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องดูแลตัวเองมากๆ การเติบโตที่อังกฤษจึงสอนให้เขากลายเป็นคนมีโลกส่วนตัว เพราะต้องทำอะไรเอง ช่วยตัวเอง ไม่มีใครมาช่วยเหมือนอยู่เมืองไทย
จนถึงตอนที่ต้องเลือกมหาวิทยาลัยหรือวิชาที่จะเรียน แม่อยากให้เรียนหมอ เรียนธุรกิจ แต่เขาไม่เอาเลย เพราะไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับตัวเลข
สุดท้าย เขาเลือกเรียนวิชา History of Artและนั่นคือจุดเริ่มต้นหนึ่งปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา
"พอไปอยู่ลอนดอน อิสระ ใจแตก ไม่ไปเรียน เที่ยวอย่างเดียว สำมะเลเทเมา หนึ่งปีที่ตกหลุม มืดสุดๆ ทุกทำทุกอย่าง ลองทุกอย่าง คือเป็นคนไม่มีอนาคต กิจวัตรประจำวันตอนนั้นคือ นอนเก้าโมงเช้า ตื่นห้าโมงเย็น ไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์ ตื่นมาเที่ยวกลางคืน กลับมาทำโน่นทำนี่ นอน อย่างนี้เป็นเดือน เป็นปี ไม่มีใครคอนโทลเราอยู่อังกฤษคนเดียวดูแลตัวเอง This is my life คือตอนนั้นมันคิดไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ไม่มีใครมาไกด์เรา เราเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวพ่อแม่อยู่เมืองไทย อยู่อังกฤษเราไม่ต้องทำอะไร เมืองสนุก เราก็สนุกของเรา หาตัวเองไม่เจอ"
จุดสิ้นสุดพฤติกรรมมาถึง เมื่อวันหนึ่งพ่อได้รับจดหมายผลการเรียนที่เป็นศูนย์ทุกวิชาของลุกชาย ที่เคยเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด เมื่อกลับไปเจอหน้าพ่อแม่ เขาบอกว่าไม่เป็นโมเม้นต์ที่มืดหม่นที่สุดในชีวิตแล้ว
"สิ่งที่ทำให้คิดได้คือ ภาพพ่อแม่ร้องไห้ เขารู้ว่าเราไม่ได้ไปเรียนเลยปีนึง เราเอาเวลาไปทำอะไร เราก็ตอบตัวเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะจำอะไรไม่ค่อยได้เลย ช่วงปีนั้น 18-19
เป็นช่วงที่ผมจำไม่ได้เลย ว่าทำอะไรกับร่างกายไปตัวเองไปเยอะขนาดไหน เป็นคืนที่แย่ที่สุดแล้วในชีวิต เพราะรู้สึกว่าเราทำให้เขาผิดหวังมากๆ จากการที่เขาไว้วางใจ มันเป็นช่วงที่ดาร์กที่สุดของชีวิตของผมแล้ว กลับไปคิดแล้ว...โคตรเลวเลย"
หลังบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิต เขาสมัครเข้ามหาวิทยาลัย London College of Fashion เลือกเรียนสายบริหารธุรกิจแฟชั่น เพราะสนใจวงการแฟชั่นมานาน ก็จบมาได้ แล้วก็กลับเมืองไทย
“กลับเนื้อกลับตัว พยายามซึมซับสิ่งดีๆ จากโอกาสที่เราได้ไปอยู่ที่เมืองนอกมาให้ได้มากที่สุด มันก็เหมือนเป็นการกรูมมิ่งให้เราเป็นคนแบบที่เราเป็นตอนนี้ หลายๆ คนมองผมคิดว่าผมเป็นคนที่นิ่งๆ ดูเนี้ยบๆ ก็ได้ตรงนี้มาจากการที่เรามีเพื่อนเป็นคนอังกฤษ ได้ใช้ชีวิตแบบคนอังกฤษ เพราะส่วนใหญ่เนี้ยบกันจริงๆ แล้วก็ดูแลตัวเอง วางตัวดีกับสังคม ตรงนี้ได้มาเต็มๆ จากอังกฤษ”
In the Name of 'Name'
มันอาจจะซึมซับมาจากการอยู่คนเดียวที่อังกฤษ บวกกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ เนมบอกว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนค่อนข้างดาร์ก เศร้า ไม่ได้เป็นคนร่าเริงมาก และไม่ค่อยเปิดตัวเองเท่าไหร่
“สังเกตง่ายๆ เลย ผมร้องเพลงแฮปปี้ไม่ค่อยขึ้น คือตัวเองไม่ได้เป็นคนแฮปปี้ขนาดนั้น ถึงต้องร้องแต่เพลงเศร้า เพราะจะรู้สึกอินกับความเศร้ามากกว่า จริงๆ แล้วผมเป็นคนไม่ค่อยเฟรนลี่มากขนาดนั้น บางคนที่เจอแรกๆ จะไม่ค่อยกล้าเข้ามาคุย เพราะผมจะหน้านิ่งหรืออะไรก็ตาม แต่สำหรับคนที่รู้จักผมแล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ได้ปิดอะไรนะ ใครอยากถามอะไรผมก็พูดได้หมด แต่พื้นฐานแล้วผมเป็นคนที่มีความเศร้าอยู่ในตัวเยอะ... ไม่ใช่เศร้าแต่คือมันไม่ได้ต้องแฮปปี้ตลอดเวลา เป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้น่ะ”
ความสุขอย่างหนึ่งของเขาคือการมีผู้หญิงสักคนมาเป็นคู่คุยคู่คิด และก็เป็นเรื่องผู้หญิงนี่เองที่ทำให้เขาเสียสมาธิได้มากที่สุด
“จริงๆ แล้วไม่ควรนะ คือเราควรจะยึดมั่นในอารมณ์ของตัวเองได้ แต่มันเป็นอะไรที่ผมเป็นมาตลอด คือแพ้ผู้หญิง ถ้ามีปัญหากับผู้หญิงอยู่ก็จะมาเอฟเฟ็กต์เรื่องงานเรื่องอารมณ์ทุกอย่างเลย บางทีทำงานไม่ได้เลยก็มี แต่ถ้าเรามีความสุขทุกอย่างก็จะดีขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นคนที่บอกว่าชอบอยู่คนเดียว แต่ก็อยู่คนเดียวไม่ได้เหมือนกัน (หัวเราะ) คือชอบอยู่คนเดียว แต่ชอบรู้ว่ามีคนหนึ่งกำลังคิดถึงเราอยู่”
เรื่องมีครอบครัว เนมบอกว่ายังไม่อยากรีบ ในวัย 28 เขารู้ตัวว่าตัวเองยังไม่โต ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ และยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำ เขาคิดว่าอยากจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุดก่อน
“ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากรีบโต ถึงแม้ว่าผมก็ไม่ได้เด็กแล้วก็ตาม ผมอยากจะให้ความเป็นเด็กอยู่กับผมไปตลอดด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าความเป็นเด็กในตัวของผู้ใหญ่ทุกคนมี แต่เขาเลือกที่จะโชว์ออกมามากน้อยแค่ไหน ผมว่าความเป็นเด็กมันทำให้เรามี creativityทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่าการเป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องมานั่งเครียดซีเรียสตลอดเวลา ผมพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้อะไรตลอดเวลา”
อะไรคือความยากที่สุดของการเกิดมาเป็น ปราการ ไรวา?
“ยากที่สุดจริงๆ คือการค้นหาตัวเอง ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ผมก็ยังค้นหาตัวเองอยู่นะ คือมันยังไม่เจออะไรที่แบบ... นี่แหละคือชีวิตที่เราอยากจะเป็น นี่แหละชีวิตของเรา ผมเป็นคนที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวัยตามสมัย รู้สึกว่ายังไม่เจอจุดกลาง ตลอดมาเวลาทำอะไร เราอยากให้เป็นที่ยอมรับของครอบครัว เพื่อนๆ หรือสังคม รู้สึกว่ายังต้องพิสูจน์ตรงนี้ต่อไป ให้พ่อแม่ได้เห็นว่า นอกจากการเป็นนักร้องแล้ว เราทำอะไรอย่างอื่นได้ ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคม ตรงนี้ยังหาไม่เจอ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป คืออะไรก็ได้ ธุรกิจหรือโครงการอะไรสักอย่างหนึ่ง”
กลัวความล้มเหลวมั้ย?
“กลัวครับ” เนมยอมรับตามตรง “เพราะว่าเคยล้มเหลวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับเพลง กับวงเอง หรือทำธุรกิจล้มเหลวก็เคยมาแล้ว แต่ว่าถ้าเราไม่รู้จักคำว่าแพ้ คำว่าล้มเหลว ผมว่าเราก็จะไม่รู้จักคำว่าความสำเร็จ หรือชัยชนะ มันก็เป็นเลิร์นนิ่งครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเป็นเลิร์นนิ่งหมด มันทำให้เรามีความรู้มากขึ้น มีภูมิต้านทานมากขึ้น กับสิ่งที่เราต้องเจอในชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม”
ฟังเรื่องราวหนทางการพิสูจน์ตัวเองของเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เรานึกไปถึงท่อนแรกของเนื้อเพลง Blowin' in the wind ของ บ็อบ ดีแลน ที่ร้องว่า 'How many roads must a man walk down, before you call him a man?
เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองไปถึงจุดไหน และเมื่อไหร่ คำตอบอาจจะอยู่ในสายลม เหมือนอย่างที่เพลงว่าไว้
แต่บางทีก็อาจจะเป็นเขาเองนั่นแหละ ที่รู้คำตอบนั้นดีกว่าใครๆ