“นิ้วกลม” เขียน สตีฟ จ็อบส์ ทำให้ผมคิดถึงคืนนั้น
สตีฟ จ็อบส์ ทำให้ผมคิดถึงคืนนั้น
1 จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ตอนนั้นผมอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดตัวเองจึงร้องไห้ให้กับฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่อง Steve Jobs ที่เล่าเหตุการณ์ (สมมุติ) ก่อนที่เขาจะเดินจากหลังฉากออกไปสู่หน้าเวทีที่ผู้คนทั้งโลกรอฟังการเปิดตัวคอมพิวเตอร์รุ่นเปลี่ยนโลก ผู้คนนับพันในหอประชุม แสงสปอตไลต์ฉายส่องมาที่เขา สื่อนับร้อยรอรายงานข่าวให้โลกสะเทือน
เช่นกันกับที่เราเห็น สตีฟ จ็อบส์ ในบทบาทเดียวกันนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เสื้อคอเต่าสีดำ กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ สินค้าตัวใหม่ ที่ควรเรียกว่า “นวัตกรรม” น่าจะถูกต้องกว่า นั่นคือภาพที่คนทั่วโลกประมวลเป็นคำหนึ่งคำว่า “ความสำเร็จ”
และเขาก็เป็น “อัจฉริยะ”
โลกมีอัจฉริยะมากมาย ขนาดความสำเร็จใหญ่เล็กต่างกันไป แต่แสงไฟจับไปที่พวกเขาเสมอ ต่างเวที ต่างวงการ เท่านั้นเอง
เราเห็นอัจฉริยะเหล่านี้ เรามีเขาเป็นไอดอล ชื่นชม อยากดำเนินรอยตาม ศรัทธา และทึ่งว่าอะไรกันที่ประกอบร่างพวกเขาขึ้นมาให้เก่งกาจถึงเพียงนี้
แต่เราเห็นเพียงข้างหน้าเวที
ที่ไม่เห็นคือเบื้องหลัง
หนังเรื่องนี้เลือกที่จะเล่า “เหตุการณ์เบื้องหลังเวที” ให้เราฟังอย่างเข้มข้น ฉายภาพให้เห็นว่าสตีฟ-ชายหนุ่มที่คนทั้งโลกชื่นชม มีวิธีจัดการกับความสัมพันธ์อย่างไรบ้าง
ทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างคนในครอบครัว และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน คนในทีม ลูกน้อง กระทั่งเพื่อนสนิทที่ร่วมคิดค้นและก่อตั้ง “แอปเปิ้ล” มาด้วยกันอย่าง สตีฟ วอซเนียก
โดยรวมเป็นความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่
สตีฟ จ็อบส์ โฟกัสกับความเป็นเลิศของผลิตภัณฑ์อย่างยิ่ง อย่างอื่นนอกจากนั้นไม่เพียงมีความสำคัญรองลงไป แต่อาจจะถึงขั้นไม่สำคัญเลยด้วยซ้ำ ไม่เว้นแต่จิตใจของผู้คนรอบตัว
กระทั่งเกิดคำถามว่า “ทำไมคุณชอบทำให้คนอื่นเกลียดคุณนัก” จ็อบส์ตอบว่า “ผมไม่ได้ชอบทำให้คนเกลียด ผมแค่ไม่สนว่าคนจะเกลียดหรือจะชอบผม”
ในวัยหนุ่มที่การงานคือสิ่งสำคัญที่สุด เขาปฏิเสธความเป็นพ่อ ทำแฟนท้องแล้วไม่รับ ละเลย ไม่ดูแลลูกสาวของตัวเอง หากเทียบกันแล้ว เขาคงให้เวลากับ “นวัตกรรม” มากกว่า “ลูก” เสียอีก
เบื้องหลังจะเละเทะฟอนเฟะแค่ไหน ความสัมพันธ์จะบูดเน่าเพียงใด อาจไม่ใช่สิ่งที่อัจฉริยะอย่าง สตีฟ จ็อบส์ ในวัยหนุ่มให้ความสำคัญนัก สำหรับเขาแล้ว สิ่งสำคัญอยู่บนเวที สิ่งที่ทั้งโลกกำลังจับตามอง
2 ผมไม่แน่ใจว่าคนหนุ่มทุกคนจะเป็นเหมือนกันหรือไม่
อะไรบางอย่างกระตุ้นให้เราอยากครองโลก เป็นหัวหน้าเผ่า อยู่ท่ามกลางแสงที่สาดส่องมาที่เรา ทุกสายตาหันมาจับจ้อง แล้วเราจะทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะนั้น
สำหรับผมตอนนั้นคือรางวัลของวงการโฆษณา
BAD Awards Adman Cleo Awards AdFest Oneshow ไล่เลยไปถึง Cannes Lions
หากคนโฆษณาทั้งหลายกำลังเดินเรือ รางวัลเหล่านี้คือประภาคาร เราต่างมุ่งหน้าฝ่าคลื่นลมมรสุมเพื่อไปให้ถึง ครอบครอง พิชิต เป็นเจ้าของ ชูรางวัลขึ้นเหนือศีรษะ โค้งรับเสียงปรบมือ
ผมเชื่อว่าวงการอื่นก็มีสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่รูปแบบต่างกันออกไป
ผมใช้เวลาและแรงพลังมหาศาลกับการทุ่มเทเพื่อ “รางวัล”
ความฝันของผมคือการได้ขึ้นเวที รับรางวัล แสงไฟฉายจ้าจนแสบตา
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนๆ ร่วมวงการได้รางวัล ไฟในตัวก็ยิ่งลุกโชน กระตุ้นความอยากเอาชนะให้โหมแรงขึ้นมหาศาล
ชีวิตคือสนามแข่ง
นอกสนามแข่งคือเวลาพักเหนื่อยเพื่อลงสนามอีกครั้ง
3 ความสำเร็จคือตัวกระตุ้นความสำเร็จ
หลังจากทำงานไปได้หนึ่งปี ความฝันของผมก็เป็นจริง เพราะมีโอกาสได้อยู่ในทีมที่เก่ง พี่ๆ ที่ร่วมงานกันล้วนแล้วแต่เป็นจอมยุทธ์ ทั้งสอนและตกแต่งไอเดียให้แหลมคมยิ่งขึ้น
ผมจึงมีโอกาสได้ขึ้นเวทีไปรับรางวัลตามภาพที่เคยฝันไว้
สารแห่งความสุขฉีดพุ่ง รสชาติของความสำเร็จหวานหอมยั่วยวนเหมือนยาเสพติด ได้ลองแล้วก็อยากเสพอีก หากไม่ได้เสพอาจมีอาการหงุดหงิดงุ่นง่านคล้ายขาดยา…ยาที่มีชื่อว่า “ความสำเร็จ”
ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ไม่นานนัก สักพักความสุขที่ได้รับจากฤทธิ์ยาจะเบาบางลงและหายไป เราต้องการความสำเร็จครั้งใหม่มาหล่อเลี้ยงอีกครั้ง
เราทำงานกันหนัก เครียด กดดัน
ผมเก่งขึ้นในด้านการงาน แต่ห่วยลงด้านความสัมพันธ์
เคยเครียดขนาดตะคอกแม่ที่พยายามเรียกให้พักกินข้าว ตวาดพี่สาวเพราะฟิวส์ขาดง่ายขึ้นมาก เป็นความอ่อนด้อยของวัยหนุ่มที่ไม่สามารถรับมือความกดดัน ความทะเยอทะยาน และความรับผิดชอบต่อความฝันของตัวเองได้ดีพอ
ใช่แหละ, มองตอนนี้มันเป็นการกระทำที่ห่วยแตก แต่ตอนนั้นเราไม่สามารถมีสติควบคุมตัวเองได้เลย แม้จะต้องนั่งเสียใจหลังจากกระทำไปแล้วก็ตามที
คลื่นความสำเร็จเป็นสิ่งที่ยากจะฝืน ยากจะโต้ มันเป็นคลื่นลูกใหญ่ในโลกที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการยืนอยู่กลางแสงไฟบนเวที มันก่อตัวขึ้นจากสรรพสิ่ง กระแส ผู้คน ค่านิยม ไม่ใช่เพียงแค่ความต้องการส่วนตัว นั่นทำให้เราถูกคลื่นลูกนี้พัดไปมาในทะเลแห่งชีวิตโดยไม่มีโอกาสได้หยุดเรือเพื่อถามไถ่ตัวเองว่ามีทิศทางอื่นหรือไม่
ยิ่งคุณสำเร็จ โลกก็ยิ่งกระตุ้นให้คุณสำเร็จมากขึ้นไปอีก
4 ไม่นานหลังจากได้มีชื่ออยู่ในหนังสือ Awards หลายเล่ม กับความภูมิใจที่ได้ไต่อันดับขึ้นไปติด Top 20 ของครีเอทีฟในเอเชียตามคะแนนที่สะสมจากรางวัลที่ชนะ…
“เราเลิกกันเถอะ” คนใกล้ตัวยื่นข้อเสนอที่ทำให้แสงไฟบนเวทีทุกเวทีดับกะทันหัน
เหตุผลที่เธอบอกอย่างสุภาพคือ พยายามทำใจมาเนิ่นนาน แต่รู้สึกว่าหากชีวิตของผมเป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่เธอจะต้องเผชิญคือการมีเวลาร่วมกันที่น้อยลงเรื่อยๆ
มีแฟนก็เหมือนไม่มี กระทั่งอาจแย่กว่าไม่มีด้วยซ้ำ
ความรู้สึกเหมือนถูกคลื่นยักษ์อีกลูกพุ่งเข้ามาปะทะ เรือโคลงเคลงอยู่กลางมรสุม ไร้ทิศทาง สับสนอลหม่าน อะไรคือทางที่ควรเลือกเดิน
5 เราไม่สามารถกำหนดทิศทางกระแสลมของโลกใบนี้ได้ สิ่งที่พอทำได้คือถอยตัวเองออกจากกระแสคลื่น แล้วชั่งน้ำหนักความสำคัญ ว่าเราให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน-สำหรับชีวิตนี้
ไม่มีคำตอบที่ถูก ไม่มีคำตอบที่ผิด
ทุกคนมีสิทธิ์เลือก และผมคิดว่าไม่ควรมีใครก้าวก่ายการตัดสินใจของใคร เพราะทุกคนย่อมได้รับผลลัพธ์จากการเลือกของเขาเอง ไม่ว่าเลือกทางใด ย่อมมีทั้งด้านดีและร้าย
สตีฟ วอซเนียก บอกกับ สตีฟ จ็อบส์ ว่า “นายไม่จำเป็นต้องเลือก นายสามารถเป็นอัจฉริยะและคนนิสัยดีไปพร้อมกันได้”
ผมไม่แน่ใจว่าวอซเนียกพูดถูกทั้งหมด บางครั้ง ผู้ครอบครองโลกอาจต้องยอมเป็นตัวร้ายของใครหลายคน การสร้างสรรค์สิ่งเลอเลิศอาจต้องสลัดทิ้งรายละเอียดหยุมหยิมเรื่องความรู้สึกของผู้คนไปไม่น้อย
ผู้นิยมความสมบูรณ์แบบย่อมไม่ประนีประนอม
คนเช่นนี้นี่เองที่ “แตกต่าง” เราจึงเห็นเขาโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟ บนเวที ในหน้านิตยสาร
ทั้งนี้ ไม่ได้การันตีว่าผู้ที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟจะมีความสุขในชีวิตมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่นอกเวที กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขามีความสุขน้อยกว่า มันเป็นเพียงทางเลือกที่เขาเลือก และคุณค่าที่เขาถวายชีวิตให้
ใครเล่าจะตัดสินคุณค่าในชีวิตของอื่นได้
6 คืนนั้นเป็นอีกคืนในความทรงจำ บริษัทของเราหอบรางวัลกลับออฟฟิศมโหฬาร เสียงปรบมือดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า โฆษณาสารพัดที่พวกเราสร้างสรรค์ขึ้นมาถูกประทับตราว่ายอดเยี่ยม ชื่อเอเยนซี่ถูกประกาศราวแผ่นเสียงตกร่อง
แน่นอน มันเป็นคืนแห่งความภาคภูมิใจ
ถูกต้องแล้ว ผู้มุ่งมั่นควรได้รับผลตอบแทนที่น่าชื่นใจเช่นนี้ ผมเชื่อในการทำงานหนักว่ามันให้ผลลัพธ์ที่หวานชื่นเสมอ พวกเราล้อมวงแสดงความยินดีแก่กันและกัน นี่คือวันแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง
ไฟเวทีดับลง เสียงปรบมือเงียบเสียง ผู้คนทยอยกลับบ้าน
งานวันนั้นจัดที่โรงหนังสกาล่า ผมจำได้แม่น พี่ๆ แยกย้ายกันไปเที่ยวต่อ บ้างก็กลับบ้าน ท้องฟ้าตอนห้าทุ่มมืดสนิท สยามสแควร์ร้างผู้คน พี่ๆ ฝากให้ผมกับเพื่อนอีกสองคน-ในฐานะเด็กที่สุด-หอบรางวัลทั้งหมดกลับไปไว้ที่ออฟฟิศ
รางวัลสีทอง สีเงิน สีทองแดง เป็นรูปนิ้วโป้งคว่ำเกือบยี่สิบชิ้น
เราช่วยกันถือรางวัลพวกนั้นพะรุงพะรังยืนรอแท็กซี่ ผู้คนที่เดินผ่านมองพวกเราด้วยสายตาสงสัยว่าเราถืออะไรมาขาย ขอทานแถวนั้นเงยหน้าขึ้นมอง “รางวัล” ในมือพวกเราด้วยแววตานิ่งสงบและว่างเปล่า
สายตาเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกแปลก
ก้าวขึ้นแท็กซี่ พี่คนขับเหลือบมอง “รางวัล” แล้วถามขึ้นมาว่า “มันคืออะไรเหรอน้อง”
7 ผมคิดถึงคืนนั้นเมื่อหนังเรื่อง Steve Jobs จบลง
ตอนที่เขาก้าวออกไปข้างหน้าเวทีแล้วทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง สู่แสงไฟและเสียงปรบมือ มีเรื่องราวมากมายที่เราไม่ได้เห็นเบื้องหลัง “ความสำเร็จ”
“ความสำเร็จ” ที่บางคนเห็นแล้วอาจเอ่ยปากถามเราว่า
“มันคืออะไรเหรอ”