จุมพจน์ เชื้อสาย…ชายผู้เดินไปเคาะประตูสู่ความสำเร็จ!
เรื่อง พีรภัทร โพธิสารัตนะ www.facebook.com/peerapat.secret ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี
จุมพจน์ เชื้อสาย คือใคร
หากอธิบายแบบรวบรัด เขาคือผู้ชายวัยห้าสิบกว่าที่เติบโตมาจากครอบครัวธรรมดาในอำเภอหาดใหญ่ ก่อนที่ความมุ่งมั่นจะพาเขาบินไปไกลแสนไกล และมีชีวิตอย่างที่คนธรรมดาทั่วไป…ไม่น่าจะมีได้
เขาเรียนจบรัฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา และเคยทำงานในองค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติ
เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย อาทิเป็นกรรมการบริหารของ S & P Global เปิดบริษัทพัฒนาบุคลากร Leadership Management International (LMI) ในแผ่นดินเกิด
เขาเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ได้ถือครองชาโต (Cháteau) ปราสาทโบราณสมัยศตวรรษที่ 13 ในประเทศฝรั่งเศส
เขาเคยเดินเท้า 1 ล้านก้าวข้ามพรมแดนประเทศฝรั่งเศสไปยังประเทศสเปน ท่ามกลางอากาศแห้งแล้งและเหน็บหนาวเพียงลำพังเพื่อระดมเงินทุนช่วยการกุศล!
และเขากำลังจะเปิดเผย “เส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา” กับ Secret
เล่าเรื่องการเดินเท้าข้ามพรมแดนฝรั่งเศสไปสเปนให้ฟังหน่อยสิครับ
เดิมทีผมไม่ได้คิดว่าจะเดินเท้าในลักษณะนั้น แต่บังเอิญได้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนผู้หญิงชาวดัตช์คนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ฝรั่งเศสเธอบอกว่า “ฉันกำลังจะเดินเท้าไปสเปนทางซานเตียโกเดกอมโปสเตลา ใช้เวลาเดิน 2 เดือน” คืนนั้นผมไปเสิร์ชหาข้อมูลเลยรู้ว่าเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางจาริกแสวงบุญของผู้นับถือศาสนาคริสต์จากประเทศต่าง ๆเป็นล้านคน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมาบางคนเดินจากเยอรมนี ฟินแลนด์ เนเธอร์-แลนด์ หรือออสเตรีย เดินกันเป็นปีเพื่อไปสักการะนักบุญเซนต์เจมส์ที่แซนดีเอโก
ตอนนั้นผมอายุ 50 ปีพอดี มีความรู้สึกว่าเราเองก็อยู่มาครึ่งศตวรรษแล้วน่าจะทำสิ่งที่ท้าทายตัวเองบ้าง อีกอย่างหนึ่งตอนนั้นคุณพ่อผมเพิ่งเสียไป เลยอยากทำอะไรเพื่อเป็นการเตือนตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ งานที่ผมทำอยู่คือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้คน ผมจึงต้องสร้างให้กับตัวเองก่อนก็เลยตัดสินใจว่าจะออกเดิน เพื่อพิสูจน์ว่าคนเราไม่มีข้อจำกัด ถ้ามีใจอยากจะทำ
การเตรียมตัวเรื่องกายภาพไม่ยากเท่าไหร่ แต่เรื่องจิตใจนี่สำคัญมาก ต้องไม่กลัว ไม่ดูถูกตัวเอง ต้องเชื่อว่าตัวเองทำได้ ผมแบกเป้เดินคนเดียวจากชายแดนฝรั่งเศสไปสเปน ใช้เวลา 27 วัน ข้ามภูเขาสามลูก น้ำหนักลงไป 10 กิโล เล็บเท้าหลุดไป 7 เล็บ
นอกจากการเดินเพื่อท้าทายตัวเองยังมีการระดมทุนช่วยเหลือการกุศลด้วยใช่ไหมครับ
การระดมทุนเป็นวัตถุประสงค์ที่ตามมาทีหลัง ตอนแรกผมแค่อยากจะเดินเพื่อท้าทายตัวเอง แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พ่อเท่านั้น แต่บังเอิญปีนั้นเป็นปีที่โรตารีครบร้อยปี ผมในฐานะโรตาเรียนคนหนึ่งมีความรู้สึกว่าน่าจะใช้วาระพิเศษนี้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย ผมเลยตั้งโครงการผ่าตัดต้อกระจก หาเงินมาสนับสนุนมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชนขึ้น แล้วระดมทุนโดยให้เพื่อน ๆ ร่วมบริจาคเงินสนับสนุนการเดินของผม ตอนแรกตั้งเป้าเอาไว้ที่ 5 แสนบาทซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นค่ารักษาต้อกระจกให้กับคนยากจนได้ 100 คน สุดท้ายปรากฏว่า ได้เงินบริจาคมาเกือบ 3 ล้านบาท ถือว่าเกินคาดมาก และผมก็ยังระดมทุนเพื่อสานต่อโครงการผ่าตัดต้อกระจกมาจนถึงตอนนี้
การเดินเท้า 1,000 กิโลเมตร หรือ 1 ล้านก้าว ได้บอกอะไรกับชีวิตของคุณบ้างครับ
ผมได้รับบทเรียนดี ๆ มากมาย ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าไปกีดกั้นความสามารถของตัวเอง อย่ากลัว อย่าคิดว่าเราคงทำได้แค่นี้ ตอนแรกที่ตัดสินใจเดิน ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปตายระหว่างทางหรือเปล่าในขณะเดียวกันก็ไม่มีความกลัวว่าจะถูกปล้นถูกจี้เลย มีแต่ความรู้สึกว่าทุก ๆ วันคือการหาคำตอบบางอย่างให้ชีวิต
ผมพบว่าที่สุดแล้วถ้าคนเราอยากจะทำอะไรจริง ๆ ย่อมทำได้ วันหนึ่งเมื่อสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็จะเกิดพลัง ความภูมิใจ และความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง ซึ่งจะส่งผลให้การใช้ชีวิตทุกวันนับจากนั้นมีเป้าหมายและมีความหมาย นั่นคือซีเคร็ตที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งผมได้ค้นพบจากการเดินครั้งนั้นขอเปลี่ยนมาเป็นเรื่องส่วนตัวบ้างนะครับ มองย้อนกลับมายังชีวิตวัยเด็ก
สิ่งที่ทำให้เด็กชายจุมพจน์มีความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองมาจนถึงวันนี้คืออะไรครับ
สภาพแวดล้อมสำคัญมากครับคุณพ่อคุณแม่ผมให้ความสำคัญกับการศึกษามาก สำหรับคุณแม่นั้น เหตุจูงใจน่าจะมาจากการที่ตอนเด็ก ๆ ท่านเรียนดีมากแต่สุดท้ายก๋งไม่ให้เรียนต่อ เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง คุณแม่จึงอยากให้ลูก ๆ เรียนสูง ๆ ส่วนคุณพ่อเองก็คอยเคี่ยวเข็ญให้พวกเราตั้งใจเรียน นอกจากนั้นครอบครัวอื่น ๆ ในละแวกบ้านส่วนมากจะสนับสนุนให้ลูก ๆ มีการศึกษากันทั้งนั้น เวลาอ่านหนังสือทีก็จะอ่านออกเสียงกันเจื้อยแจ้วได้ยินไปทุกบ้าน กลายเป็นแรงกระตุ้นซึ่งกันและกัน สภาพแวดล้อมทำให้ผมเป็นเด็กใฝ่เรียน สอบได้ที่ 1 มาตลอดตั้งแต่ป. 1 - ป. 7 ในขณะที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ในละแวกเดียวกันต่อมาก็ได้ดิบได้ดี เป็นปลัดกระทรวง เป็นอธิบดี รองอธิบดี เป็นใหญ่เป็นโตกันหมด
ส่วนคุณก็มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยใช่ไหมครับ
ตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศหรอกนะครับ จนกระทั่งตอนมัธยม ผมได้เจอนักท่องเที่ยวชาวฮอลแลนด์คนหนึ่ง เขาเป็นผู้จุดประกายให้ผมเริ่มมีความคิดอยากจะออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ก่อนกลับเขามอบสมุดให้ผมเล่มหนึ่งแล้วบอกให้เขียนความฝันของตัวเองลงไป คืนนั้นผมตื่นเต้นมาก คิดทั้งคืนเลยว่าอยากเดินทางไปที่นั่นที่นี่ ความฝันนี้ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งตอนเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วเห็นประกาศว่ามหาวิทยาลัยแบรนไดส์แจกทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีผมจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้โดยไม่ลังเล
หากมองกลับไป วันนั้นถือเป็นพื้นฐานความสำเร็จอย่างหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้หากลองไปอ่านเรื่องราวชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จ คุณจะพบว่า คนเหล่านั้นมีสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น นั่นคือ พวกเขามีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิต แล้วพวกเขาก็ต้องหาวิธีการและลงมือทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ฝันนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาให้ได้
ดูเหมือนคุณจะเป็นคนที่พุ่งเข้าหาเป้าหมายอยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ
ผมไม่เคยดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้รวมทั้งเป็นคนที่ชอบเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่อยากทำไม่เดือดร้อนใครเป็นประโยชน์ และได้เรียนรู้ ผมไม่เคยกลัวอยากได้อะไรผมจะเดินเข้าไปเคาะประตูเสมอ ตอนที่ผมนั่งรถไฟจากหาดใหญ่ไปเรียนที่สงขลา หลังสถานีรถไฟมีห้องสมุดของสำนักงานข่าวสารอเมริกันอยู่ ผมก็เดินเข้าไปเคาะประตูขอฝรั่งอ่านหนังสือ ซึ่งเด็กคนอื่นไม่กล้าทำ หรือเมื่อต้องเดินทางไปอเมริกาคนเดียวตอนอายุ 18 ปี ผมมีเงินติดกระเป๋าไปแค่ 150 ดอลลาร์ และไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า
ความมั่นใจในตัวเองถือเป็นความได้เปรียบที่ติดตัวผมมาตลอด อย่างตอนเรียนจบ ผมอยากทำงานสหประชาชาติมากสิ่งที่ผมตัดสินใจทำคือ เขียนจดหมายไปหาวุฒิสมาชิกเอดเวิร์ด เคนเนดี (Edward Kennedy) ถามว่ามีอะไรให้ทำไหม ทั้งที่ท่านไม่มีทางรู้จักผมแน่ ๆ แต่ท่านน่ารักมากเขียนจดหมายกลับมาว่าไม่มี และแนะนำให้ไปติดต่อคนนั้นคนนี้ จนสุดท้ายผมได้ทำงานที่สหประชาชาติอย่างที่เคยฝันไว้จริง ๆ
พอได้ทำงานกับองค์การสหประชาชาติจริงๆ เป็นอย่างที่ฝันไว้ไหมครับ
สนุกมากครับ ผมได้ทำงานภาคสนามเยอะ งานแรกผมกับนักกฎหมายคนหนึ่งถูกส่งตัวไปที่ตำบลไม้รูด จังหวัดตราดงานของเราคือไปสังเกตการณ์ผู้อพยพเขมรจำนวน 1,500 คนที่ถูกส่งกลับประเทศ รวมถึงการเก็บข้อมูลทำระเบียนผู้ที่จะอพยพไปยังประเทศที่สาม ผมต้องไปอยู่ในแคมป์ผู้อพยพได้พบปะผู้คนหลายรูปแบบ เหตุการณ์ที่สะเทือนใจมากคือตอนที่อยู่เขาอีด่าง ปัจจุบันคืออำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ผมรู้จักล่ามคนหนึ่ง เวลาทำงานเขาจะมานั่งประกบเราตลอดเวลา เพราะต้องคอยสื่อสารกับผู้อพยพ ทุกครั้งที่ลงพื้นที่ผมจะซื้อข้าวไปกินกับเพื่อนร่วมงาน 5 - 6 ห่อ และแบ่งให้ล่ามด้วย ผมสังเกตว่าพอถึงเวลากินข้าวล่ามคนนี้จะหายตัวไปทุกที เราก็เอ๊ะ หายไปไหน วันหนึ่งผมลองตามไปดู ภาพที่เห็น คือ เขาเอาข้าวห่อหนึ่งที่เราให้ไปแบ่งกันกินกับลูกเมียและแม่ของเขาด้วย รวมแล้วข้าวหนึ่งห่อกินกัน 7 คน ได้กินแค่คนละ 2 คำเท่านั้น ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำผมมาจนทุกวันนี้
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยก็คือ ตอนอยู่ที่ฮ่องกง มีผู้อพยพชาวเวียดนามเหนือคนหนึ่งขอให้ผมเป็นเจ้าภาพงานแต่งให้ ฝ่ายชายเกือบเจ็ดสิบแล้วนะครับ ส่วนฝ่ายหญิงนี่เจ็ดสิบกว่า เรื่องมีอยู่ว่า ตอนอายุยี่สิบกว่า ผู้ชายคนนี้ไปตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่พ่อแม่เขาไม่อนุญาตให้แต่งงานกัน เพราะผู้หญิงเป็นชาวเวียดนามใต้ หลังจากที่อกหัก เขาบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงอื่นหลายสิบปีผ่านไปผู้ชายคนนี้ก็อพยพออกจากเวียดนามเหนือมาอยู่ฮ่องกง วันหนึ่งเขาไปเดินเล่นในตลาด แล้วได้เจอแม่ค้าขายผักคนหนึ่ง เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเธอคนนั้น เลยถามไปว่า “ลานใช่ไหม” ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า “ใช่” เขาถามต่อว่า “ยังจำฉันได้ไหม” เธอตอบว่า “จำได้” หลังจากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจจะใช้ชีวิตด้วยกัน ผมบังเอิญทำงานอยู่ที่นั่นพอดี เขาเลยขอให้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวให้ เรื่องนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่น่ารักมาก ๆ
ได้เจอประสบการณ์ดีๆ มากมายอย่างนี้ ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากองค์การสหประชาชาติเสียล่ะครับ
ผมเริ่มคิดเรื่องการลาออกตอนที่กำลังจะถูกส่งตัวไปทำงานที่ประเทศซูดานช่วงนั้นมีสงครามกองโจรที่ซูดาน ใจหนึ่งผมอยากไปมาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าเริ่มเหนื่อยกับงานที่อยู่กับเราแทบตลอดเวลา ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจัดการวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร และเริ่มมองปัญหาทุกอย่างเป็นสถิติ มีคนตายเท่านี้คน ต้องส่งความช่วยเหลือไปเท่านี้อย่างซึ่งสำหรับผม ถ้าคุณมองทุกอย่างเป็นตัวเลขเมื่อไหร่ ถึงเวลาต้องพิจารณาตัวเองแล้ว
ผมให้เวลาตัวเองอยู่หนึ่งปี ระหว่างนั้นก็หาคำตอบว่า เราได้ทำงานในองค์การสห-ประชาชาติตามที่ฝันแล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ายังไม่พบคำตอบของชีวิตเสียที จนกระทั่งได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อินเดีย วันนั้นมีเด็กคนหนึ่งมานั่งคุยกับเราอย่างมีไมตรีจิต ทั้ง ๆที่เขามีศพยายอยู่ข้าง ๆ และไม่มีเงินเผาศพยายด้วยซ้ำ แต่เขากลับดูนิ่งและเข้าใจความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาก ตรงนั้นเองที่ทำให้ผมได้คำตอบว่า เรามีทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงต้องมากังวลเศร้าสร้อยกับชีวิต ชีวิตคนเรามีอะไรท้าทายมากกว่าที่ทำอยู่นี้เยอะแยะถ้าเราอยากโต ต้องไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่พอคิดได้อย่างนั้น ผมกลับไปลาออกจากงาน
การต้องเปลี่ยนงานตอนอายุสามสิบกว่า ถือเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับคุณบ้างไหมครับ
ผมไม่กลัวเลยครับ ทั้งที่ตอนนั้นผมยังไม่มีเงินเก็บเยอะเท่าไหร่ด้วย ผมแค่รู้สึกว่าคนเราต้องมีทางเลือก แล้วถ้าจะไปก็ควรไปในช่วงที่พีคที่สุด อย่าไปในช่วงที่ถดถอย เพราะถ้าไปช่วงที่พีค คนจะคิดถึงเรา ถ้ามีปัญหาอะไร เราก็ยังกลับเข้ามาได้ตอนนั้นผมยังไม่มีครอบครัว ยังไม่มีลูกเลยรู้สึกมีอิสระ จะคิดทำอะไรก็ได้ หลังจากลาออก ผมกลับมาซื้อที่ดินทำโรงแรมร่วมกับหุ้นส่วนที่สมุย แต่พอเริ่มโครงการไปได้สักพักก็เริ่มเห็นว่า นั่นไม่ใช่วิถีชีวิตของเรา เลยตัดสินใจขายไป
คุณทำงานในต่างประเทศมานานพอกลับมา มีปัญหาในการร่วมงานกับคนไทยบ้างหรือเปล่าครับ
มีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกันนะครับเพราะเรามีวิธีการคิดไม่เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาอะไรมากมาย ไม่ได้มองว่าเพื่อนร่วมงานไม่เก่งหรือเป็นตัวถ่วงผมมองว่านี่เป็นช่องทางในการกลับมาพัฒนาคนของเรามากกว่า เช่น การพัฒนาความคิดการบริหารตัวเอง และการทำงานให้เป็นการกลับมาเมืองไทยทำให้พบว่า สิ่งที่ผมขาดไปในการทำงานช่วงท้าย ๆ ที่สหประชาชาติคือ การพัฒนาเป้าประสงค์อย่างต่อเนื่องผมตัดสินใจศึกษาเรื่อง Leadership Management ซึ่งจะเปิดโลกทัศน์และสร้างทัศนคติใหม่ ๆ ให้ผมได้อย่างมีพลังรวมทั้งสร้างแรงจูงใจใหม่ ๆ ด้วย ผมสามารถมองภาพออกว่าช็อตต่อไปของชีวิตหรือการทำงานควรเป็นอะไร นั่นคือที่มาของบริษัทแอลเอ็มไอ [LMI - Leadership Management International (Thailand)] ซึ่งผมตั้งใจจะแบ่งปันเรื่องนี้กับคนอื่น ผมคิดว่าถ้าคนไทยรู้จักพัฒนาตนเองมากขึ้นคิดเป็นมากขึ้น วางแผนเป็น ตั้งเป้าให้สูงขึ้นมีการพัฒนาอย่างจริงจังต่อเนื่อง และตอบสนองวิสัยทัศน์ที่แท้จริงแล้ว ก็จะทำให้การบริหารจัดการองค์กรมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นที่ผ่านมาเรามักพัฒนาองค์กรโดยมุ่งเน้นแต่การทำกำไร โดยไม่คิดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนทำให้ผลที่ได้รับไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
คุณทำงานหนักและเดินทางบ่อยมากมาตลอด มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาไหมครับ
ผมจัดเวลาเอาไว้แล้วว่าจะทำงานปีละ 9 เดือนเท่านั้น ทุก ๆ 3 เดือนผมจะเบรก พอมีลูก (ศริณ เชื้อสาย) ตารางชีวิตของผมก็จะวางตามตารางของลูกเป็นหลักลูกปิดเทอมเมื่อไหร่ ผมปิดเทอมด้วยถ้ามีงานเข้าในช่วงที่ลูกหยุด ผมจะบอกไปเลยว่าไม่ได้ มีภารกิจแล้ว (ยิ้ม) ส่วนเวลาที่เหลือจากนั้น ผมจะบริหารอย่างละเอียด และเข้มงวดกับการใช้เวลาในแต่ละวันมาก เพราะผมถือว่าถึงแม้เราจะหาเวลาเพิ่มเติมไม่ได้ แต่เราสามารถจัดการเวลาให้ดีได้ เหมือนมีเงินอยู่ไม่เยอะก็จริงแต่สามารถจัดสรรได้ว่าจะแบ่งเป็นค่าผ่อนรถ ค่าเช่าบ้านอย่างไร เวลาก็เหมือนกันเราต้องมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการจัดสรรเวลานั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุขในการเดินทาง ผมมีความสุขกับการนั่งนิ่ง ๆ10 - 12 ชั่วโมง ได้อ่านหนังสือหรือดูหนังที่ไม่ค่อยได้ดู จากปกติที่ไม่เคยมีเวลาไปดูหนังเลย สำหรับคนอื่นอาจจะเหนื่อยกับการเดินทางนาน ๆ แต่สำหรับผมมันเหมือนการได้พักมากกว่า
คุณเลี้ยงลูกแบบไหนครับ ปลูกฝังให้ลูกชายมีความมุ่งมั่นเหมือนพ่อหรือเปล่า
ผมเลี้ยงลูกแบบ Single Parent จึงต้องคิดเสมอว่า จะทำอย่างไรให้เขาเติบโตแล้วสามารถช่วยตัวเองได้ โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป ผมมองว่าเด็กไทยยังขาดความรับผิดชอบอยู่เยอะ จึงให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำในต่างประเทศเพราะที่นั่นมีกฎ มีข้อจำกัดในหลายเรื่องทำให้เขาต้องเรียนรู้ ต้องต่อสู้เอาตัวรอดและรู้จักการอยู่ในชุมชนที่มีกฎเกณฑ์และวินัย ในความคิดของผม อนาคตคนเราต้องต่อสู้มากขึ้น เงื่อนไขในชีวิตจะยากเย็นขึ้นในขณะที่มีโอกาสน้อยลง ดังนั้น การจะประสบความสำเร็จได้จึงต้องอาศัยความฉับไวความสามารถในการตัดสินใจ ความอึดความรอบรู้ และต้องมีองค์ความรู้สำคัญที่จะมาฟาดฟันกัน อะไรที่เราปลูกฝังให้เขาตอนนี้ได้ ผมก็อยากทำให้ได้มากที่สุดครับ
ลูกทำให้ชีวิตผมมีความหมายมากขึ้นทำให้เรารู้สึกว่าการเป็นพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะการทำให้เขารู้จักคิด เอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างมีความสุขด้วย ผมมีความสุขมากกับการได้เป็นพ่อ ทุกวันนี้ผมบอกลูกเสมอว่า ไม่มีความสุขไหนของพ่อแม่ที่จะมากไปกว่าการได้เห็นลูกประสบความสำเร็จ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาภูมิใจกับความสำเร็จเหล่านั้นไหม ผมเทรนซีอีโอมาหลายบริษัทนะครับ แต่ยอมรับเลยว่าเทรนลูกนี่แหละ…ยากที่สุด
ทุ่มเทให้กับงานและลูกชายเป็นหลักแบบนี้ มีเวลาสำหรับเรื่องส่วนตัวบ้างไหมครับ
จะถามเรื่องความรักใช่ไหม…ความจริงผมเป็นคนนิยมความรักมากนะ ผมเชื่อว่าความรักเป็นตัวขับเคลื่อนที่มีพลังมาก ทำให้คนเรามีความกล้า จะทำอะไรได้มากกว่าปกติแต่ด้วยความที่ผมไม่มีชีวิตคู่ เลยค่อนข้างมีข้อจำกัดในชีวิตอยู่บ้าง ถามว่าเหงาไหม…เหงา แต่ผมทดแทนด้วยการเดินทาง เสาะแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่รวมทั้งมีความสุขกับการปลีกวิเวกด้วย
ผมมองว่าตัวเองเป็นคนสุขง่ายแล้วก็ทุกข์ง่าย ที่ว่าสุขง่ายคือ สามารถรับอะไรได้ง่าย ในขณะเดียวกันด้วยการรับได้ง่ายนี่แหละก็ทำให้เกิดการกระทบได้ง่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสุขโดยที่ไม่ทุกข์เลย ผมคิดว่านี่คือความเป็นมนุษย์ผมมีทั้งสองด้านอยู่ในตัวเอง คือพึงพอใจในความสุขที่มี ขณะเดียวกันก็ไม่รังเกียจที่จะทุกข์ ถ้าถามความพิเศษในตัวผมก็คือการอยู่กับสองขั้วตรงข้ามนี้ได้โดยไม่รู้สึกขัดแย้ง
พูดถึงเรื่องความทุกข์ ขอถามเรื่องศาสนาบ้างนะครับ คุณให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แค่ไหนครับ
ศาสนามีอิทธิพลกับชีวิตผมมากครับเพราะหลักธรรมในพุทธศาสนาทำให้เรามีที่ไปเวลาที่เราเครียดหรือเป็นทุกข์ ซึ่งต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ผมที่ปลูกฝังให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีมาตั้งแต่เล็ก ๆ ตอนเด็ก ๆ ต้องตื่นตีห้ามาใส่บาตรแล้วไปวัดกับพ่อแม่ น่าเสียดายที่กิจกรรมแบบนี้ขาดหายไปในสังคมปัจจุบัน ผมเองแม้ไม่ได้ปลูกฝังเรื่องศาสนากับลูกเคร่งครัดนักแต่ก็เชื่อว่าพื้นฐานเรื่องพุทธศึกษาจะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนดี ผมให้เขาเรียนที่โรงเรียนทอสีตอนเด็ก ๆ และเชื่อว่าเขาจะมีพัฒนาการทางพุทธศาสนาที่ดี ไม่อย่างนั้นแผนการที่เขาเคยกำหนดไว้ว่าจะบวช 2 สัปดาห์คงไม่ถูกขยายเป็น 2 เดือนแน่ ผมในฐานะพ่อก็อนุโมทนากับเขาด้วย (ยิ้ม)
คุณผ่านความสำเร็จมาแทบทุกรูปแบบแล้ว ตอนนี้ยังตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้างไหมครับ
เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง เป้าหมายคนเราก็ย่อมมีเปลี่ยนไปเป็นธรรมดานะครับตอนอายุน้อยกว่านี้ผมก็มีเป้าหมายอยากก่อร่างสร้างตัว แต่ถึงตอนนี้ผมตั้งปณิธานกับตัวเองตั้งแต่อายุ 50 แล้วว่า ทุกปีผมจะต้องทำเรื่องที่ไม่เคยทำ 1 เรื่อง ตอนอายุ 50ผมเดินเท้าข้ามพรมแดนฝรั่งเศส ปีต่อมาผมเริ่มเรียนเปียโน ส่วนปีที่แล้วผมกับลูกก็ออกเดินจากเกียวโตไปนะระด้วยกัน ชีวิตผมมีเป้าหมายแบบนี้ทุกปี
ถึงวันนี้ ความสำเร็จในมุมมองของจุมพจน์ เชื้อสาย มีหน้าตาเป็นอย่างไรครับ
หลายคนมองว่าการได้เป็นเจ้าของชาโตเป็นมาตรวัดความสำเร็จของผม แต่ในความคิดของผม ชาโตไม่ได้เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จ ตรงข้าม กลับเป็นข้อจำกัดด้วยซ้ำ ชาโตเป็นแค่เพียงทางผ่านที่ทำให้เส้นทางชีวิตดูมีสีสันขึ้นมาหน่อยเท่านั้นเองผมภูมิใจมากที่เติบโตมาจากครอบครัวธรรมดาแต่มีโอกาสได้ทำงานในระดับนานาชาติได้พบคนสำคัญของโลก ส่วนงานในบริษัทก็ทำให้ผมมีโอกาสได้ทำให้คนใช้ศักยภาพของชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่ และที่ภาคภูมิใจที่สุดคือ การได้เป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯสมัยทรงสอนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ พระองค์มีพระเมตตาต่อผมมาตั้งแต่ตอนนั้น ผมจึงภูมิใจมากที่ได้ถวายงานท่านในหลาย ๆโอกาส รวมถึงการเป็นเลขาธิการทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิกในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯมาจนทุกวันนี้ด้วย นี่ต่างหากที่เป็นความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตผม
สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ก็คือ คนเราล้วนมีพลังในตัวเองอยู่แล้ว ขอเพียงรู้จักตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้ชีวิต และพยายามทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ มีวินัย และอย่าผัดวันประกันพรุ่ง อาจเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ยากเกินไป เช่น ออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้ เราก็จะรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น การบรรลุเป้าหมายใหม่ ๆถือเป็นการค่อย ๆ สะสมพลังให้กับชีวิตนอกจากนั้นก็ต้องมีมโนภาพที่ดีกับตัวเองตื่นเช้ามาให้ตั้งปณิธานว่า วันนี้ฉันสุขภาพดีฉันมีความสุขกับชีวิต ให้ความรักแก่ตัวเองและคนอื่น เป็นผู้ให้และผู้รับที่ดีเท่านี้ชีวิตก็มีความสุขแล้วครับ
Secret Box
ถ้าสิ่งที่อยากทำไม่เดือดร้อนใคร อย่าไปกลัว
อยากได้โอกาสอะไรให้เดินเข้าไปเคาะประตูเสมอ
จุมพจน์ เชื้อสาย