7 คำถาม ส่องโลกมายาตลอด 20 กว่าปี ของชายที่ชื่อ 'อัษฎา พานิชกุล'
1. คุณทำอย่างไรถึงสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงได้นานๆ
อัษฎา: ต้องมีวินัยและมีการเคารพซึ่งกันและกัน หมายความว่าเคารพคนที่เราทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นสายงานไหนก็แล้วแต่ คือใช่แหละวงการบันเทิงมันมายา ภาพที่ออกไปเราสร้างงานมายา ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายแบบ โฆษณา หนัง และละคร แต่ว่าเบื้องหลังที่สร้างตรงนี้มันเป็นการทำงานจริง ทุกคนเขามุ่งมั่นในการทำงานแบบจริงจัง เพราะฉะนั้นเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการอยู่ตรงนี้ให้ได้นานก็คือการเคารพซึ่งกันและกัน ให้เข้าใจว่าในที่สุดมันคืองาน แล้วพอเรารู้ว่าทุกคนมีบทบาทอะไร เราก็จะตั้งใจทำงาน เพื่อให้งานนั้นออกมาดีและสมบูรณ์แบบที่สุด
2.ทำงานในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้คุณต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง
อัษฎา: ถ้าพูดถึงตอนที่เข้าวงการมันไม่เหมือนกับยุคนี้เลย มันเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนที่เข้ามาคือการต่อสู้ที่จะเรียนรู้ในด้านต่างๆ ของอาชีพการงานมันใช้เวลานานกว่านี้ คือเดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเร็วมาก แล้วเด็กก็มากความสามารถที่จะเรียนรู้เร็วขึ้นด้วยเนื่องจากองค์กรต่างๆ พร้อมที่จะสอนเขา พร้อมที่จะมีเส้นทางลัดให้เขา และโดยโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น ยูทูบหรืออะไรต่างๆ ทำให้เขาสามารถที่จะรับอะไรได้เร็วมาก แต่ในยุคตอนที่เข้ามามันไม่ได้มีโซเชียลมีเดียเหมือนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้มันจึงใช้เวลานาน แต่ในยุคที่เข้ามาตอนนั้นทุกอย่างมันจะช้า แค่ศิลปินออกเพลงทีหนึ่ง อัลบั้มหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน แต่เดี๋ยวนี้อัลบั้มออกมาทีหนึ่งมันรวดเร็วมาก และตอนนี้ก็ไม่ได้นิยมเป็นอัลบั้มแล้ว เพราะนิยมเป็นซิงเกิล คือเป็นเพลงประกอบละคร เพลงประกอบภาพยนตร์อะไรแบบนั้น ทั่วโลกมันเปลี่ยนไป ถ้าพูดถึงความยากลำบากของการที่ต้องต่อสู้กับอาชีพการงานตอนที่ผมจะเข้าวงการมีมากกว่าตอนนี้ สมัยนี้อย่างที่บอกมันมีทางลัดเยอะ
3. คุณมองข้อดีข้อเสียของแต่ละยุคสมัยยังไงบ้าง
อัษฎา: ในยุคนั้นก็ยากอยู่เพราะไม่มียูทูบให้ดู มันก็ต้องอาศัยค่อยๆ เรียนรู้ เวลาเราทำงาน มันก็ดีอย่างหนึ่งคือถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็คงเรียนรู้ได้เร็ว แต่ว่าในขณะเดียวกันในยุคปัจจุบันถ้าเรียนรู้ไม่เร็ว ก็จะโดนคนอื่นแซง ยุคมันเปลี่ยนแปลง ในยุคนี้จะมีไม่กี่คนที่เราจะจำได้ในวงการ เด็กมันเยอะมากจริง พูดตรงๆ ว่าเส้นทางในการเดินในวงการบันเทิงของผมก็ยาวนะ แล้วก็ไม่ได้ง่าย ในขณะเดียวก็มีพี่ๆ ในวงการทั้งที่นี่และต่างประเทศที่คอยสอน เป็นเมนเทอร์ เป็นรุ่นพี่ที่เป็นครู เราก็เรียนรู้จากเขาอีกต่อหนึ่ง
4. ถ้าเลือกได้อยากเป็นดาราที่เติบโตมาในยุคไหนมากกว่ากัน
