เพราะอะไรเทคนิคการผลิตยีนส์ยุคเก่าจึงยังเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด

เพราะอะไรเทคนิคการผลิตยีนส์ยุคเก่าจึงยังเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด

เพราะอะไรเทคนิคการผลิตยีนส์ยุคเก่าจึงยังเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับคนที่นิยมใส่ยีนส์ คงจะทราบดีว่า ญี่ปุ่นเป็นสถานที่ผลิตเดนิมคุณภาพสูง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่า ไม่มีที่ใดในโลก ที่จะผลิตเดนิมได้เนี๊ยบทุกรายละเอียดเหมือนญี่ปุ่นอีกแล้ว Kiya Babzani เจ้าของร้าน Self Edge ร้านเดนิมที่มีความเชี่ยวชาญสูง และยังส่งออกเดนิมจำนวนมากไปยังสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เดนิมมีลักษณะเฉพาะตัว และเดนิมวินเทจญี่ปุ่นนั้น ต่างจากที่อื่นๆ ทั้งรูปร่าง เนื้อผ้า และการย้อม ซึ่งเมื่อเห็นก็จะรู้ถึงความแตกต่างได้ในทันที เดนิมของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะมีความเป็นศิลปะมากกว่าเสื้อผ้าทั่ว ๆ ไป

เมื่อถามผู้ผลิตยีนส์ญี่ปุ่นว่า อะไรทำให้ยีนส์เดนิมของญี่ปุ่น พิเศษกว่าที่อื่น ๆ คำตอบที่ได้ก็คือ

อย่างแรก และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ เราต้องเข้าใจก่อนว่า เดนิมวินเทจ นั้นมีบทบาทสำคัญในวงการเดนิมของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นทำยีนส์เดนิมมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารอเมริกันได้ขายกางเกงยีนส์เก่ายี่ห้อ Livis ในตลาดมืด ซึ่งนั่นก็เป็นการเปิดมุมมองในการใส่ และการทำยีนส์ให้กับคนญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน

gallery-1478715884-gettyimages-567426557

Kiya Babzani บอกว่า ด้วยอายุทำให้เดนิมของญี่ปุ่นมีความแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก นอกจากนี้ ระดับของกระบวนการผลิต ก็เรียกได้ว่าเหนือกว่าที่อื่น ชนิดของผ้าก็มีความเป็นเอกลักษณ์ ผ้าที่จะนำมาใช้ให้ความสำคัญกับน้ำหนักมาก ซึ่งเดนิมของญี่ปุ่น มักจะอยู่ที่ 32 oz. ในขณะที่เดนิมของอเมริกา จะอยู่ประมาณ 12 ถึง 16 oz คุณภาพระดับไฮเอนนี้ สร้างความแตกต่างและทำให้ยีนส์เดนิมของญี่ปุ่น สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ยีนส์ญี่ปุ่นได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพก็คือ สมัยก่อนใช้การทอที่เรียกว่า Shuttle Loom ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 1950 การทอแบบนี้ ให้คุณภาพสูง ผ้าไม่รุ่ย แต่ปัจจุบันผู้ผลิตในอเมริกา เปลี่ยนระบบการทอ ไปเน้นที่ความรวดเร็ว และปริมาณที่มากขึ้น ในขณะที่คุณภาพนั้นลดลง ส่วนญี่ปุ่นกลับนำระบบ Shuttle Loom กลับมาใช้ โดยในอเมริกานั้น ขณะนี้ มีผู้ผลิตรายเดียวที่ใช้ระบบ Shuttle Loom คือ Cone Mills

เดนิมที่ทอด้วย Shuttle Loom นั้น เรียกว่า Selvedge ซึ่งความหมายของมันคือ Self-edge หรือ Self-finishing edge ผ้าจะมีความทนทาน ไม่หลุดรุ่ย ซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ผู้ใช้พึงพอใจ ซึ่งความทนทานนี้ พิสูจน์จากการที่คนอเมริกันซึ่งทำงานในเหมืองจะนิยมใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

นอกจากคุณภาพที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ยีนส์ญี่ปุ่นมีความโดดเด่น ก็คือ สี สีของยีนส์ทั่ว ๆ ไป ที่เราเห็นมักจะออกโทนสีเทา แต่สำหรับของญี่ปุ่นโทนสีจะใกล้เคียงสีม่วง เรียกว่าเป็น indigo-dyed ซึ่งเป็นสีมีความเป็นธรรมชาติ ผลิตยาก มีหลายขั้นตอน ผู้ผลิตจะต้องมีประสบการณ์ ซึ่งสีดังกล่าวนี้ เป็นเทคนิคเฉพาะของชนพื้นเมือง ที่ทำกันมานานนับพันปีแล้ว

จุดเด่นถัดมาก็คือ เดนิมญี่ปุ่น ไม่หด เพราะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Sanforization ป้องกันการหดตัวของผ้า เมื่อนำไปซัก แช่น้ำ หรือแม้กระทั่งใส่ในช่องแช่แข็ง ผ้าก็จะไม่หด นั่นทำให้ไม่ว่าผู้ใส่ จะใส่ไปลงทะเล หรือลุยหิมะ ยีนส์ก็ยังอยู่ทรงสวมสบาย นอกจากนี้ ยีนส์เดนิมญี่ปุ่น ยังต้องสวมใส่แล้วดูดี ไม่ว่าคุณจะใส่กระเป๋าสตางค์ลงไป ใส่ไอโฟนลงไปในกระเป๋ากางเกง ก็จะต้องไม่มีปัญหา ไม่ถ่วง ไม่รั้ง ทุกอย่างจะเก็บไว้ได้อย่างสบายในกระเป๋ากางเกง

แปลและเรียบเรียงข้อมูลจาก : www.esquire.com

ภาพจาก : Getty

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook