"บอย ปกรณ์" มองไม่ไกล แต่ไปให้ถึง
เมื่อรู้ว่าเป็นหนังของ "ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร" ทั้งยังได้ประกบคู่ "ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์" "บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์" ก็ไม่ลังเลที่จะรับเล่น ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าบทในภาพยนตร์ "ฟัดจังโตะ" จะเป็นอย่างไร
"ผมเป็นแฟนพี่ยอร์ชอยู่แล้ว และก็ไม่ได้เล่นหนังมานาน"
ครั้นได้คุยเรื่องบทก็ยิ่งดีใจที่ตัดสินไม่ผิด
"บทสนุกมาก" เขาว่า
เป็น "ก๊อป" ผู้ชายห่วยๆ กวนๆ ที่เกิดเบื่อแฟนคือ "แก๊ป" (ยิปโซ) จึงขอเลิก แต่ไม่วายมีเหตุให้ต้องไปญี่ปุ่นด้วยกัน
การแสดงใน "ฟัดจังโตะ" นั้น เป็นอะไรที่บอยออกปากว่า ไม่เคยเล่นมาก่อน
"มันมีความเป็นการ์ตูนอยู่ระดับหนึ่งในคาแร็กเตอร์ การแอ๊กติ้่งหน้าเวลาตกใจ ไม่พอใจ เหวอ จะเวอร์สุดขีด เยอะเกินมนุษย์ทั่วไป"
บรรดาหน้าตาประหลาดที่เจ้าตัวเคยถ่ายแบบเกรียนๆ ลงในอินสตาแกรมจึงถูกผู้กำกับบอกให้งัดออกมาใช้ให้หมด
บอยยังว่า ถ้าจะจำกัดความหนังเรื่องนี้ แค่ "คอมเมดี้" อาจไม่เพียงพอ เพราะ "มันมีอะไรมากกว่า"
"คอมเมดี้ปกติ พระเอกจะยียวนกวนประสาทบ้าง แต่เรื่องนี้ที่มีเพิ่มเข้ามาคือการทำร้ายร่างกาย" เขาเล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย คล้ายๆ จะยิ้มได้
ดูไปดูไปก็จะเห็นฉากตบจูบ เตะต่อย ทุบหลัง ถีบ
หากก็ไม่ออกทางโหด เพราะจับจังหวะของ "คอมเมดี้"
เรียก "ซาดิสม์-คอมเมดี้" จึงอาจจะถูกต้อง ตรงแนวกว่า
ตอนถ่ายทำนั้น บอยบอกว่า เขายังตกลงกับยิปโซไว้ให้ "เล่นจริงเจ็บจริง จะได้ตลกกันจริงๆ"
เพราะอย่างนั้น เขาจึงโดนเตะเสยปลายคางไปทีหนึ่ง เขาเล่าพลางหัวเราะขำ
การทำงานทั้งนี้บอยบอกว่าถือเป็นทำงานที่สนุกมาก โดยเฉพาะกับยิปโซ
ซึ่ง "นอกจากเป็นนางเอกของผม เป็นเพื่อนร่วมงานของผม เขายังเหมือนครูกลายๆ ของผมอีกทางหนึ่ง"
"เพราะในเรื่องของภาพยนตร์คอมเมดี้เขามีประสบการณ์มาเยอะ ส่วนผมเป็นเด็กละครมากกว่า"
บอยในวัย 29 ซึ่งเข้าวงการบันเทิงมา 5 ปีแล้ว บอกว่า ที่ผ่านมาเขารับงานหลากหลาย ทั้งแสดงละคร พิธีกร ร้องเพลง รวมถึงรับงานโชว์ตัวตามอีเวนต์ต่างๆ
"คนอื่นอาจจะมองว่าผมบ้างาน แต่ผมว่า ผมก็ทำงานไปเรื่อยๆ"
"ถ้ามีงานเข้ามาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ ทำงาน ก็ได้เงิน แล้วสนุกด้วย"
"ผมหาเหตุผลที่จะปฏิเสธมันไม่ออกเลย"
อย่างไรก็ตาม ในบรรดางานทั้งหมดที่มี เขาว่า ที่ถนัดและชอบที่สุด คือการแสดง ด้วยสนุกกับการได้เป็นคนนั้น คนนี้ ได้เรียนรู้วิชาใหม่ๆ
ซึ่งในส่วนนี้นอกจาก "ฟัดจังโตะ" แล้ว ปีหน้าเขายังมีละคร "ในสวนขวัญ" และ "หงส์"
ขณะ "อีเวนต์" ก็เป็นอีกประเภทงานที่สนุก
"ไม่ใช่สนุกที่ออกงานแล้วได้เงิน" เขาออกตัว
"สนุกที่ว่าคือเหมือนผมกำลังแบกความหวังของงานไว้ แบกความหวังของคนที่จ้าง เหมือนเราเป็นคนคุมงาน นอกจากพิธีกรที่พิธีเขาทำ"
"เราจะทำยังไงที่จะเอาคนดูให้อยู่ สนุกสนานเฮฮา ไม่ใช่ขึ้นไปพูดตามสคริปต์ เสร็จแล้วก็ถ่ายรูป รับเงิน"
ซึ่ง "ไม่สนุก"
ด้วยเขาเองยึดคติว่า ต้องสนุกกับทุกงาน ต้องมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับมัน
"เวลาไปงานแต่ละที่ ผมจึงถามอยู่เสมอว่า งานจัดที่ไหน คนที่มาเป็นใคร เป็นงานเปิดหรืองานปิด อย่างน้อยก็ทำให้เราเตรียมตัวได้บ้างว่าควรทำอะไรบนเวที"
นอกจากนี้ยังพยายามคุยกับพิธีกรที่ทำงานร่วมกันให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความคุ้นเคยและให้งานบนเวทีผ่านไปอย่างราบรื่น
"ฟังแล้วดูเป็นการเป็นงานมาก" พูดแล้วเขาก็หัวเราะ
"แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย"
อย่างน้อยก็สบายกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงล่ะ
"อยู่วงการนี้ก็เป็นธรรมดาที่เวลาทำอะไรก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ต้องรู้จักความเหมาะสม และชีวิตส่วนตัวต้องหายไปแน่นอน มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเจอ"
"ขึ้นอยู่ว่าเราจะอยู่กับมันได้มากน้อยแค่ไหน เข้าใจมันมากน้อยขนาดไหน
"สำหรับผม ผมเข้าใจค่อนข้างมาก ถ้าไปคิดว่าเราอึดอัด เราก็จะอึดอัด เข้าใจและยอมรับกับมันดีกว่า"
เรื่องยากที่ว่าจึงเป็นเรื่อง "ทำยังไงให้อยู่นานที่สุด" มากกว่า
"สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือคำว่ามาเร็วไปเร็วมีอยู่จริง"
"การอยู่ยาวๆ แบบพี่อ๊อฟ-พงศ์พัฒน์ วชิรบรรจง อาหนิง-นิรุตติ์ ศิริจรรยา ที่คนในวงการรัก คนดูทางบ้านชอบนานๆ มันยากครับ
"แต่ผมก็จะทำให้ดีที่สุด"
ทั้ง "เคยเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น"
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่จำต้องเปลี่ยนไป โดยไม่มีทางเลือก คือ "เวลา"
"เรายุ่งมากขึ้น เวลาที่เราเคยแชร์ให้สิ่งต่างๆ ก็น้อยลง"
"ที่เหลือเหมือนเดิม" เขาย้ำ
"ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้มั่นใจ กล้าพูดเลยว่าผมเคยเป็นยังไง ตอนนี้ผมก็เป็นอย่างนั้น"
บอยยังบอกอีกว่า แม้จะสนุกกับการอยู่ในวงการ แต่ในฐานะบัณฑิตคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เขาก็คิดอยากเปิด "ร้านขายยา" สักร้าน หากยังไม่มีโอกาสสักที
"ทุกวันจึงทำงานตรงนี้ไปก่อน แล้วเก็บเงิน รอสิ่งที่จะเกิดขึ้น"
ส่วนจะเป็นอะไร ไม่อยากคิดมาก เพราะ "ไม่อยากมองไกลมองไกล"
ด้วยประสบการณ์สอนไว้ "สิ่งที่มองไกลมักจะคว้าไม่ค่อยได้ ทำไม่ค่อยได้สำหรับผม"
"บางคนบอกมองไกลก็ดี ทำให้มีเป้าหมาย แต่ผมชอบมองอะไรกลางๆ มองเป็นเรื่องของแต่ละวัน เพราะวันนี้เป็นตัวต่อยอดของพรุ่งนี้"
"ถ้ามองอะไรไกลเกิน มันยากจะไปถึง มองกลางๆ จะไปถึงจุดหมายเร็วและง่ายกว่า"
"และพอเราคว้าตรงนั้นได้แล้ว เราจะรู้เองว่าจุดต่อไปคืออะไร"
ขอบคถณภาพจาก
IG : boy_pakorn