อัษฎา: บางทีผมก็แอบคุยกับหุ้นส่วน กับทีมงานเล่นๆ ว่า โห! ถ้าเกิดในยุคนี้นะมันคงเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย มีแฟนเบสมหาศาลเลยแหละ เพราะมันมีตัวช่วยเยอะ มีโซเชียลมีเดียที่พาเราไปกว้าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมมีฐานแฟนคลับกว้าง คือ การที่ทำงานกับ เอ็มทีวี ในยุคของเพลงที่ผ่านสื่อทีวี เพราะสมัยนี้มันผ่านสื่อดิจิตอล และโซเชียลมีเดียแล้ว แต่ในยุคนั้นเหมือนกับว่าการเป็นวีเจ เป็นช่องเพลงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ตรงนั้นเลยทำให้ผมเป็นที่รู้จักในทวีปเอเชีย
5. คุณเจออะไรแบบนี้มาบ่อยๆ ทำให้คุณมองวงการนี้เป็นยังไง
อัษฎา: มายา วงการบันเทิงมันมายา จริงๆ แล้วทั้งโลกเรามันมายา แล้วคนที่อยู่ในโลกก็เป็นนักแสดง ทุกวันนี้เจอผู้คนมากมายหลากแบบ มีทั้งคนที่จริงใจ และไม่จริงใจ แต่ว่ามันไม่ใช่แค่เมืองไทย มันเป็นแบบนี้กันทั่วโลก แล้วยิ่งถูกใส่สีตีไข่ด้วยโซเชียลมีเดียยิ่งมายา ดราม่ากันไปใหญ่ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือให้คนใช้วิจารณญาณในการคิดเอง ให้ไปบริโภคเองว่าเขาจะเชื่ออันไหน ไม่เชื่ออันไหน คิด วิเคราะห์เอง ในขณะเดียวกันมันก็มีผลเสียคือพอมันมาอย่างไรคนก็เชื่อแบบนั้นไปเลย ไม่คิดอะไรทั้งนั้น จบ!
6. ถ้าให้เลือกระหว่างการเป็นคนที่มีชื่อเสียงกับไม่มีชื่อเสียงคุณจะเลือกอะไร
อัษฎา: ถ้าเลือกได้ก็คงเลือกไม่มีชื่อเสียงมากกว่า เพราะว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยพื้นฐานที่คิดว่าไม่น่าจะเข้าวงการบันเทิง จริงๆแล้วในครอบครัว น้องชายจะเป็นคนมีเพื่อนเยอะ กล้าแสดงออก ชอบพูดคุย จะตรงข้ามกับผม แต่เดี๋ยวนี้จะดูไม่แตกต่างด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานมาก ผมก็เลยต้องนำมาปรับใช้ มันเป็นอาชีพการงาน ก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในนิสัยตัวเอง ส่วนน้องชายก็มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเข้าวงการบันเทิง แต่ทุกวันนี้เขาก็มีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นคนปกติทั่วไป ส่วนผมก็ใช้ชีวิตที่เขาอยากมี
7. อยู่วงการมา 20 กว่าปีมีอะไรที่อยากเรียนรู้อีกไหม
อัษฎา: อยากเรียนรู้ในด้านต่างๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ เช่น อยากทำรายการ อยากมีโอกาสปั้นเด็กไทยยุคใหม่สู่อาเซียน แต่อันนี้มันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และที่ไม่ได้เกี่ยวกับวงการบันเทิง อาจจะเป็นกีฬาที่ไม่เคยลอง เช่น เป็นคนไม่ชอบวิ่งแต่อยากลองวิ่งมินิมาราธอน เอาสัก 5-10 กิโลเมตร และอยากมีโอกาสเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะตอนนี้มาอยู่เมืองไทยแล้วมันไม่มีข้ออ้างอะไรแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวปราจีนบุรี เพราะอยากไปลองล่องแก่ง เพราะเหมือนเราได้เดินทางในทวีปเอเชียเยอะแล้ว เดินทางต่างประเทศก็เยอะแล้ว เราลองมาเดินทางไปต่างจังหวัดดูบ้าง
(ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ใน 247 Magazine ฉบับที่ 268)
Text: อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์
Photo: กฤตธี อ้วนอร่ามวิไล