ดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ “ผมไม่ใช่ดารา แต่เป็นนักแสดงที่กดด้านมืดของตัวเองเอาไว้”
ดุ๊ก-ภาณุเดช วัฒนสุชาติ นักแสดงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงยาวนานมากว่า 20 ปี บทบาทที่เขาได้รับและมักถูกจดจำได้เสมอคือบท “ตัวร้าย” จนทำให้ในอดีตที่ผ่านมาเขาเคยได้รับรางวัลเมขลาการันตีความสามารถด้านการแสดง
แม้ปัจจุบันป้ายปลดเกษียณจะแขวนไว้ตรงบทบาทการเป็นนักแสดงของเขาแล้วก็ตาม หากแต่หน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะคนเบื้องหลัง ดุ๊ก-ภาณุเดช ยังคงสวมหมวกอีกหลายใบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงานที่เขารักและรู้สึกมีความสุข
Sanook! Men พาทุกคนไปทำความรู้จักและเปิดมุมมองของผู้ชายมากความสามารถที่ตั้งใจวางตำแหน่งตัวเองไว้เพียงแค่การเป็น “นักแสดง” และปฏิเสธคำว่า “ดารา” มาตลอดชีวิตในวงการบันเทิง
ฉายแววตั้งแต่วัยเยาว์
แม้จะรู้จักว่าตัวเองดีว่าเป็นเด็กผู้ชายนิ่งๆ เงียบๆ เล่นกีฬาไม่เก่ง แต่ในด้านความคิดสร้างสรรค์ ความหลงใหลในงานศิลปะ การชอบทำกิจกรรม และการแสดงแล้ว ต้องบอกเลยว่าเขามีพื้นฐานมาตั้งแต่เด็ก
“ตอนเด็กๆ โชคดีที่ครอบครัวพี่ได้ไปอยู่ในหมู่บ้านพนักงานบริษัทไทย ออยล์ คุณพ่อพี่ทำงานเป็นผู้จัดการ แล้วหมู่บ้านนั้นจะมีพนักงานฝรั่งที่เขาพาครอบครัวเขามาอยู่ด้วย เราเลยได้คลุกคลีกับเด็กฝรั่ง หัดพูดภาษาอังกฤษ มีเพื่อนและตั้งเป็นสโมสรเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านนั้น
พี่เรียนโรงเรียนประจำที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา แต่เราเป็นนักเรียนแบบไป-กลับ เวลาไปโรงเรียนเราก็นั่งอยู่ใต้เสาตึกโรงเรียน เล่นบอลก็เตะไม่โดนลูก จนรู้สึกแปลกแยก แต่ถ้ามีงานเล่นรอบกองไฟจะถือว่าเป็นไฮไลท์ของเราเลย เราจะเต็มที่ บ้าบอ เราเลยเอาไอเดียนี้มาจัดงานกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน”
ถ้าลองนึกภาพย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาเรียนอยู่ระดับชั้นประถมจนถึงมัธยมต้น เราคงได้เห็นภาพดุ๊ก ภาณุเดชเป็นนักกิจกรรม เขียนแผ่นโฟม ทำการ์ดปีใหม่ เตรียมงาน จัดการแสดง จนทำให้เขากลายเป็น Organizer มืออาชีพตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานให้กับอาชีพของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลงใหลบทบาทการเป็นนักแสดง
ด้วยความรักในงานศิลปะเขาจึงวางแผนจะเข้าเรียนในสาขาวิชาด้านการออกแบบและตกแต่งภายใน จึงตัดสินใจเข้ามาติววิชาศิลปะที่กรุงเทพฯ เพื่อสอบเอ็นทรานซ์ ระหว่างนั้นมีโอกาสไปดูละครเวทีก็รู้สึกชอบ และคิดว่าอยากทำ แต่ความอยากนั้นก็ค้างคาอยู่จนกระทั่งได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ
“ผมพยายามสอบเอ็นทรานซ์ให้ติดคณะออกแบบและตกแต่งภายในพยายามอยู่ 3 ปี ก็ไม่ได้ ระหว่างนั้นผมเรียนรามไปด้วย เพื่อนก็ชวนไปประกวดหนุ่มแพรว ผมติด 1 ใน 10 ทำให้มีงานโฆษณาติดต่อเข้ามาบ้าง จนไปเรียนที่ม.กรุงเทพฯ รุ่นพี่ก็มาชวนไปเล่นละคร แล้วมีผู้จัดการชื่อพี่ปิ่นชวนไปเล่นละครของอ.เสรี ที่กำลังทำโรงละครแข่งกับโรงละครมณเฑียรทอง ตอนนั้นเจอกับพี่ต้อ มารุต เขาให้เป็นเล่นเป็นตัวประกอบเรื่องล่มเรือรัก ตอนนั้นไม่กล้าบอกที่บ้านเพราะคุณแม่ไม่อยากให้ทำงานแบบนี้ แต่เราแค่อยากแสดง”
หลังจากนั้นเขาก็ได้เล่นละครเวทีเรื่อยมาจากบทตัวประกอบมาเป็นพระรองและได้รับโอกาสการฝึกฝนจากคุณต้อ มารุต สาโรวาท และคุณหนุ่ย อภิดล ศิริทรัพย์ จนกระทั่งต่อมาได้รับโอกาสให้เป็นพระเอกละครเวที และได้รับรางวัลหน้ากากทองคำซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับนักแสดงละครเวที
“ตอนนั้นพี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่ต้องไปเล่นประกบกับนักแสดงเก่งๆ หลายคน เราเล่นไปเหงื่อก็แตกไป นักวิจารณ์ก็บอกว่าเล่นลิ้นรัวไป”
จากนั้นผลงานด้านการแสดงของเขาก็ไปเข้าตาผู้ใหญ่ค่ายกันตนาอย่างคุณสุชีรา กัลย์จาฤกและคุณรสริน กัลย์จาฤก ซึ่งชักชวนให้เขาเล่นละครทีวีเรื่องแรกและต่อมาคุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ก็ชวนให้มารับบท “ชีพ” ตัวร้ายในละครสุสานคนเป็น ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงและได้รับรางวัลเมขลาสาขาผู้แสดงบทร้ายชาย ปี 2534 จากละครเรื่องเดียวกัน
ผมเป็น “นักแสดง” ไม่ใช่ “ดารา”
หลังบทร้ายในละครสุสานคนเป็นได้รับการยอมรับ เขาถึงกับตั้งตัวไม่ติดกับความโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน จึงตัดสินใจจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางไปหาเพื่อนที่ฮ่องกง เพื่อทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตอนคุณแดงโทรมาชวนผม ผมก็ว่าบทมันน่าเล่น แต่ไม่รู้ว่ามันเด่น ก็เล่นไปถ่ายไป ตอนนั้นมีโฆษณาไดเนอร์คลับด้วย เลยดังมาก แต่เราก็ไม่ได้วางแผนว่าจะเป็นดาราดัง ตอนนั้นลงมาจากหอพักพอเดินไปถึงแยกปุ๊บ รถที่ติดๆ อยู่บนถนน คนในรถถึงกับเปิดประตูแล้วออกมาเรียก “ ไอ้ชีพ” เราตกใจได้แต่ยกมือไหว้แล้ววิ่งหนีเข้าห้อง ตอนนั้นรู้สึกเลยว่าโลกของเรามันแคบลง ไม่มีอิสระเหมือนก่อน เลยหนีไปหาเพื่อนที่ฮ่องกง ไปอยู่ที่นั่นก็เดินร้องเพลงตามถนนเหมือนที่เราเคยทำ เลยต้องบอกกับตัวเองว่ากลับไปเราต้องเป็นคนอีกคนหนึ่ง ต้องวางตัวเองไว้ว่าเราไม่ใช่ดารา แต่เราจะเป็นนักแสดง เราต้องรักษาตรงนี้ไว้”
เมื่อคุณดุ๊กเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยก็กลับไปถ่ายละครสุสานคนเป็นต่อ แม้จะมีกระแสความคลั่งไคล้และแฟนละครเดินทางมาดูกองถ่ายละครแบบตามติด แต่ก็ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเขาได้กลายเป็น Somebody ไปเรียบร้อยแล้ว
“ผมกลับมาวางตำแหน่งตัวเองใหม่ เป็นพระเอกบ้าง เป็นพระรองบ้าง เราเลือกบทที่ใช้ฝีมือ ได้พัฒนาฝีมือของตัวเอง ผมเลยได้ตำแหน่งนี้มา ตำแหน่งที่ไม่ใช่พระเอก เรารู้สึกว่าเราเป็นนักแสดง คนทั่วไปก็มองเราว่าเราเป็นคนที่มีทักษะเรื่องการแสดง เราขายตรงนี้มากกว่าขายความเป็นพระเอก”
ความสุขมาก่อน แล้ว “เงิน” จะตามมา
เขาเป็นนักแสดงที่รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาตั้งตำแหน่งตัวเองไว้เป็นพระเอกตั้งแต่แรกสักไม่กี่ปีคงมีเงินก้อน รวยเร็ว แต่เขากลับเลือกทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำด้วยตัวเอง เลือกทุกสิ่งทุกอย่างโดยใช้ความสุขเป็นเข็มทิศ
“ผมเลือกสิ่งที่อยากทำก่อน แล้วเงินจะตามมาที่หลัง เพราะเราทำด้วยใจรัก เด็กๆ ในวงการบันเทิงสมัยนี้พี่ก็เห็นด้วยนะที่เขาจะวางแผนการตลาดตัวเองได้ดี แต่ก็ขอให้เขาทำงานนี้ด้วยความรัก แต่พี่ก็ไม่กล้าไปสอนเขาหรอกว่าเรื่องเงินเรื่องเล็ก เพราะเดี๋ยวนี้มันแข่งกันเยอะ แต่อยากฝากให้เอาไอเดียนี้ไปคิดนิดนึง ถึงเงินพี่จะน้อยในตอนนั้น แต่สิ่งที่พี่ได้มาพี่เอาเงินซื้อไม่ได้ คือความสุขจากการทำงาน”
ความสามารถด้านการแสดงของเขาที่ทำให้ผู้ชมติดตาและจดจำว่าเขาเป็น “ตัวร้าย” ส่วนหนึ่งคือประสบการณ์การที่เริ่มต้นจากการแสดงละครเวที เพราะการแสดงละครเวทีนักแสดงจะต้องสร้างความเชื่อ และถ่ายทอดเพื่อให้คนดูในแถวสุดท้ายรับรู้และคล้อยตาม
“ทุกวันนี้พี่เล่นละครพี่ก็เล่นเวอร์กว่าคนอื่น แต่มันสร้างความเชื่อได้ ทั้งหมดมันคือข้างใน เราทุกคนก็มี ในฐานะตัวร้าย เราทุกคนก็มีด้านมืดในตัว ไม่มีใครเป็นคนดีเต็มร้อย และพี่ใช้ตรงนี้กับเรื่องการแสดง ซึ่งถือว่าโชคดีที่เราได้แสดงด้านมืดของเราออกมาในช่องทางที่อนุญาตให้เราแสดงออกได้”
Somebody กับด้านมืดที่เราต้องยอมรับ
ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิงคงต้องยอมรับว่าตัวเองได้กลายเป็น Somebody ไปเรียบร้อยแล้ว หากแต่จะทำอย่างไรให้เรายังคงเป็นเราและอยู่อย่าง Somebody ได้
“เราต้องรู้ว่าการเป็น Somebody เราจะถูกมองจากทุกจุด และเราต้องพร้อมเสมอที่จะให้คนอื่นมองว่าคุณเป็นตัวอย่างที่ดี จะทำอะไรไม่ดีก็ต้องคิดให้เยอะ ถ้าคุณทำดีแล้วมีคนเลียนแบบคุณคงมีความสุขกว่า คุณทำไม่ดีแล้วมีแค่คนเดียวทำตามคุณ แต่การเป็น Somebody ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพิเศษเหนือใคร เพียงแต่คุณต้องควบคุมอารมณ์ ด้านมืด และเรียนรู้ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดี เดี๋ยวนี้ช่องทางการสื่อสารมันเยอะ ด่ากันออกทีวี ฯลฯ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกก็ลดๆ ลงหน่อย อย่าให้มากกว่านี้ พี่ก็ไม่กล้าแนะนำมาก แต่ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะพี่ก็มีด้านมืดที่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้เยอะ ยิ่งแก่ก็ยิ่งหลุดด้านมืดของตัวเองออกมาง่าย แต่โชคดีที่สุดท้ายเราก็กลับมารู้ตัวและถอยออกมาได้”
สิ่งที่สอนเราได้จากบทสัมภาษณ์ของผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นการรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร รู้ว่าตัวเองชอบอะไร รู้ว่าตัวเองรักอะไร และรู้ว่าตัวเองไม่ดีอะไรบ้าง เพราะเพียงแค่คุณรู้จักตัวเอง การใช้ชีวิตก็จะง่ายและมีความสุขขึ้น