ผมไม่วิ่งตามกระแส โป๊ป- ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ

ผมไม่วิ่งตามกระแส โป๊ป- ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ

ผมไม่วิ่งตามกระแส โป๊ป- ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เขาได้ชื่อว่าเป็นพระเอกมากฝีมือคนหนึ่งของวงการบันเทิงที่ไม่ค่อยปรากฏตัวบนสื่อสิ่งพิมพ์บ่อยนัก จึงเป็นโอกาสอันดีที่โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาปรากฏตัวบนปกให้ซีเคร็ต เนื่องในโอกาสฉบับก้าวขึ้นสู่ปีที่ 9 หลังจากที่เคยขึ้นปกไปเมื่อปีพ.ศ.2554 พร้อมกับเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานจิตอาสาเพื่อสังคมครั้งนี้เขามาคุยเรื่องธรรมะที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์มากเท่านี้มาก่อน

อยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็กเลยหรือคะ
ไม่ได้อยากเป็นนักแสดงเลยครับ ไม่มีอยู่ในหัวเลยดีกว่า ตอนเด็ก ๆ ครูชอบให้ไปเต้นไปรำเวลามีงานโรงเรียน พอเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อนผมเรียนด้านภาพยนตร์กันเยอะ ก็ชอบเอาผมไปแสดงในหนังของพวกเขา จึงเริ่มชอบมาเรื่อย ๆ เพราะเดี๋ยวอาจารย์ก็ให้ไปเดินแบบ รุ่นพี่ก็ชวนไปแคสต์งานตลอดเวลา

เท่าที่ทราบมา เส้นทางในวงการของคุณโป๊ปขรุขระพอสมควรใช่ไหมคะ
ขรุขระมากครับ ผมมักบอกคนใกล้ชิดเสมอว่า ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ไม่มีความสำเร็จอะไรที่เราไม่เสียอะไรเลย ถ้าจะทำงานตรงนี้ต้องเสียสละตัวเองหลายอย่าง ต้องอดทน ก่อนจะมาเป็นพระเอกก็ต้องเป็นตัวรอง ต้องไปแคสต์งานมากมายตอนที่ไปประกวดเป็นจะเด็ด ผมเริ่มทำงานประจำมาแล้ว 5 เดือน เมื่อได้รับเลือกให้เล่นก็ลาออก แต่กลายเป็นว่า ไม่ได้ถ่ายสักทีได้เป็นพระเอกแล้ว แต่ยังไม่ได้เล่นสักที ตกลงจะให้เล่นหรือไม่เล่น เวลานั้นคิดเหมือนกันว่า หรือนี่ไม่ใช่ทางของเรา กลับไปทำงานที่เรียนมา กราฟิกดีไซน์ดีกว่าไหม ถามว่าท้อไหมก็ต้องบอกว่าท้อ อยากกลับไปทำงานออฟฟิศธรรมดาตอนนั้นตั้งใจว่า ถ้าเล่นผู้ชนะสิบทิศจบ จะบวช แต่พอโครงการยุบไปไม่ได้เล่นก็งงอยู่พักหนึ่ง พอตัดสินใจจะบวชปุ๊บก็มีงานเข้ามา เลยยังไม่ได้บวช

แต่ในที่สุดก็ได้บวชใช่ไหมคะ แล้วได้เรียนรู้อะไรจากการบวชครั้งนั้นบ้างคะ
ผมบวชหลังจากถ่ายภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ October Sonata จบ บวชเป็นเวลา 3 เดือนจริงๆ ผมสนใจธรรมะมาตั้งแต่ก่อนบวชทำให้เวลาบวชไม่ต้องปรับใจมากเท่าไร สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการบวชคือเรื่องกิจของสงฆ์วิถีของพระเป็นอย่างไร ได้เห็นทั้งพระป่า พระบ้าน ได้รู้จักวิถีความเป็นอยู่ที่ต่างจากตอนเป็นฆราวาส และการได้อยู่ในโลกของความเป็นพระทำให้ผมสงบมากกว่าเดิม

สนใจธรรมะมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ตอนเด็ก ๆ แม่เข้าวัดทำบุญ ผมก็ตามท่านไปเหมือนชาวพุทธทั่ว ๆ ไป ให้ไปช่วยขนของก็ไป แม่ไปปฏิบัติธรรมก็ชวนผมไปด้วยบอกให้ลองไปปฏิบัติ แต่ตอนแรก ๆ ผมยังไม่ยอมไป ให้พี่สาวไปก่อน ต่อมาเมื่อคุณแม่ชวนบ่อย ๆ เข้า จึงลองไปปฏิบัติดูบ้างเพราะไม่อยากทำให้แม่เสียใจ ถ้าถามว่าเริ่มศึกษาธรรมะจริงจังเมื่อไหร่ ก็ตั้งแต่อายุ 18 ปี ต้องบอกว่าผมโชคดีมากที่ได้เกิดมานับถือศาสนาพุทธ เคยฟังพระท่านเทศน์ว่าการเกิดเป็นคนนั้นยาก เปรียบกับเต่าตาบอดในมหาสมุทร ทุกหนึ่งร้อยปีจึงจะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาสักครั้ง แล้วต้องโผล่ขึ้นมาเอาหัวคล้องห่วงเล็ก ๆ ให้ได้อีก นี่คือความยากของการเกิดเป็นคน และการได้เกิดกับคุณแม่คนนี้ซึ่งเป็นคนที่สนใจธรรมะ มีคุณธรรม เคี่ยวเข็ญให้เราเป็นคนดี ชักนำให้เราได้มาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้เราได้พบพระพุทธศาสนาก็นับว่าเป็นบุญของผมมากๆ แล้วละ

เมื่อมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมได้อะไรบ้างคะ
ได้วิธีคิดครับ เมื่อก่อนผมคิดว่าธรรมะคือการทำบุญ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่พอไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว ได้เข้าใจเรื่องของจิตที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพิ่งได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีสติอย่างไร ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจหรอกว่าการมีสติอยู่ทุกเมื่อคืออะไรพอมาปฏิบัติธรรมแล้วจึงรู้ว่าจิตใจของเราวิ่งออกไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ตลอดเวลามันไม่ได้อยู่ในสภาพคงที่ แต่ถ้าเราฝึกสติรู้ตัวแล้วดูมันบ่อย ๆ ดูด้วยความมีสติก็จะช่วยให้เข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด มันต้องใช้เวลา ต้องใช้บุญ ต้องใช้ความเพียรหลายอย่าง ทุกวันนี้ก็ได้ทำบ้าง ลืมบ้าง แต่ก็ช่วยให้เวลาที่เรามีเรื่องหนัก ๆ ไม่ว่าเป็นความทุกข์หรือสุข เราจะปล่อยวางได้ง่าย ตอนที่เล่นดอกส้มสีทองคนดูพูดถึงนัทกันมาก หลังจากละครอวสานแล้วผมไปงานงานหนึ่ง ปรากฏว่ากล้อง ไมค์ มาเต็มมากเยอะที่สุดในชีวิต มันก็ตกใจปนดีใจรู้สึกว่าเราเจ๋งว่ะ แต่ในวินาทีเดียวกันนั้นก็คิดได้ขึ้นมาทันทีว่า เออนี่เรากำลังมีความสุขนะ แล้วไอ้ความสุขนี้มันก็อยู่กับเราไม่ได้นานนะ ถ้าวันหนึ่งไม่มีกล้องมาจับเราอย่างนี้ เราจะมีความสุขไหม และสิ่งที่เราบอกตัวเองต่อไปคือจำไว้ อย่าหลงกับสิ่งเหล่านี้

ทุกวันนี้นั่งสมาธิทุกวันไหมคะ
นั่งบ้าง แต่ไม่ได้นั่งทุกวันครับ เพราะบางทีเหนื่อยมาก ๆ แล้วมานั่งมันจะหลับส่วนใหญ่ผมเน้นการดูจิตในชีวิตประจำวันมากกว่า แค่ดูให้รู้ว่าจิตมันเปลี่ยนไปเรื่อยแล้วก็ปล่อยวางเสีย ผมเคยนั่งสมาธิแล้วรู้สึกเจ็บขา บางวันก็ทนนั่งต่อไปได้ บางวันก็ไม่ได้ ผมเคยถามพระอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านก็บอกว่าทำต่อไป ไหวก็ไหว ไม่ไหวก็ไม่ไหว นั่นคือจิต บางทีมันก็ได้ บางทีมันก็ไม่ได้ นั่นทำให้เรารู้ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง บางวันก็ดี แต่วันนี้มันกลับไม่ดีถ้าเราไปยึดกับคำว่าดีไม่ดี มันก็จะทุกข์

เมื่อมีความทุกข์ธรรมะช่วยได้อย่างไรคะ
เมื่อมีความทุกข์ จริงๆ มีหลักแค่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น ทุกข์แสนสาหัสแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันจะผ่านไปได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมจะดูว่าความรู้สึกเราเป็นอย่างไรโกรธแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน ดูมันไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะดับไปเอง การดูความทุกข์มันง่ายกว่าการดูความสุข เวลาเราสุข เราดูไม่เห็นหรอก มันยาก มันหลอกเราเนียนมากอย่างเวลาเราฝึกเดินนาน ๆ หรือนั่งนาน ๆ รู้สึกเจ็บ เมื่อย มันคือทุกข์กาย ซึ่งเห็นได้ง่าย แต่พอเป็นความสุขมันทำให้เราหลงไปได้ง่ายกว่าบางทีก็ตามไม่ทันแต่ถ้ามีสติก็จะพอเห็นบ้าง

คิดอย่างไรที่มีคนบอกว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพบาป
ผมเคยถามพระอาจารย์ว่า ผมควรทำอย่างไร อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพบาปหรือเปล่า เพราะบางคนที่มุ่งหน้าเข้าสู่ทาง
ธรรมจริง ๆ เขาจะไม่ทำ ท่านก็ไม่ฟันธง พูดกลางๆ ท่านบอกว่าทำได้ แต่พยายามทำให้มันดี ๆ คิดว่ามันคืออาชีพของเราต้องทำด้วยความสุจริต ให้จิตคิดไปในทางที่ดี แล้วก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ และพยายามเลือกงานที่ดี ไม่ส่อไปในทางที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ใช้อาชีพนักแสดงของเราเป็นสื่อกลางแก่คนที่ชอบเรา ชวนเขาไปทำบุญด้วยกัน หรือเวลาที่มีงานกุศล ผมก็ช่วยบอกต่อกันไป เราทำตรงนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เกิดประโยชน์ต่อศาสนา ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีตอนนี้ก็ยังจะทำอาชีพนี้ต่อไป แต่วันข้างหน้าถ้าผมไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว อาจทำสิ่งที่ตัวเองถนัด เช่นสอนศิลปะ สอนฟุตบอลให้เด็ก ๆ มันก็ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน ผมไม่ค่อยคิดถึงเรื่องของวันข้างหน้า อยากทำปัจจุบันให้ดีที่สุดมากกว่า จริงๆแล้วอาชีพไหนก็ตาม ถ้าจิตเราคิดไปในทางที่ดี มันก็เป็นบุญได้ทั้งนั้น

ในไอจีคุณโป๊ปมักชวนแฟนคลับไปทำบุญบ่อย ๆ กลัวว่าจะถูกมองว่าสร้างภาพไหมคะ
ไม่กลัวเลยครับ แม้แต่จิตเรายังบังคับมันไม่ได้เลย มันวิ่งออกไปข้างนอกตลอด เช่นทำงานอยู่ เบื่อ อยากกลับบ้าน จิตสั่งให้เราแสดงกิริยาแบบเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ออกมา แล้วตอนที่เบื่ออยู่เราจะไปบังคับให้มันมีความสุขก็ทำไม่ได้ แล้วจะไปห้ามคนอื่นไม่ให้เขาคิดกับเราอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไร เรารู้อยู่แก่ใจก็พอว่าสิ่งที่เราทำคือความบริสุทธิ์ใจ เวลาผมทำบุญหรือชวนแฟนคลับทำบุญ ผมคิดดีแล้ว ผมก็ทำ ผมมีความสุขกับการทำบุญ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ตอนแรกผมก็ไม่อยากพูดเรื่องธรรมะสักเท่าไหร่ เพราะเราก็มีมุมไม่ดี ยังมีผิดมีถูก ถ้าพูดเรื่องนี้ก็ต้องมีคนคิดว่าสร้างภาพแต่พอคิดอีกมุมหนึ่ง ถ้าการพูดเรื่องธรรมะเป็นประโยชน์แก่คนที่เขาอาจยังหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ทำให้เขามีแรงกลับมาสู้ชีวิตหรือหันมาศึกษาธรรมะแม้เพียงแค่คนเดียวก็นับเป็นบุญมหาศาลแล้วส่วนใครจะว่าเราสร้างภาพก็ไม่เป็นไร ให้เขาว่าไป

เพราะมีวิธีคิดแบบนี้ใช่ไหม ทำให้หลายคนมองว่าโป๊ปไม่ค่อยทำอะไรตามกระแส
ใช่ครับ ผมไม่ได้ทำงานตามใจทุกคน ถามว่าการที่เราไม่ทำงานตามกระแส ไม่กลัวเสียความนิยมหรือ ผมคิดว่าวันหนึ่งเราก็ต้องไม่มีคนนิยมอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่จีรังแต่ผมอยากมีความทรงจำที่ว่า หากช่วงเวลาของผมได้ผ่านไปแล้ว และมองย้อนกลับมาผมจะนึกถึงมันด้วยความรู้สึกที่ว่า เราไม่ได้ทำงานตามกระแสโลก ไม่ได้กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างให้มาอยู่กับเราแต่เวลาทำงาน เราทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ตรงนี้มันจะเป็นพลังบุญให้ผมคิดถึงแล้วมีความสุขก่อนตาย ฉะนั้นเวลาผมทำงานผมมีจุดยืนชัดเจน และบอกตัวเองเสมอว่าต้องเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในธรรมะ ถ้าสิ่งที่เราทำวันนี้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จะไม่ทำ แต่การที่เราเป็นคนแบบนี้ สังคมจะว่าเราไม่ดีไม่เป็นไร คนที่มาเจอเรา สัมผัสเรา เดี๋ยวเขาก็รู้เองว่าเราไม่ใช่คนแบบนั้น

ความสำเร็จในความคิดของคุณโป๊ปคืออะไร
สำหรับบางคนอาจมองว่าความสำเร็จคือการได้เป็นพระเอก ได้รางวัลซูเปอร์สตาร์หรือมีคนนิยมชมชอบมากมาย มันอยู่ที่ใครพอใจแค่ไหน แต่สำหรับผมคิดว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรมะจริง ๆ นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ถ้าผมยังไม่เข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ ผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่จริง ๆ แล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะครับ ขอให้เราทำดีแล้วมีความสุขกับตัวเองให้ได้ก็พอแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook