เปิดบ้านชมตู้เสื้อผ้า ณัฐพล จุฬางกูร มิกซ์ "ธุรกิจ" & แมตช์ "แฟชั่นสไตล์"
หนุ่มฮอตแห่งปีนี้ ต้องยกให้ "ณัฐพล จุฬางกูร" ทายาทลำดับที่ 3 แห่งอาณาจักรชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ "ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น" เพราะนอกจากคำสร้อยต่อท้ายว่า นักธุรกิจหนุ่มระดับพันล้านรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย จากผลงานการบริหารธุรกิจสนามกอล์ฟตระกูลซัมมิททั้ง 3 แห่ง, โรงแรมเลอเมอริเดี้ยน (สุวรรณภูมิ) และโรงเรียนนานาชาติเบิร์คลีย์ ที่กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี
เมื่อเร็ว ๆ นี้ยังมีคำขยายต่อท้ายชื่อของณัฐพลเพิ่มเป็น "เจ้าของตำแหน่งชนะเลิศรางวัล Zen Stylish Awards 2013" หากใครที่ได้ติดตามงานสังคมต่าง ๆ จะเห็นหน้าหนุ่มคนนี้ได้รับเชิญไปเกือบทุกงาน
เพราะรางวัล Zen Stylish Awards เป็นรางวัลประจำปีที่ "ศูนย์การค้าเซน" จัดตั้งขึ้นมาเพื่อมอบให้เฉพาะหนุ่มสาวในแวดวงโซไซตี้ ผู้มีสไตล์การแต่งกายโดดเด่นและลงตัวมากที่สุดของเมืองไทย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ควรจะเป็นการขับเคี่ยวชิงตำแหน่งกันระหว่าง "กูรูแฟชั่น" กับ "ดารา-นักร้อง" เสียมากกว่า แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น "นักธุรกิจพันล้าน" อย่างณัฐพลที่ได้รับเลือกให้เป็นเซเลบหนุ่มผู้มีสไตล์การเลือกเสื้อผ้าหน้าผมสำหรับการออกงานสังคมที่โดดเด่นยิ่งกว่าใครในปีนี้
"ความจริงผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้รางวัลนี้หรอก เพราะตอนเห็นรายชื่อของคนที่เข้ารอบทั้ง 10 คน มีทั้งดาราและกูรูด้านแฟชั่น อย่างปืน-สธน, อั้ม-อธิชาติ หรือชาคริต แย้มนาม ผมคิดแค่ว่าตัวเองไม่ได้อันดับโหล่ ก็พอใจมากแล้ว แต่พอผลออกมาว่าเป็นเราที่ได้รางวัลนี้ ก็ปลื้มใจมากเลยนะ" เจ้าของตำแหน่งชนะเลิศ Zen Stylish Awards 2013 ยอมรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินนำเข้าสู่อาณาจักรเครื่องแต่งกายภายในบ้านพักส่วนตัว
ณัฐพลอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองได้รับตำแหน่งว่า น่าจะอยู่ที่การให้ความสำคัญต่อการเลือกเครื่องแต่งกายออกงานสังคมให้เหมาะสมตาม "กาลเทศะ" เหมาะสมกลมกลืนกับ "ธีมงาน" อย่างพิถีพิถัน เพราะสิ่งเหล่านี้นับเป็นการให้เกียรติเจ้าของงาน
"การแต่งตัวออกงานที่ดี คือต้องทำให้เจ้าของงานรู้สึกว่าเราเตรียมตัวมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ การใส่ชุดเดียวลากงานยาวทั้งวัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุด ทำให้บางครั้งในรถผมจะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ออกงานอยู่หลายชุดเหมือนกัน เพราะส่วนตัวต้องออกงานทุกวัน และบางวันยังต้องไปมากกว่าหนึ่งงาน"
ด้วยความที่เกรงว่าจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็น "ขาช็อปบ้าระห่ำ" ที่ต้องสรรหาชุดใหม่ ๆ มาใช้ออกงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ณัฐพลรีบชี้แจงว่าสไตล์การแต่งตัวของเขาเป็นแบบ "มิกซ์แอนด์แมตช์" จึงไม่ต้องกังวลหาเวลาออกไปซื้อเสื้อผ้าบ่อย ๆ ครั้งละมาก ๆ เกินขีดขั้นคนธรรมดาทั่วไป
เพราะเขามีคาถาดีที่ท่องไว้ขึ้นใจไม่ให้ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ๆ
"เมื่อรูปร่างไม่เปลี่ยน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน"
แต่เท่าที่รู้มา ชุดออกงานแทบจะไม่เคยซ้ำกันเลย ดังนั้น ตามไปดูตู้เสื้อผ้าของหนุ่มเนี้ยบคนนี้กันดีกว่า ว่าจะมโหฬารขนาดไหน
ตู้เสื้อผ้า (น่าจะใช้คำว่าห้องแทนมากกว่า) จัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ข้างในนั้นบรรจุเครื่องแต่งกายนานาชนิด อาทิ เสื้อ, กางเกง, สูท, กระเป๋า, รองเท้า ฯลฯ ที่เจ้าตัวยืนยันด้วยรอยยิ้มว่า มีชุดพร้อมออกงานทุกประเภท ขอเพียงแค่ส่งการ์ดเชิญระบุธีมงานมา ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนชุดไปงานได้ทันที
ก่อนที่จะบอกว่า อายุการใช้งานส่วนใหญ่ของเสื้อผ้าเหล่านี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 ปี (ณัฐพลยอมรับว่าความจริง 6 เดือนก็จะโละเสื้อผ้าใส่เล่นไม่มีแบรนด์อยู่ตลอด) เมื่อพ้นวาระก็จะถูกนำไปบริจาค ยกเว้นชิ้นที่เป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นและคัตติ้งดี ๆ ของแบรนด์ดัง ๆ เท่านั้นที่ยังคงยึดพื้นที่ของตู้ได้นานกว่าชิ้นอื่น ๆ
"การช็อปปิ้งของผมก็เหมือนคนทั่วไป ถ้าเดินผ่านร้านแล้วเจอตัวที่ชอบก็ซื้อ อีกทั้งผู้ชายก็ไม่ได้แต่งตัวเยอะมากอยู่แล้ว เวลาต้องออกงานแต่ละครั้ง ผมจึงแค่ใช้วิธีจับคู่เสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วในตู้ให้เข้าชุดกันและเหมาะกับธีมงาน บางครั้งก็อาจจะมีแอ็กเซสซอรี่เก๋ ๆ หรือจัดทรงผมใหม่บ้าง แค่นี้ลุกเราก็เปลี่ยนไปแล้ว จนคนจำไม่ได้ว่าชุดนี้เราเคยใส่มาก่อน ถ้าไม่ได้เอารูปถ่ายมานั่งเทียบกันอย่างจริงจังนะ (หัวเราะ)"
หลังจากจบประโยคดังกล่าว ณัฐพลได้ผายมือให้ไปที่นาฬิกาจำนวนหนึ่งที่วางโชว์ไว้ในตู้กระจก พร้อมกับบอกว่า แอ็กเซสซอรี่
ชิ้นสำคัญประกอบการแต่งตัว ที่เขาหลงใหลมากที่สุด จนยกระดับเข้าสู่ของสะสมคือ "นาฬิกา" ที่มีอยู่เกือบหนึ่งร้อยเรือน (นับเฉพาะชิ้นที่นับส่วนใหญ่เป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นของแบรนด์ดัง)
ด้วยความละเมียดละไมพิถีพิถันกับการแต่งตัวและเคารพ
ธีมงานเสมอ ได้สร้างเอกลักษณ์ความโดดเด่นให้กับณัฐพล
ในการออกงานสังคมแต่ละครั้งอย่างมากมาย สังเกตได้จากจำนวนเสียงรัวชัตเตอร์และแสงแฟลชของช่างภาพ ที่กดพร้อมกันแทบจะในทันที เมื่อเซเลบหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาสู่งาน
ทำให้บ่อยครั้งจะมีหน้าของณัฐพลปรากฏให้เห็นบนสื่ออยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการประชาสัมพันธ์แบรนด์ธุรกิจแนว "เพอร์ซั่นนอลแบรนดิ้ง" ไปแล้วในขณะนี้
"ปกติแล้ว ผมไม่ได้ต้องการให้ตัวเองเป็นคนดัง มีสปอตไลต์มาส่องตลอดเวลาหรอกนะ เพียงแต่การทำงานของผม มันต้องมีชื่อเสียงบ้างพอสมควร เพราะมันเป็นเรื่องของใบเบิกทางที่จะนำไปสู่ความเชื่อถือ ให้คนเชื่อใจในระดับหนึ่ง เป็นการตอกย้ำแบรนด์และขับเน้นภาพลักษณ์ให้คนรู้ว่าเราทำธุรกิจด้านไหน อีกทั้งความรู้สึกแรกที่นักธุรกิจมาเจอกันเป็นสิ่งที่สำคัญ หากไม่ดูแลให้ดีคงมีน้อยคนนักที่จะเชื่อถือ หรือฝ่ายตรงข้ามก็อาจจะมองว่า ก่อนที่คุณจะดูแลฉัน คุณไปดูแลตัวเองก่อนดีมั้ย"
เพื่อให้เห็นภาพ เขาอธิบายว่า เมื่อคนภายนอก ทั้งผู้ปกครองที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งลูกค้าสนามกอล์ฟและโรงแรมเห็นภาพลักษณ์ที่ผ่านการดูแลมาอย่างละเมียดละไม พิถีพิถันทุกกระเบียดนิ้วแบบที่เขากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ย่อมต้องเกิดความมั่นใจว่าเราจะสามารถดูแลและให้บริการได้เป็นอย่างดีและละเอียดลออไม่ต่างจากที่เขาดูแลตัวเองสักเท่าไหร่นัก
"ผมมองว่า สไตล์การแต่งตัวกับสไตล์การทำธุรกิจมีความคล้ายคลึงกันและซัพพอร์ตกัน อย่างการมิกซ์แอนด์แมตช์
ผมก็ไม่ได้ใช้เฉพาะแค่เรื่องการแต่งตัวเท่านั้น แต่ยังเอามาปรับใช้กับการทำธุรกิจให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ อย่างเช่นโรงงานกับสนามกอล์ฟมันเกื้อกูลกันด้านสานสัมพันธ์เชิงธุรกิจ หรือไนท์กอล์ฟ หลายคนมองว่ามันไม่เหมาะ เพราะนี่เป็นกีฬาที่ต้องอยู่กับแสงแดดร้อนเท่านั้น แต่พอเอามาปรับใช้แล้ว ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย"
อาจเรียกได้ว่า นี่คือการนำ "ธุรกิจ" เข้ามา "มิกซ์แอนด์แมตช์" กับ "สไตล์การแต่งกาย" ของณัฐพลได้อย่างลงตัวมากทีเดียว
ขอบคุณภาพจาก
IG : nut_nuttapol
อัลบั้มภาพ 35 ภาพ