7 เส้นทางชีวิตของ 'ไรอัน กอสลิ่ง' สู่วันที่ก้าวเข้าไปนั่งในใจคนทั้งโลก
เส้นทางที่ 1 : ถนนจุติอนุสรณ์
กอสลิ่ง เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1980 มีชื่อเต็มว่า Ryan Thomas Gosling ในตัวของเขามีการรวมเลือดของมนุษย์ 4 สัญชาติ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา สกอตติช และเยอรมัน ทำให้ได้ผู้ชายที่ หล่อหน้าหยกอย่างกับเทวดามาจุติขนาดนี้
เส้นทางที่ 2 : ถนนวัยศึกษา
สมัยไฮสคูล เขาถูกตั้งฉายาให้ 2 ชื่อ คือ ‘โอพี่’ และ ‘ทรับเบิล’ แปลว่า good boy bad boy มีนิสัยรักสันโดษมาตั้งแต่เด็ก (แม้กระทั่งโตมาเป็นนักแสดงแล้วก็ยังเป็นคนแบบเดิม) และเริ่มวางหมากให้ตัวเองมีชีวิตเป็นนักแสดงมาตั้งแต่วัยศึกษาเล่าเรียนหลังจากที่ดูหนังเป็น โดยหนังเรื่องโปรด คือ East of Eden (1955) แต่หนังที่สร้างแรงบันดาลใจทางการแสดงให้แก่เขาอย่างแรงกล้า คือเรื่อง Blue Velvet (1986) ซึ่งเขาได้ดูตอนอายุ 14 ปี หลังจากนั้นก็เริ่มต้นชีวิตสายบันเทิงด้วยการเป็นพิธีกรรายการ The Mickey Mouse Club รุ่นเดียวกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค และบริทนีย์ สเปียร์ ต่อยอดให้เขาได้มาเล่นบทเด่นในทีวีซีรีส์ Young Hercules (1998)
เส้นทางที่ 3 : ถนนดวงดาว
นับแต่นั้นแววการแสดงของกอสลิ่งเริ่มเปล่งแสงขึ้นเรื่อยๆ งานในวงการบันเทิงเดินขบวนมาหาไม่ขาดสาย และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้เล่นหนังเรื่อง Murder by Numbers (2002) ปะทะรุ่นใหญ่อย่าง ซานดรา บุลล็อก และเบน แชปลินทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ชมและนักวิจารณ์ทั้งหลายต้องเพ่งความสนใจไปที่หนุ่มนัยตาซึ้งคนนี้หาใช่หนังกระแสหลักอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็น บทชาวยิว นีโอนาซี ในภาพยนตร์สายอินดี้เรื่อง The Believer (2001) ตรงนี้เองที่ทำให้เส้นทางในโลกมายาของกอสลิ่งชัดเจนขึ้นว่าเขาเกิดมาเพื่อบทบาทเชิงลึกอันแสนซีเรียส
เส้นทางที่ 4 : ถนนคู่รัก
กอสลิ่งมาเป็นข่าวเกรียวกราวให้ประชาชีทั้งหลายได้กรี๊ดกร๊าดกัน ก็ตอนที่เล่นเรื่อง The Notebook (2004) หนังรักโรแมนซ์จากนวนิยายขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค ซึ่งทำให้ทั้งกอสลิ่ง และคู่ขวัญในเรื่อง คือ ราเชล แม็กอดัมส์ กลายเป็นคู่จิ้นในตำนานฮอลลีวู้ดทันที (โดยเฉพาะซีนจูบอันดูดดื่มนั่น มันช่างติดตาซะจริงจริ๊ง) แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คู่ขวัญ หากแต่ ราเชล ยังคบกับไรอันอย่างจริงจังเป็นเวลานานหลายปีนับจากนั้น ไม่เพียงแค่ราเชล ว่ากันว่า ส่วนใหญ่แล้วไรอันแสดงหนังเรื่องไหน ก็มักมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับนางเอกของเขาอยู่ร่ำไป เรื่องราวมีมาตั้งแต่เมื่อครั้งกระดังงาลนไฟ ซานดรา บุลล็อก แล้วล่ะ ส่วนนางเอก La La Land เอมม่า สโตนนั้น เป็นนางเอกที่ประกบคู่กับเขามามากที่สุด (ถึง 3 เรื่อง) ทว่าทั้งคู่ก็เป็นได้แค่เพื่อนที่ดีต่อกัน เพราะในช่วงที่รู้จักกันแรกๆ เอมม่าเองก็มีอดีตหวานใจ คือ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ดูแลอยู่ และจนแล้วจนรอด เขาก็มาหยุดชีวิตกับนางเอกจากเรื่อง The Place Beyond the Pines ซึ่งปัจจุบันก็คือคุณแม่ของลูกๆ ทั้งสองของเขานั่นเอง
เส้นทางที่ 5 : ถนนก้องเกียรติ
ย้อนสู่เรื่องราวการทำงานในรั้วหนามเตยกันต่อ กอสลิ่งก็กลับมาย้ำภาพเดิมของเขากับบทบาทพ่อพิมพ์นอกรีตที่ดราม่าเข้มข้นใน Half Nelson (2006) ซึ่งการแสดงอย่างเข้าถึงของเขาในเรื่องนี้ส่งผลให้กอสลิ่งมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในวัยเพียง 26 ปี และทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นนักแสดงเชื้อสายแคนาดาคนแรกในรอบ 60 ปีที่มีชื่อเข้าชิงออสการ์ทันที จากนั้นมากอสลิ่งก็เป็นนักแสดงชายที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับบทบาทที่เขาเล่น เขาจะพยายามเลือกเฟ้นบทที่พิสูจน์ฝีมือทางการแสดงให้ครบทุกรสชาติ แม้ว่าบางเรื่องอาจไม่ประสบผลสำเร็จในบ๊อกซ์ออฟฟิศเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ให้ชีวิตได้พบความสำเร็จและไม่สำเร็จคละเคล้ากันไปจะได้กลมกล่อม เราจึงได้เห็นผลงานทางจอเงินของพระเอกหนุ่มคนดีในจำนวนที่นับได้ ตัวอย่างเช่น Fracture (2007) กับบททนายความหนุ่มไฟแรง Lars and the Real Girl (2007) กับบทผู้ชายที่หลงรักตุ๊กตายางของตัวเอง Blue Valentine (2010) กับบทของชายผู้แบกรับความรักสีหม่น Drive (2011) กับบทชายผู้ซื่อสัตย์ในคราบโจร Crazy, Stupid, Love. (2011) กับบทหนุ่มเจ้าสำราญ The Place Beyond the Pines (2012) กับบทวายร้ายสิงห์มอเตอร์ไซค์ผู้รักครอบครัว และ Only God Forgives (2013) กับบทชายหนุ่มผู้เติบโตมาท่ามกลางอธรรม เป็นต้น
เส้นทางที่ 6 : ถนนอิ่มปรีชา
หลังจากหมดภาระงานแสดงกับ Only God Forgives ดูเหมือนว่า กอสลิ่งจะมีอารมณ์อิ่มตัวกับงานด้านการแสดงของตัวเอง โดยมีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับตัวเขาว่ากอสลิ่งอาจจะเลิกเป็นนักแสดงถาวรแล้ว เพราะรักชีวิตสมถะส่วนตัวมากกว่า และรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหมดไฟ เสียงลือเสียงเล่าอ้างทั้งหลายถูกคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเราได้เห็นภาพผลงานบางส่วนของ กอสลิ่ง ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์แนวดิบ โหด เซอร์ ตามสไตล์ของเขา เรื่อง Lost River (2014) หนังเรื่องแรกในชีวิตที่เขาประคบประหงมอย่างดีทั้งเขียนบท กำกับ และเป็นโปรดิวเซอร์เอง ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น เราก็ได้ยินข่าวดี (ที่อาจเป็นข่าวร้ายของแฟนคลับ) ว่าชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสะกดวิญญาณคนนี้กำลังจะเป็นพ่อคน ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหวนคืนสู่วงการ เพราะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเป็นเป้าหมาย
เส้นทางที่ 7 : ถนนนครดารา
ต้องขอบคุณหนูน้อยเอสเมอรัลดา และอมาดา ลูกสาวทั้ง 2 คน ที่ทำให้เราได้เห็นกอสลิ่งถี่ๆ อีกครั้งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งใน The Big Short (2015) The Nice Guys (2016) และ La La Land ผลงานจอเงินเรื่องล่าสุดที่ทำให้เขาเป็นขวัญใจมหาชนจากบทบาทของศิลปินหนุ่มนักเปียโน ผู้มีนัยน์ตาเศร้าซึ้ง และทำให้ผู้ชมต้องหัวเราะร่าน้ำตารินกันอีกครั้ง ซึ่งตัวจริงของไรอันเองก็รักเสียงดนตรีมาก ถึงขั้นร่วมมือกับเพื่อนซี้ แซค ชิลด์ ฟอร์มวงของตัวเอง ชื่อว่า Dead Man’s Bones โดยเขารับหน้าที่เป็นมือกีตาร์ มือเปียโน และร้องนำ หากอยากฟังเสียงร้องเพลงของเขา ให้เสิร์ชชื่อเพลง Put Me In the Car เขาเคยโชว์ฝีมือการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้กับเรื่อง The Conjurings ชื่อว่า In the Room Where You Sleep และที่เห็นในเรื่องเขาเป็นนักเปียโนเพลงแจ๊สได้อินสุดๆ ขนาดนั้น ตัวจริงก็ชอบฟังเพลงแจ๊ส และปลื้ม เชต เบเกอร์ เอามากๆ ด้วย มันจึงเป็นแรงดลใจให้เขาสามารถฝึกเล่นเปียโนวันละ 4 ชั่วโมง ตลอด 3 เดือนก่อนการถ่ายทำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ ทุกซีนที่เห็นเขาพรมเปียโน คือฝีมือการบรรเลงของเขาจริงๆ
หมายเหตุ : ชื่อถนนที่เราใส่ไว้นี่ไม่ใช่มุก แต่มีอยู่จริงนะ (คนหาก็ว๊างว่าง) อยู่ที่ไหนบ้าง มาดูตรงนี้
* ถนนจุติอนุสรณ์ - หาดใหญ่ จ.สงขลา
* ถนนวัยศึกษา - แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
* ถนนดวงดาว - ชื่อเดิมของถนนนครราชสีมา เขตดุสิต จ.กรุงเทพฯ
* ถนนคู่รัก - สมญานามของถนนชิงลู่ ในเมืองจูไห่ ประเทศจีน
* ถนนก้องเกียรติ - จ.ประจวบคีรีขันธ์
* ถนนอิ่มปรีชา - บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
* ถนนนครดารา - นครดารา หรือ City of Angels คือ ลอส แอนเจลิส เมืองแห่งความฝันด้านศิลปะศิลปิน และเป็นฉากเอกในเรื่อง La La Land