ไมค์ พิรัชต์ กับ 10 คำถามสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ไมค์ พิรัชต์ กับ 10 คำถามสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ไมค์ พิรัชต์ กับ 10 คำถามสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

1. จำวันแรกที่คุณกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืนได้ไหม?...เล่าความรู้สึกนั้นให้ฟังหน่อย
พิรัชต์: เอาจริงๆ ตอนนั้นใจผมไม่ได้อยากเข้ามา ยังเด็กอยู่ด้วย ไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าได้ทำอะไรแปลกใหม่ก็คงสนุกดี ตอนเป็นกอล์ฟ-ไมค์ก็ยังเฉยๆ อยู่ ในเวลานั้นผมคงเด็กเกินไปที่จะค้นหาตัวเองเจอ ยังไม่เจอว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการทำอะไร

2. เคยได้ยินมาว่าคนที่เข้ามาในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก จะโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ตรงนี้คุณเห็นด้วยไหม? และเพราะอะไรวงการบันเทิงถึงทำให้คนโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว?
พิรัชต์: มันก็แล้วแต่คนนะ บางคนเข้าวงการตั้งแต่เด็ก อาจไม่โตเลยก็ได้ คือจริงๆ คนที่โตไม่ใช่เรื่องของอายุหรอกครับ มันเป็นเรื่องของ (ชี้ไปที่ขมับ) ความคิด ถ้าเขาคิดได้ว่าเข้าวงการมา เขาทำอะไรพลาดไป ผมว่าคนเรามันมีพลาดอยู่แล้วแหละ ต่อให้เป็นคนในวงการ เพราะสุดท้ายคนในวงการบันเทิงก็คือคนธรรมดาที่ทำอาชีพดารา เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ และต้องยอมรับมัน ยอมรับมันแล้วจะทำตามหรือเปล่าแค่นั้นเอง เวลาเราผิดพลาด เรายอมรับหรือเปล่าว่าเราผิดพลาด คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าหรอกครับที่จะยอมรับว่าตัวเองผิดพลาด ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาผิดพลาด ก็จะยอมรับว่าตัวเองผิด ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ถ้าผมทำอะไรผิด ผมก็ไม่ได้มีอีโก้ในแง่ที่ว่าเราทำผิดแต่เราเป็นดาราเราไม่ผิด ไม่ใช่เลย ถ้าเราทำผิดก็ต้องขอโทษ ต่อให้เขาเป็นคนที่ด้อยกว่าเรา ทำผิดก็ต้องขอโทษแค่นั้นเอง

3. คุณใช้ชีวิตในวงการมาสักพักนึงแล้ว เจอะเจอมาทั้งเรื่องบวกและเรื่องลบ มุมมองความคิดของคุณเปลี่ยนไปไหม? กราฟชีวิตในวงการมันมีขึ้นมีลงยังไง?
พิรัชต์: ชีวิตในวงการบันเทิงสุดท้ายมันก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกันกับชีวิตคนอื่นๆ มันก็คือการทำงานที่จะต้องมีขึ้นมีลง เหมือนงานอื่นๆ ของทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นงานออฟฟิศหรืองานอะไร ก็มีขึ้นมีลงตลอด ไม่ว่าจะทำธุรกิจ ก็ต้องมีเดือนที่ยอดขายเพิ่มหรือตก ก็ไม่ต่างกัน ผมแค่มองว่าเป็นอาชีพที่เราเข้าไปยืนอยู่ในจุดสปอตไลท์มากกว่า แต่ถามว่าต่างจากคนอื่นไหม ก็ไม่ต่าง เรายืนที่เดียวกันหมด บนพื้นเดียวกันหมด เพียงแค่ว่าสปอตไลต์มันยิงมาตรงคุณแค่นั้นเอง วันหนึ่งสปอตไลท์มันอาจจะดับก็ได้ ใครจะไปรู้

4. เตรียมรับมือกับวันที่สปอตไลท์ดับไว้ไหม?
พิรัชต์: ถ้าสปอตไลท์ดับ ผมแค่คิดซะว่าเราไม่ได้ไปไหน เรายังยืนอยู่ที่เดิม ก็ทำอย่างอื่นในความมืดต่อไป คิดในมุมดีๆ ของมันว่า สปอทไลท์ดับ อาจจะเป็นโอกาสก็ได้ เราต้องมองทุกอย่างให้เป็นโอกาสครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจอวิกฤตแค่ไหน ก็ต้องมองทุกอย่างให้เป็นโอกาสเอาไว้ ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับอะไรติดลบ หมายถึงคนรอบข้างนะ ถ้าคนรอบข้างติดลบ มันจะดึงดูดอะไรบางอย่างลบๆ มาให้เรา แต่ถ้าผมอยู่คนเดียว หรืออยู่กับคนคิดบวกตลอดเวลา มันจะทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมีอะไรดี ทำให้เดินต่อไป โดยที่เราไม่มีอะไรติดในใจ

5. วงการบันเทิงทำให้คุณได้รู้จักคนมากมายหลายประเภท ที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องของคน?
พิรัชต์: เรียนรู้เยอะมาก มีหลายอย่างเลยที่เราได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อใจ เรื่องคำว่าเพื่อน เรื่องความรัก เรื่องการทำงาน เรื่องความรับผิดชอบ เรื่องความคิดของสังคม ทัศนคติของคนบ้านเรา หรือการที่เราเข้าหาคนอื่น การวางใจไว้ใจคนอื่น มันทำให้ยิ่งผมเจอคนมากๆ เข้า ผมก็ยิ่งมีกำแพง พอเราโดนอะไรที่มันเจ็บปุ๊บ มันก็มีกำแพงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถามว่าทุกวันนี้ผมมีกำแพงสูงแค่ไหน ผมตอบไม่ได้แล้ว ผมจำไม่ได้ว่าความคิดของผมในเรื่องนี้เปลี่ยนไปเมื่อไหร่ แต่จู่ๆ ผมก็เปลี่ยนความคิดไปจากเดิม ยกตัวอย่างเรื่องของความรัก การที่ผู้หญิงคนนึงทำร้ายเรา แล้วก็ทำเราเจ็บมากๆ ไม่ได้แปลว่าผู้หญิงคนต่อไปหรือผู้หญิงคนอื่นๆ จะทำกับเราแบบนี้ ในขณะที่หลายคนอาจจะคิดว่าคนนี้ทำร้ายเรา คนต่อไปก็ต้องทำร้ายเรา เหมือนกับมีอคติกับทุกคน กลายเป็นปิดกั้น เมื่อก่อนผมก็ปิดกั้น เลยไม่สุงสิงพูดจากับใคร แต่ทุกวันนี้ผมเปิด แต่เปิดในที่นี้ ไม่ใช่เปิดแบบเชื่อใจหมด แต่เปิดแค่พอดี ยังมีสเปซให้ระแวดระวังตัวไว้บ้าง

6. เข้าใจว่าวงการบันเทิงมันหอมหวานมากทั้งชื่อเสียง ทั้งเงินทอง คุณเคยมีโมเมนต์ที่หลงใหลอยู่ในสิ่งเหล่านี้ไหม?
พิรัชต์: ก็มีบ้าง โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่หลงใหล ไปเที่ยวกับเพื่อนเยอะ โดยไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษ พอมีตังค์ก็ไปเที่ยว ไปชิลล์ ไปลั้ลลา ไปต่างประเทศ พบปะเจอผู้คนเยอะแยะ แต่พอย้อนกลับไปมองมันเป็นอะไรที่ไม่มีความหมายมากๆ เป็นอะไรที่เราทำแล้วเสียเวลากับมัน เหมือนจะได้สนุกหรือได้อะไร แต่จริงๆ มันคือภาพลวงตาที่เรากำลังหลอกตัวเองอยู่ว่ามีความสุขกับมัน

7. พอมาถึงจุดที่วันนี้คุณเป็นพ่อคน ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต สอนคุณในฐานะของคนเป็นพ่อยังไงบ้าง? และคุณจะเก็บประสบการณ์ที่ผ่านมา มาสอนลูกคุณยังไง?
พิรัชต์: ผมจะสอนเขาตั้งแต่เด็ก ผมคิดไว้แล้วว่าสิ่งที่ผมเจอมา อะไรที่ดีไม่ดี จะบอกเขาให้หมด ผมจะบอกเขาว่าในโลกเรามีแบบนี้ 1-2-3-4 แต่ถามว่าจะไปนั่งบังคับ หรือห้ามอะไรเขาไหม ผมคงไม่ เพราะนอกจากเป็นพ่อแล้วผมก็อยากจะเป็นเพื่อนด้วย อยากเป็นทุกอย่างให้เขาพูดได้ทุกเรื่อง ให้เขารู้สึกไม่อึดอัดที่จะคุยกับผม ผมจะสอน จะสร้างภูมิต้านทานให้กับเขา จะปลูกฝังเขาตั้งแต่เด็ก นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ เพราะเมื่อวันหนึ่งเขาโตขึ้น ต้องไปโรงเรียน ต้องไปเจอสังคมของเขา ผมไม่สามารถไปนั่งอยู่ด้วยได้ตลอดเวลา เลยต้องสร้างให้ตั้งแต่ตอนนี้ พอโตขึ้นก็ปล่อยเขา ให้เขาเรียนรู้เอง ให้เขาเจ็บเอง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำไม่ใช่กดดันลูก แต่ควรจะเป็นการอยู่ตรงนั้นเวลาเขาล้ม เขาหันมา แล้วเขาเห็นเรา

8. ความรักในอดีตของคุณ ให้บทเรียนอะไรกับคุณบ้าง?
พิรัชต์: หลายอย่างเลย ได้เจอคนหลากหลายประเภท หลากหลายรูปแบบ ผมเคยมีช่วงเวลาที่คิดว่าความรักเป็นสิ่งที่แย่ ต้องคำสาป มีความรักไม่ได้ ผมว่าความรักก็คล้ายๆ กับเครื่องสล็อทแมชชีนนะ จังหวะที่ดึง บางครั้งยังไม่ตรงกันเป็นเลข 7-7-7 ทั้งหมด แปลว่ามีอะไรบางอย่างที่ขาดไป พอผมดึงลงมา บางทีคนนี้ใช่ แต่เราไม่พร้อมในเวลาที่ใช่ บางทีเราพร้อมเวลาใช่ แต่คนนี้ไม่ใช่ หรือเขาไม่พร้อม มันมีเรื่องของเวลาที่ถูก คนที่ใช่ และตัวเราเองเชื่อมโยงกันอยู่ ตรงนี้สอนว่าการที่เราจะหาคนๆ หนึ่งที่ตรงกันทุกอย่างจริงๆ มันค่อนข้างยาก อย่างผมมีช่วงที่เจอคนที่ใช่ แต่เวลาไม่ตรง ต่อให้รักกัน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ หรือว่าอีกฝั่งไม่พร้อม ต่อให้เราพร้อม ก็อยู่กันไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนฉายหนังซ้ำจนกว่าจะเจอหนังเรื่องสุดท้ายของเรา

9. คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน? ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องครอบครัว
พิรัชต์: ผมเกิดมาในครอบครัวคนทำงาน ต่างคนต่างไม่ค่อยมีเวลาให้กัน แต่ถามว่าทุกคนรู้ไหมว่าความรู้สึกกันและกันเป็นยังไง รักกันหรือเปล่า ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ พ่อไม่มีเวลาให้ แต่พ่อก็รักผม แม่ไม่มีเวลา แม่ก็รักผม ผมไม่มีเวลาให้แม่ แต่ผมก็รักแม่ คือไม่ค่อยเจอกัน แต่ทุกคนมีจุดมุ่งหมายที่จะทำเพื่อกันและกัน พ่อแม่ทำงานก็เพื่อความมั่นคงของเรา หานั่นนี่ให้ก็เพื่อเรา เราทำงานเองก็คิดในอีกมุมหนึ่งว่าอยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อยากมีอนาคตที่ดี ไม่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง บางทีผมก็ตอบไม่ได้หรอกว่าให้ความสำคัญกับงานหรือครอบครัวมากกว่า เพราะสองสิ่งนี้เชื่อมโยงกันอยู่ ทุกคนที่มีครอบครัว ผมเชื่อว่ายังไงก็ต้องทำงาน และทำงานเพื่ออะไร ทุกคนย่อมรู้ดี

10. ถ้าย้อนมองกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงวันนี้ คิดว่า ไมค์-พิรัชต์ เติบโตในด้านไหนบ้าง?
พิรัชต์: ผมรู้สึกเติบโตทุกด้านที่ทุกคนเคยเห็นผมทำมาทุกอย่าง ทั้งความผิดพลาดของผม ทั้งเรื่องของความดีที่ทำ ผมย่อมรู้ดีว่าตัวผมเติบโตยังไงบ้าง อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้เห็นภาพไม่ได้ คนภายนอกมองเข้ามาอาจจะไม่เห็น หรือบางคนอาจจะเห็น คนที่รู้จักไมค์เยอะหน่อย ก็จะเห็นว่าไมค์เติบโตแค่ไหน แต่คนที่ไม่รู้จัก ก็จะมองว่า ไม่เห็นโตเลยนี่ ทุกอย่างเหมือนเดิม การพูดการจาก็ดูปกติ แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันไหนที่ผมเป็นตัวของตัวเอง หรือไม่เป็นตัวของตัวเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook