10 ปีบทพิสูจน์ตัวตนคนดนตรี “ว่าน ธนกฤต”

10 ปีบทพิสูจน์ตัวตนคนดนตรี “ว่าน ธนกฤต”

10 ปีบทพิสูจน์ตัวตนคนดนตรี “ว่าน ธนกฤต”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการด้วยการประกวดร้องเพลงบนเวที Academy Fantasia Season 2 วงการเพลงได้สร้างศิลปินคุณภาพให้ทุกคนรู้จัก “ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์” หรือ “ว่าน AF2” นอกจากความสามารถด้านร้องเพลงแล้ว ว่านยังเป็นนักแต่งเพลงที่มีเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกออกมาอย่างสร้างสรรค์

วันนี้หนุ่มผู้รักเสียงเพลงเดินทางบนเส้นทางดนตรีมาไกลกว่า 10 ปี Sanook! Men ขอย้อนกลับไปดูเส้นทางชีวิตและการพิสูจน์ตัวตนของศิลปินหนุ่มมากความสามารถคนนี้

จุดเริ่มต้นของการเลือกเดินบนเส้นทางนักดนตรี
“จริงๆ ค้นไม่เจอเลยครับตอนเด็ก และมันถึงเวลาที่เกือบจะต้องเลือกเส้นทางการศึกษาต่อ และเพื่อนๆ เขาก็มีความถนัดของตัวเอง ส่วนตัวผมมีคำถามว่าเอาไงดีไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนเริ่มต้องทบทวนตัวเองว่ามีอะไรบ้าง และช่วงนั้นผมเริ่มขี้เกียจเรียนหนังสือก็เรียนไม่เก่ง ต้องผ่าพวกลูกกบ ต้องไปดูความเร็วของลูกเหล็กหล่นจากโต๊ะด้วยความเร็วเท่านี้ ผมก็แบบจะไปปรับใช้ช่วงไหนก็เริ่มต่อต้าน จากช่วงมัธยมต้นที่เรียนแบบดีๆ พอไปเรียนมัธยมปลายก็เริ่มปีนออกจากโรงเรียนบ้าง เรียกว่าเกเรเลยครับแต่ไม่ได้ถึงขั้นยาเสพติดอะไร จนสุดท้ายค้นพบว่ามีกิจกรรมเดียวที่พอใช้เวลาว่างกับมันได้คือกลับบ้านก็เล่นดนตรีบ้างคนเดียวในห้อง ซึ่งก็คือกีตาร์ตัวเดียวเล่นฆ่าเวลาพอถึงเวลาต้องเลือกก็คิดว่าต้องเอาอันนี้อยู่กับเรามานานและมันก็ยังอยู่ได้ก็เลยลองดู ผมเลยเลือกเรียนด้านดนตรีแล้วทำให้ตื่นไปเรียนอย่างมีความสุขผลการเรียนที่ออกมามันก็ดี”

สิ่งที่ทำให้คุณมั่นใจว่างานดนตรีเหมาะกับคุณคืออะไร
“ตอนนั้นผมเริ่มใช้ชีวิตเรียนไปด้วยเล่นดนตรีไปด้วย กลางคืนออกไปหารายได้พิเศษไปเล่นตามผับเพราะผมคิดว่าเราควรเติมวิตามินให้ตัวเองบ้าง ถ้าเรียนอย่างเดียวแล้วค่อยไปเริ่มงานตอนเรียนจบมันช้าไป เพื่อนคนอื่นเขาทำงานกันอย่างน้อยไปเล่นชั่วโมงครึ่งก็ได้มาตั้ง 500 บาท ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หาเงินด้วยตัวเองไว้ใช้และเก็บเงินได้ค่อนข้างเยอะ พอเล่นเสร็จกลับมาที่บ้านจะเอาเงินไปวางไว้หลังทีวีแม่ก็จะเอาไปเข้าบัญชีของผม พอผ่านเวลาไปครึ่งปีที่ทำงานมาและเล่นสัปดาห์ละแค่สามวัน พอเปิดสมุดบัญชีมาเราเห็นเงินหมื่นก็เลยรู้สึกว่าถ้าทำงานเองรู้จักเก็บเงินด้วยก็รู้สึกว่าเป็นไปได้นะอาชีพนี้ บวกกับคุณแม่ที่เขาเป็นห่วงเรื่องหัวข้อการเรียนก็ไปหาคอร์สเรียนแต่งเพลงให้ มันทำให้ผมมีไอเดียการเขียนเพลง ซึ่งก็น่าสนใจเลยคิดว่ามันเป็นไปได้มือเริ่มสั่นร้อนวิชาจนได้ทำอัลบั้มเพลงเล็กๆ กับเพื่อนๆ ปรากฏว่าเราก็สนุกเงินมันไม่ได้เยอะหรอกแต่มันเป็นกิจกรรมวัยรุ่นที่ดีเลยทำให้ผมเริ่มอยากลุยต่อทางด้านดนตรีทางเขียนเพลง”

คุณมองเห็นอะไรในวันวานเคยเป็นเด็กจากการประกวดแต่ปัจจุบันเป็นศิลปินคุณภาพ
“มันดูน่าเขินเหมือนกันนะ แต่ถ้าจะบอกว่าเราเป็นศิลปินอาชีพแล้วก็ขอขอบคุณ และผมก็จะพยายามทำให้ทุกงานที่ออกมาเหมือนทุกครั้งที่ต้องทำอัลบั้มใหม่ต้องทำเพลงใหม่ก็จะพยายามควบคุมระดับคุณภาพให้มันอยู่ในระดับที่เราเคยทำมาตลอด ส่วนใหญ่หลักๆ เลยชีวิตผมประกอบด้วยความโชคดีเสมอ อาจจะไม่รู้ว่าด้วยอะไรก็ตาม แล้วการได้รู้จักผู้ใหญ่เขาจะสอนเราเรื่องการจะเป็นศิลปินคุณภาพมันต้องมีวินัย ผมว่าอาชีพที่พวกเราทำกันอยู่มันเป็นอาชีพอิสระ ถ้ายังควบคุมวินัยของตัวเองไม่ได้ก็ไปหางานที่ต้องตอกบัตรทำเถอะ เพราะว่าอาชีพนี้มันไม่มีใครมาปลุก ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มีการควบคุมเวลา แต่ถ้าตื่นมาทำงานตามที่กำหนดส่งไม่ได้ก็เจ๊งอยู่ดี นัดลูกค้าแล้วก็ต้องทำงานให้มันตรงเวลาซึ่งก็คือการมีวินัยอย่างที่บอกอันนี่แหละครับที่ผมทำ”

อยากให้บอกถึงแนวคิดการเขียนเพลงของคุณที่มักจะเป็นภาษาแปลกติดหูและติดปาก
“ตอนเด็กผมชอบเรียนภาษาไทย ผมสนุกกับการใช้ภาษาไทย ภาษาไทยมีข้อแม้ ข้อจำกัดเยอะมากไปหมด 1 คำอาจจะมีหลายความหมาย บางทีหนึ่งความหมายอาจจะใช้คำได้หลายๆ คำที่มาใช้แทนความหมายเดียว ผมก็เลยเริ่มต้นจากอัลบั้มที่ 1 ที่ 2 เช่น ระยะปลอดภัย ผมจะเอาชื่อเพลงตั้งก่อน คำนี้ถ้าไม่ใช่ความหมายเดียว ถ้าไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างเดียวมันอาจจะเป็นระยะปลอดภัยอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เราอยู่กับคนที่เราชอบโดยที่มันไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรเลยก็ดูปลอดภัยดีจะทำอะไรก็ไม่มีใครมาว่าหรือ เพลงอยู่บำรุง ผมจะพยายามตีความหมายให้มันต่างออกไป คำนี้ผมดูข่าวตอนเย็นอยู่แล้วมันมีคำวิ่งข้างล่างข่าวบรรทัดเดียววิ่งเข้ามาในหัวว่า “อยู่บำรุง” คิดว่าคำนี้ สิ่งรับรู้ของคนมันคือ มันน่ากลัว มันต้องไม่อย่างนั้นสิ ยาบำรุง ครีมบำรุง แล้วก็อยู่มันต้องดีกว่าไม่อยู่ เราต้องอยากให้คนที่เรารักอยู่กับเรา มันต้องเป็นคำที่ดี มันจะเป็นคำน่ากลัวต่อไปไม่ได้ครับ”

ถ้าให้บอกว่าหัวใจหลักในการแต่งเพลงหนึ่งเพลงคุณคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“จริงๆ ไม่มีอะไรเลยครับสำหรับผม ผมคิดว่าเรื่องที่เข้มข้น เวลาไหนก็แล้วแต่ จะขับถ่าย จะขับรถ พรวนดิน อะไรก็ว่าไป เรื่องที่เข้มข้นพามาซึ่งคำต่างๆ มันจะอยู่ในเรื่องนั้นอยู่แล้ว เราอาจจะฟังเรื่องไม่ประสบความสำเร็จในความรักของเพื่อน เขาอาจจะมาปรึกษาเรา เลิกไปแล้วแต่ลืมไม่ได้ มันจะมีคนแบบนี้ในตำแหน่งชีวิตเรา ถ้าเรื่องมันแรงเราก็หยิบมาง่าย กระจายลงไปในประโยคในบรรทัด แต่ว่าถ้าเรื่องมันบางมากเราก็ต้องจินตนาการต่อเองครับ”

คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นเปรียบเหมือนบทพิสูจน์สิ่งที่คุณอยากจะบอกอะไร
“ผมเชื่อว่าคนเรามี 10 ปีแค่ครั้งเดียว เหมือนมีลูกๆ ก็รับปริญญาตรีครั้งเดียว คงไม่รับซ้อน 2 ใบ ถ้าไม่ขยันเรียนขนาดนั้น วันนั้นน่าจะเป็นวันที่ผมตั้งใจมากๆ เลยครับ ก็จะประมวลชิ้นงานเพลงที่เคยเขียนมาหลายๆ เพลง แล้วก็เป็นเพลงคุ้นๆ กันอยู่แล้ว บางเพลงเขียนด้วยน้ำตาก็มี ปกติผมจะเปิดเผยแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ด้านบวก ที่ไม่ใช่ด้านสนุกน้อยมากไม่ค่อยได้พูด ความเสียใจ หรืออะไรที่ไม่เวิร์คทั้งหลาย วันนั้นถ้าเป็นวันของผม ผมคงมีเวลาแอบฟ้องคนดูบ้างว่ามีช่วงชีวิตบางครั้งนะที่อยากคุยกับใครสักคนสองคน วันนี้อยู่ครบเลยก็เล่าทีเดียว และก็มีเพลงพิเศษสำหรับวาระ 10 ปี และก็อัลบั้มที่สี่ที่กำลังทำอยู่ครับจะวางขายวันนั้นวันแรก ผมพร้อมแล้วครับ”

บทสรุปที่ได้จากการพูดคุยกับหนุ่มว่านคงเป็นเรื่องของทุกสิ่งอย่างมีสองด้านเสมอ อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกหยิบและมองด้านไหนเข้มข้นกว่ากัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook