“บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” 30 ปีกับชีวิตที่อุทิศเพื่อเพื่อนมนุษย์

“บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” 30 ปีกับชีวิตที่อุทิศเพื่อเพื่อนมนุษย์

“บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” 30 ปีกับชีวิตที่อุทิศเพื่อเพื่อนมนุษย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากจำนวนแฟนเพจกว่า 6 ล้านคนในเพจของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” น่าจะเป็นตัวแทนสายตาผู้คนนับล้านที่มองเห็นภารกิจช่วยเหลือผู้คนมาตลอดระยะเวลา 30 ปีของนักแสดงหนุ่มฉายา “พระเอกเก็บศพ” หรือ “พระเอกสัปเหร่อ” คนนี้

แม้ปัจจุบันเขาจะลดบทบาทการเก็บศพลง แต่สิ่งที่ยังยึดมั่นเสมอคือ “ความตั้งใจ” ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่องจนเป็นเหตุให้ 5 ปีที่ผ่านมา เขาเลือกที่จะช่วยเหลือแบบลงลึกด้วยเงินทุนของตัวเอง โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 4-5 แสนบาท

การช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่มีผลตอบแทน ทำงานจิตอาสาจนทำให้เลิกคิดเรื่อง “ความรัก” และปัจจุบันกับอาการไทรอยด์เป็นพิษ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาได้รับไปพร้อมๆ กับการตั้งคำถามของคนทั่วไปถึงสาเหตุแท้จริงของการช่วยเหลือแบบทุ่มสุดตัวว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และมีสักแวบไหมที่คิดจะเลิก

จุดเริ่มต้นฉายา “ดารา 1”
จากความฝังใจวัยเด็กในภารกิจช่วยเหลือคนยากของโรงเจที่จังหวัดบ้านเกิด และมีโอกาสเห็นมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง และมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าไปแจกอุปกรณ์การเรียนในโรงเรียนของตนเอง ทำให้บิณฑ์ หรือเด็กชายท็อปในวันนั้นจดจำและบ่มเพาะความชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด “ตอนอายุ 13-14 เคยออกไปช่วยโรงเจเก็บศพไม่มีญาติ เราก็คิดว่าทำไมเขาไม่รังเกียจ มันก็เลยฝังใจเรื่อยมา จนเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ เข้าวงการบันเทิง พอเจออุบัติเหตุก็อยากลงไปช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”

เมื่อเข้าวงการบันเทิงเป็นพระเอกได้ 4-5 ปี วันหนึ่งในช่วงหยุดพักถ่ายละคร เกิดเหตุตึกถล่ม เขากลับรีบขับรถออกออกจากบ้านไปยังจุดเกิดเหตุ โดยตั้งใจไปช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ใต้ซากตึก ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีทักษะ “ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราเป็นพระเอก ตอนนั้นคิดแค่อยากช่วยคนที่อยู่ในตึก เพราะทุกวินาทีสำหรับเขาสำคัญที่สุด” พระเอกหนุ่มพกพาเพียงพละกำลังเข้าไปช่วย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้พบกับทีมงานมูลนิธิร่วมกตัญญูฮีโร่ประจำใจ “เขาเห็นเราเขาก็ยื่นค้อนปอนด์ให้ แล้วให้สวมเสื้อร่วมกตัญญู ตอนนั้นผมใช้ค้อนตอกซากตึกตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ผมเป็นคนแรกที่ขุดเจอศพ เลยได้ฉายาพระเอกเก็บศพ และมีรหัสอาสาสมัครร่วมกตัญญูว่า “ดารา 1” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”

จากนั้นเขาเริ่มติดใจงานกู้ภัยและการช่วยเหลือทุกรูปแบบ ทุกวันหลังถ่ายหนังถ่ายละครเสร็จจะต้องออกไปตระเวนช่วยเหลือคนอื่นจนคล้ายการเสพย์ติด

“เมื่อก่อนผมเป็นนะ ไม่ได้เลย ถ้าวันไหนไม่ได้ออกไปช่วยเก็บศพ ช่วยคนบาดเจ็บ เพราะมันคือความสุขที่เราได้ทำ พอช่วยแล้วกลับมาบ้านเราจะมีความสุข นอนหลับสบาย แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่เป็นแล้ว ผมเริ่มรู้และใช้เหตุผลตามความเป็นจริง”

โซเชียลมีเดีย…ช่องทางสะพานบุญ
จากนั้นเหล่าศิลปิน ดาราก็เริ่มเข้ามาเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิกู้ภัยต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเองเริ่มรู้สึกอิ่มตัวในงานเก็บศพ ก็พอดีกับช่วงปี 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เขาจึงสร้างเพจของตัวเองขึ้น เพื่อเป็นช่องทางช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่คงยังไม่พ้นถูกครหาว่าเป็นการ “สร้างภาพ” ในทางกลับกันสำหรับเขาคิดว่าเพจเป็นช่องทางสะพานบุญให้คนอื่นมากกว่า “เหตุการณ์ขนาดนั้นถ้าผมรู้คนเดียวมันก็ไม่สามารถช่วยใครได้เยอะ แต่ถ้าคนที่ตามผมหรือเป็นแฟนเพจผม จะตามไปช่วยเหลือพวกเขาได้ มันกว้างขึ้นและช่วยได้เยอะกว่า” หลังจากนั้นเขาคือคนแรกๆ ที่ใช้ช่องทางนี้เพื่อต่อยอดให้คนอื่นเห็น และเข้าไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยหวังเพียงเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่รอคอย

แรกเริ่มเพจของเขามีจำนวนแฟนเพจเพียงหลักสิบ แต่ปัจจุบันยอดไลค์เดินทางไปไกลถึงกว่า 6 ล้านไลค์ ทำให้ในแต่ละวันจะมีผู้โพสต์ขอความช่วยเหลือเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ใช่ว่าทุกเคสจะได้รับการพิจารณาเพราะก่อนที่จะลงไปช่วยเหลือเขาจะต้องคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมมากที่สุด “สิ่งที่บอกเราได้ชัดเจนคือรูป ถ้าเล่ามาเฉยๆ ยังไม่เท่าไร บางทีไปถึงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอก เราก็รู้สึกว่าไม่อยากไปแบบนั้น ถ้ามีรูปมา บางทีเราตัดสินในคืนนั้นเลย และรีบไป บางทีไปช่วยปุ๊บ กลับมาถึง เขาโทรมาบอกว่าเสียชีวิตแล้ว”

ในทุกครั้งของการช่วยเหลือจะมีเงิน 2 หมื่นบาทซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของคุณบิณฑ์มอบให้ หลังจากนั้นเขาก็จะถ่ายรูปนำมาโพสต์ในเพจส่วนตัว หวังให้แฟนเพจคนอื่นๆ ได้เห็น และใครที่ปรารถนาจะช่วยเหลือก็สามารถติดต่อหรือโอนเงินผ่านเลขที่บัญชีที่ระบุไว้

“เงินที่ผมใช้ช่วยเป็นเงินที่ผมทำงาน ทำรายการ เป็นพิธีกร ทุกวันนี้หาเงินได้ผมก็เอาไปช่วยคนอื่น แต่มีบางคนที่มาทำบุญกับผม ฝากเงินผมไปทำบุญโดยไม่ต้องการใบเสร็จ บางคนให้เป็นแสน ผมไม่ได้ไปขอ แต่เขารู้ว่าถ้าเอาเงินให้ผม ผมเอาไปทำบุญแน่ๆ บางทีผมไปเดินตลาดได้เงินฝากไปทำบุญเป็นแสน”

สุขภาพ ความรัก และเวลาที่หายไป
พระเอกเก็บศพครองโสดมาเป็นระยะเวลานานหลายปีจนตอนนี้ไม่คิดเรื่องคู่ชีวิต ในขณะที่ปัจจุบันยังคงต้องเช็คผลเลือดและทานยารักษาอาการไทรอยด์เป็นพิษอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ และในทุกๆ วันเขาจะมีเวลานอนเพียงแค่วันละ 3 – 4 ชั่วโมง หากแต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดเรื่องการช่วยเหลือ เพราะสิ่งที่ได้รับมันเกินคำว่า “สุข” ไปแล้ว

“มันเป็นสิ่งที่ชีวิตหนึ่งเราได้สัมผัส ได้เห็นชีวิตหลายๆ คนที่แตกต่างออกไป ถ้าไม่ออกไปเราจะไม่ได้เห็น ไม่รู้เลยว่าคนที่เขาไม่มีหน้า มีแต่กะโหลกเขาจะอยู่ได้ บางคนเอาไส้ออกมากองข้างนอกใส่ถุงพลาสติกและขับถ่ายทางนั้น การช่วยเหลือเขาทำให้เรามีความสุขเพราะจะทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น”

“ดังนั้นถ้าเรามีโอกาส เราต้องทำ และอย่ากำหนดเวลากับตัวเองว่าจะทำไปแค่ไหน ผมจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีแรง หรือทำไม่ได้”

สิ่งตอบแทนจากการเข้าไปช่วยเหลือผู้คนอย่างต่อเนื่องนอกจากสิ่งที่เกินสุขแล้วกลับทำให้เขามองเห็นสัจธรรมแท้จริงของชีวิตที่ทุกคนต้องเดินทางไปถึง

“บางทีเก็บศพเจอสภาพจากคนตัวใหญ่ๆ เหลือมากองเดียว แยกแขน ขาไม่ได้ เห็นแล้วเราก็เก็บ มันก็ปลง คนเราตายแล้วก็ตายไป จะขอให้ชีวิตกลับมาอีกครั้งมันก็ไม่ได้ มีบ้างที่เจอแล้วเราร้องไห้ แต่กลับมาก็คิดว่าถ้ามันเป็นไปแล้วเราก็ต้องทำใจยอมรับ เหมือนบางครั้งที่เราเจออะไรเลวร้าย เราก็ต้องคิดว่าเหมือนเราได้ฝึกจิต”

พระเอกตัวจริง
ทุกคนก้าวเดินมาบนเส้นทางที่ไม่แตกต่างกันนัก มีทั้งสิ่งที่ทำสำเร็จและล้มเหลว มีเรื่องเข้ามากระทบทำให้เกิดความทุกข์ หรือแม้แต่สัมผัสกับเราแล้วทำให้เกิดสุข หากแต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งไหนอยู่กับเรายาวนานแม้แต่ความร่ำรวยและความอับจน นี่จึงเป็นความพอใจที่เกิดขึ้นกับชีวิตในวัยกว่า 50 ของพระเอกพ่อพระ จากนี้เขาก็หวังแต่เพียงว่าจะยังคงมีเรี่ยวแรงช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

“ตอนนี้ผมดูแลคนชราที่ถูกทิ้งตามที่ต่างๆ ไว้ที่บ้านมุทิตากว่า 10 คน และต้องจ้างเขาเลี้ยงรายละ 15,000 บาทต่อเดือน ผมเลยคิดจะสร้างบ้านให้เป็นสถานที่สำหรับคนเหล่านี้ เราจะได้ไม่ต้องจ่ายเดือนละเป็นแสน แต่เราจ้างคนมาดูแลเป็นรายได้ต่อเดือนแทน ดูแลได้ 20 คน 20 เตียง ตอนนี้กำลังมีโครงการคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 7-8 ล้าน นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำให้เสร็จก่อนที่ผมจะเป็นอะไรไป”

นอกจากเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาที่บ่มเพาะมาแต่วัยเด็ก “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ยังเป็นหนึ่งคนบันเทิงที่ระลึกเสมอว่าบันไดแต่ละขั้นที่เขาก้าวเดินจากเด็กต่างจังหวัด เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ สู่เส้นทางสายดวงดาวที่ส่งให้เขาได้เป็นพระเอกมีชื่อนั้นล้วนมาจาก “ผู้ชม”

เมื่อสิ่งที่ผู้ชมมอบทำให้เขามีชื่อเสียง เงินทอง อาชีพ และชีวิตที่ดีขึ้น เขาจึงเลือกที่จะตอบแทนคุณเหล่านั้นด้วยการช่วยเหลือคนในสังคม เพื่อให้ทุกคนยังคงระลึกว่า “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” คือพระเอกตัวจริง แม้หัวโขนและชื่อเสียงจะหมดไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook