Keep Moving on ณกรณ์ กรณ์หิรัญ
‘คุณเอก' นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงระดับแถวหน้าของวงการ และหนึ่งใน หุ้นส่วนธุรกิจความงามอันดับหนึ่งของประเทศ ภายใต้แบรนด์คุ้นหูอย่าง ‘วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก' คนนี้ มีแนวคิดและไอเดียที่แตกต่างจากคนทำธุรกิจเดียวกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากมีหัวการค้าแล้ว เขายังเป็นนักต่อยอดตัวยง และไม่เคยหยุดนิ่งในเรื่องการคิดแม้แต่วินาทีเดียว
"วุฒิ-ศักดิ์ เริ่มต้นจากหุ้นส่วน 3 คน เมื่อ 11 ปี ที่แล้ว คือผม เพื่อนที่เป็นหมอ และเพื่อนอีกคนที่เป็นสถาปนิก จุดเปลี่ยนของเราเริ่มต้นจากการนั่งคุยกันในร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่ง และตกลงว่า จะทำธุรกิจนี้ด้วยเงินลงทุนห้าแสนบาท ยอมรับว่าตอนนนั้นคิดแค่ว่าทำเอาไว้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำให้ดีที่สุด เพราะผมเองก็มีธุรกิจร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นบ่อเงินบ่อทองของตัวเองอยู่แล้ว
สาขาแรกที่เปิด ผมยอมให้คนที่มารักษาทำหน้าฟรีหมดเลย และหลังจากนั้นก็เริ่มลด 25% ยอมรับว่าเป็นเดือนที่ขาดทุนอย่างเดียวจริงๆ เพื่อลองตลาดดูก่อน เพราะเมื่อก่อนไม่มีคู่แข่งเยอะ ช่วงนั้นเรามีเงินในบัญชีไว้โชว์ตัวเลขอย่างเดียวและเป็นหนี้ตลอดเวลา แต่ไม่นานเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความไว้วางใจของลูกค้า จุดหนึ่งผมเริ่มเห็นศักยภาพว่าเราไปได้จึงตัดสินใจเปิดเพิ่ม 7 สาขา ในปีแรก และขยายเพิ่มอย่างเดียว จน 4 ปีต่อมา เรามีสาขาทั้งหมด 30 กว่าแห่ง
ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เราโตขึ้นเรื่อยๆ คือความไม่หยุดนิ่ง ผมคิดว่าคนที่จะ Success ได้ต้องเป็นคนที่ไม่อยู่นิ่ง และหาจังหวะหรือช่องทางต่อยอดธุรกิจอยู่เสมอ ที่สำคัญต้องไม่ตามคนอื่น ผมเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันเวลาทำธุรกิจ ถ้าเริ่มลงตัวแล้วผมก็ขยาย ต่อยอด ลดต้นทุน และบังเอิญช่วงหลังๆ ผมมีโอกาสไปเจอนักธุรกิจหลักพันล้านหมื่นล้านบ่อยมาก พอได้พูดคุยกันพวกเขาต่างเอ็นดูเพราะผมยังเด็ก ผมเองเป็นคนที่ชอบคุยและชอบ
ทบทวนว่าเราได้อะไรจากใครบ้าง แทบทุกคนที่ผมไปคุยในระดับหลักพันล้านก็ไม่เคยหยุดนิ่งกับธุรกิจ ที่เขามีสักครั้งเดียว ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งนี้ จึงทำให้เราเติบโตมาถึงปีที่ 11 และมีสาขาเพิ่มขึ้นรวมแล้วประมาณ 100 สาขา
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรา Success คือเมื่อ 4-5 ปีก่อนผมทำการรีแบรนด์ใหม่ โดยศึกษาจากผู้บริโภคจนรู้ว่าจริงๆ คนเราอยากมีผิวละเอียดเหมือนคนเกาหลี และช่วงนั้นกระแสเกาหลีมาแรงจริงๆ ผมเลยดึงศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งฟีดแบ็กหลังจากนั้นดีมาก เพราะมีดารามารักษาที่คลินิกของเราเยอะ แต่มีใครบ้างที่ใช้แล้วเห็นผลชัดเจนอย่างคุณไก่ วรายุทธ ตอนนี้อายุ 57 คุณไก่บอกว่ามารักษาที่เราแล้วหน้าเขาไม่ถึง 40 จึงตกลงเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โดยที่ไม่คิดเงิน และใช้การพูดตรงๆ ดิบๆ ไม่มีสคริปต์ อย่างที่เห็นในโฆษณา หรือคุณปุ้ย พิมลวรรณ, K-Otic ทุกคนก็รักษาที่เราทั้งหมด หลังจากนั้นเหมือนเป็นการเติมเต็มว่าอีก 1 คน จะเป็นใคร เราก็เริ่มดูว่ากลุ่มทาร์เก็ตในตอนนั้นคือใคร ก็พอดีกับละครเรื่องระบำดวงดาวที่ลิเดียเล่นเรื่องแรกมาแรงที่สุด เราจึงดึงลิเดียขึ้นมาเป็น พรีเซ็นเตอร์อีกคน ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาด
สำหรับจุดแข็งของวุฒิ-ศักดิ์ ผมมองว่ามี 2 ภาค ภาคหนึ่งคือคุณภาพยาที่ใช้แล้วเห็นผลเร็ว บวกกับการตลาดที่แรง ตรง และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้เราก็เริ่มออกผลิตภัณฑ์ของเราเองประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ผมขอเรียกว่าเป็นการ ต่อยอดทางธุรกิจที่เราต้องไม่หยุดนิ่ง 2 เราดูแลลูกค้าเหมือนเป็นตัวเราเอง เราอยากได้อะไรก็ใส่อันนั้นลงไป และพวกผม 3 คนแบ่งหน้าที่กันชัดเจน หมอก็ไม่เคยเซ็นเช็คเองไม่เคยสนใจเงิน ดูที่ผลการรักษาเป็นหลัก ทำยังไงให้รักษาดีที่สุด ส่วนผมดูแค่ตัวเลขและการตลาดอย่างเดียว ทำยังไงให้ติดตลาดเร็วที่สุดและแรงที่สุด ทางตกแต่งก็ตกแต่งให้ทัน รีโนเวตให้ไว และเข้าใจผู้บริโภคให้เร็วซึ่งหลักนี้ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ผมเชื่อว่าเพราะเราแบ่งหน้าที่กันชัดเจน รับผิดชอบในหน้าที่ของแต่ละคน เราจึงมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดและอำนาจต่อรองสูงที่สุดในวันนี้ และคิดว่ากำลังจะลงทุนในต่างประเทศ ตอนนี้ผมบุกตลาดลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อดึงเงินเข้ามาช่วยเปิดตลาดให้กว้างขึ้น ผมไม่มองตลาดในประเทศเดียวกันเพราะไม่ใช่คู่แข่ง สู้เราขยายตลาดให้คนมาใช้เป็น Medical ดีกว่า
11 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าผมทำงานเป็นม้า ปิดซ้ายปิดขวา ปิดหูปิดตามาตลอด ไม่สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากการทำงานซึ่งผมค่อนข้างจริงจัง ไม่ว่าจะเจออะไรที่ไหนผมสามารถประยุกต์ได้หมด การทำธุรกิจสำหรับผม ผมมองง่ายๆ ว่ายิ่งกลัวมากผมยิ่งแก้ปัญหามาก และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าทำให้ผมมีทุกอย่างในวันนี้ ครึ่งหนึ่งคือวาสนาและครึ่งหนึ่งคือความสามารถของผม มีหลายคนที่มีความสามารถแต่ไม่มีวาสนา บางคนมีวาสนาล้นแต่ไม่มีความสามารถ เพราะฉะนั้นต้องมีทั้งวาสนาและความสามารถที่มาพร้อมๆ กัน องค์ประกอบที่สำคัญอีกข้อคือ อย่ารอ ทุกอย่างไม่มีคำว่าเดี๋ยว ถ้าเมื่อไรที่บอกว่าไม่ว่างนั่นหมายถึงเราเห็นความสำคัญจุดอื่นมากกว่า เพราะฉะนั้นชีวิตผมจึงไม่มีคำว่ารอ
ทุกครั้งที่ผมพอจะมีเวลาว่าง ผมจะออกไปศึกษานอกประสบการณ์ นั่นคือการพบปะ พูดคุยกับคนใหม่ๆ และเก็บแง่คิดของเขามาใช้กับธุรกิจของเรา ที่สำคัญเดี๋ยวนี้ผมเริ่มศึกษาเรื่องการใช้ชีวิตมากขึ้น นึกถึงตอนมีเงินเราใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุข เพราะสิ่งที่ผมคิดกับธุรกิจของตัวเองคือ ทุกอย่างไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน วันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น วันหนึ่งมีคนอยากซื้อผมก็ขาย เพราะผมเป็นแค่คนมาดูแลชั่วคราว แต่นั่นหมายถึงคุณต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานที่คุณกำลังทำอยู่ และท้ายที่สุดต้องประมวลผลให้เป็น ข้อคิดนี้ผมได้มาจากการอ่านประวัติของ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ดาวค้างฟ้าฮอลลีวูดที่เสียชีวิตไปแล้วบอกว่า ของทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรยั่งยืนและ เป็นของเรา
เพราะฉะนั้นแค่ทำยังไงให้เรามีความสุขกับชีวิตในวันนี้และวันต่อๆ ไปก็พอแล้ว"
ขอบคุณภาพจาก
FB : Nakorn.Fanclub