ท็อป-จรณ โสรัตน์ พระเอกหนุ่มผู้รักการเล่นบาสเกตบอล

ท็อป-จรณ โสรัตน์ พระเอกหนุ่มผู้รักการเล่นบาสเกตบอล

ท็อป-จรณ โสรัตน์ พระเอกหนุ่มผู้รักการเล่นบาสเกตบอล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

I’m so addicted to working out  ท็อป-จรณ โสรัตน์

ท็อปตัวจริงมีใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มไทยแท้ รูปร่างเล็กแต่กล้ามเนื้อกระชับแบบนักมวยที่เราจดจำจากในละครชาติพยัคฆ์

สำหรับแฟนละคร ปีนี้เขากำลังจะมีละครอีกหลายเรื่องที่เตรียมออนแอร์ และต้องไม่พลาดกับบทบาทใหม่ของท็อปใน Journey the Series โปรเจ็กต์สนุกๆ ที่นับเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างท็อป กับ GM

รายการ Journey the Series แก๊งเฟี้ยวเที่ยวทั่วไทย เป็นรายการท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ ท็อปจะอยู่ในซีซั่นที่ 3

ด้วยคิวงานที่แน่นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ท็อปบอกว่าเขาแทบไม่ได้ออกเดินทางไปเที่ยวที่ไหนเลย

“ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นเข้ายิมออกกำลังกาย หรือไม่ก็ไปอยู่ที่สนามบาส” ท็อปบอกว่ามันคือชีวิตประจำวันของเขา

เมื่อ GM ชวนเขาออกเดินทางร่วมกับชาวแก๊งสุดเฮฮา อย่างดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร และแนน- ลลิตา จึงวัฒนกิจ มีหรือที่ท็อปจะปฏิเสธ

“กำลังคิดถึงการออกเดินทางไปที่ไหนไกลๆ อยู่พอดี” นี่คือเหตุผลที่เขาตกปากรับคำในทันที

ท็อปชอบบรรยากาศ ป่า เขา ต้นไม้ แถมยังชอบดูพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าเป็นทริปท่องเที่ยวในเมืองไทย เขาชอบภาคเหนือที่สุด

แน่นอนว่า Journey the Series ในตอนของท็อปจะเป็นภาคไหนไปไม่ได้ นอกจากภาคเหนือ



My Journey
พูดถึงนิยามการเดินทางในฝัน ท็อปบอกว่าต้องเป็นการเดินทางแบบแอดเวนเจอร์ ถ้าได้ไปกันเป็นกลุ่มก๊วนเพื่อนสนิท บอกไว้เลยว่า ถึงไหนถึงกัน

“ผมจะชอบเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ เข้าไปเดินป่า สูดอากาศบริสุทธิ์ ไปกันกับแก๊งเพื่อนๆ ที่สนิทกันนี่แหละครับ สนุกดี ได้ลุยไปกับเพื่อนๆ เรา ส่วนใหญ่ถ้าเป็นภาคเหนือ ผมก็จะไปพวกเชียงใหม่ เชียงราย ดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพ แต่สถานที่ที่ประทับใจมากๆ คือกิ่วแม่ปาน เป็นทริปล่าสุดที่ไปมาเมื่อ 2-3 ปีได้แล้ว”

การเดินทางที่ประทับใจที่สุด ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการเดินทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด เรื่องราวระหว่างทางที่ยังติดอยู่ในความทรงจำสำคัญกว่า

“จำได้ว่าปีนั้นเป็นปีที่หนาวพอดี แล้วเราตั้งใจไปถ่ายต้นพญาเสือโคร่ง ตั้งใจไปกันมากเลย คือนัดกันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ก็ต้องขึ้นไปดอยสุเทพ ขุนช่างเคี่ยน ก็นั่งรถกันไปเลย ปรากฏว่าไปถึงปั๊บ มันร่วงหมดแล้ว เหลือแต่ซากโรยๆ โห นั่งรถมาตั้งนานอะนะ แต่ก็โอเค ไม่เป็นไร สนุกสนานกันไป”

คนอื่นอาจคาดหวังว่าการเดินทางท่องเที่ยวจะต้องให้ประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับท็อป การได้นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกดิน ก็สามารถเติมเต็มและทำให้เขาหายเหนื่อยได้แล้ว

หลายคนมักจะคิดว่า วัยรุ่นอย่างท็อปน่าจะชอบเที่ยวทะเล แต่เขาว่าเที่ยวป่าเที่ยวเขาสนุกกว่า

“ถามว่าถ้าเที่ยวในเมืองไทย ผมชอบเที่ยวอะไร อืม อากาศร้อนปกติเขาน่าจะชอบเที่ยวทะเลกันใช่มั้ย แต่ผมกลับไม่ชอบนะ ยิ่งร้อนเรายิ่งไม่อยากว่ายน้ำ ผมคงเลือกเข้าไปเที่ยวในป่าดีกว่าครับ ไปเดินป่า ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ น่าจะสดชื่นกว่า แต่จะทะเลก็ได้ ไม่เกี่ยงนะ แค่ไม่ชอบเวลาที่มันร้อนมากๆ แต่ถ้าอากาศดีๆ ก็ชอบดำน้ำ อย่างเช่นที่กระบี่ น้ำใส ปะการังสวยๆ ก็ได้อยู่”

GM ถามว่าช่วงนี้ท็อปมีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนกับใครหรือเปล่า? ท็อปนับนิ้วให้เราดูวันทำงาน หนุ่มฮอตคนนี้งานยุ่งจริงๆ

“ถ้ามีคิวว่างติดกันสักอาทิตย์นึงก็อาจจะไปเที่ยวนะ แต่ทำงานแบบนี้เราไม่ค่อยมีวันหยุดยาวไง ถ้า 2-3 วัน เราก็ไม่อยากไปไหน ออกกำลังกายดีกว่า จริงๆ แล้วตัวผมนี่ เป็นคนติดออกกำลังกายมาก เข้าขั้นเสพติดเลยก็ว่าได้”

My Body Balance
เขาชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก แถมยังเล่นหลายชนิด ทั้งฟุตบอล วิ่ง และชกมวย แต่ในบรรดากีฬาทั้งหมด ท็อปบอกว่ากีฬาโปรดของเขาคือ บาสเกตบอล ชอบเล่นจนถึงขั้นอยากมีอาชีพหลักเป็นนักบาส

“เล่นบาสตั้งแต่ ม.ปลาย มหา’ลัยก็เล่น จะมีทีมของตัวเอง พูดได้เลยว่า บาสเกตบอลเนี่ยอาชีพหลักของผมเลย ส่วนเรื่องอื่นอาชีพรองเลยนะ (หัวเราะ) โดยเฉพาะตอนจบใหม่ๆ นี่บาสเป็นอาชีพหลัก เล่นทุกวัน ไม่มีวันหยุด ยกเว้นจะไม่สบายหนักๆ จริงๆ แล้วเล่นทีนี่ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน”

“เนี่ยครับ เวลาประมาณ 5 โมง ผมออกจากบ้านแล้ว เดิน 2 กิโล ไปสนามบาส แล้วก็เล่นจนถึง 3 ทุ่มน่ะ”

ตอนท็อปเล่นบาส สาวๆ ต้องตามมากรี๊ดกันเกรียวกราวแน่ๆ GM ลองถามรายชื่อสาวๆ คนที่มาเชียร์ท็อปเป็นประจำ เขารีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่มีครับ ... ไม่มี จริงๆ นะ คือตอนอยู่ลาดกระบังเนี่ย โอ๊ย ไม่มีสาวๆ มานั่งดูหรอกครับ นานๆ ทีถึงจะมีหน้าม้ามาบ้าง แต่ไม่เยอะหรอกครับ นิดหน่อยเอง ส่วนใหญ่จะเป็นแนวมารอใช้สนามต่อ คงคิดในใจว่า เมื่อไหร่แม่งจะแข่งเสร็จวะ อะไรอย่างนี้มากกว่า”

ปัจจุบันท็อปพักอยู่ย่านทองหล่อ หากวันไหนไม่ติดงาน คุณสามารถพบเขาได้ที่สนามบาสในสวนเบญจสิริ

“ถ้าวันไหนว่างๆ หรือทำงานเสร็จเร็ว เจอผมแน่นอน ผมจะเดินไปสวนเบญฯ ตอนเย็นๆ ไปคนเดียวแหละ ไปขอแจมกับเขาบ้าง เขาเห็นหน้าแปลก แรกๆ ก็ไม่ค่อยจ่ายให้เราเล่น แต่พอเห็นประจำก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้ว สำหรับผม ผมว่าบาสมันเป็นกีฬาปะทะ ช่วงที่เราแข็งแรงมากๆ เราจะชนอะไรก็ได้ แต่ช่วงหลังๆ มานี่ยอมรับเลยว่าเล่นเบาลง พอต้องทำงานแสดงแล้วเราต้องเซฟตัวเองมากขึ้นครับ”

GM แซวว่า ท็อปดูเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องกีฬามาก ขนาดเวลาเล่านี่แววตา ท่าทาง มาหมดเลย

“ถ้าใครมาพูดกับผม แล้วพูดเรื่องกีฬา บอกเลยว่าคุยยาวครับ คือเมื่อก่อนบ้ามาก สมัยยังอยู่ลพบุรี วันนึงผมจะเล่นบาสตอน 5 โมงเย็น เล่นสัก 2 เกมแล้วไปเตะบอลต่อตอนทุ่มนึงถึงประมาณห้าทุ่ม สนุกด้วยแถมยังตะคริวกินด้วยครับ”

ย้อนกลับไปดูตัวเองเมื่อก่อน เขาบอกว่าตัวเองเล่นกีฬาหนักและเยอะเกินไป

“เมื่อก่อนผมจะซีเรียสกับการดูแลตัวเองมาก ออกกำลังกายทั้งวันอะครับ เพราะความที่เราตัวเล็ก หนักแค่ 58 เอง เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า เวลาไปเดินข้างผู้หญิงแล้วเราตัวเท่าเขาเลย มันดูปกป้องเขาไม่ได้ ทีนี้ก็เลยเริ่มออกกำลังกายหนัก จากที่อยากดูแลตัวเอง กลายเป็นว่า ยิ่งทำให้หน้าโทรมลง แต่ร่างกายแข็งแรงขึ้นนะ”

เขาเล่าบรรยายถึงกีฬาที่ตัวเองเล่นสารพัดชนิด ทั้งบาสเก็ตบอล วิ่งมาราธอน ยกเวท วิดพื้น ต่อยมวย เล่นเวคบอร์ดต่อ เขาเล่าว่า โดยเฉลี่ยในหนึ่งวันจะต้องเล่นกีฬา 2-3 ชนิด เล่นเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง GM คิดว่าเขาน่าจะเป็นนักกีฬาได้เลย

“เพราะเราตัวเล็ก กินน้อย ไม่ค่อยกินโปรตีน แต่ดันออกกำลังกายเยอะ ทีนี้มันเลยไม่มีอะไรจะเข้าไปชดเชยสิ่งที่เราเสียไป ช่วงพีคๆ ที่เล่น 3 อย่าง ร่างกายเลยกรอบมาก แทบขยับไม่ได้ แต่เรากลับชอบ ตื่นมาแล้วรู้สึกสบาย มันไม่ใช่อะ มันต้องตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกตึงๆ ปวดๆ หน่อย”

เสพติดความเจ็บปวดนะเนี่ยเรา GM แซว

“ฮ่าๆ ใช่ครับ สงสัยผมจะเป็นคนที่เสพติดความเจ็บปวดจริงๆ” ท็อปยอมรับ เขาจำได้ว่า ตอนนั้นเสพติดกีฬาจนถึงขนาดที่เทรนเนอร์ยังต้องสั่งห้าม

“มันหงุดหงิดนะ ตอนเทรนเนอร์ให้พัก เราต้องแอบไปเล่นบาสหรือทำอะไรสักอย่างนึงก่อน จนมาลดลงไปเองเมื่อปีกว่า ตั้งแต่ตอนเล่นชาติพยัคฆ์ก็เริ่มดาวน์แล้ว รู้สึกว่าอยากให้ตัวเองรีแลกซ์มากขึ้น ที่ผ่านมาเราใช้ร่างกายเยอะมากแล้วเราเริ่มรู้สึกแล้วว่า เออมันไม่ได้มีประโยชน์ ตอนนั้นรู้จักกับก็อต จิรายุ ที่จะรู้เรื่องการออกกำลังกายเยอะมาก เขาก็จะให้คำแนะนำที่ดีมาก จริงๆ เทรนเนอร์เขาห้ามผมอยู่แล้วแหละ นี่ไม่ต้องไปแอบเล่นบาสตอนเย็นนะ ผมก็แบบ เออ พี่โอเค แต่ก็ไม่รอด คือเราออกกำลังกายช่วง 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่มมา 7-8 ปี”

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เล่นกีฬาลดลง ก็คืออุบัติเหตุตอนเล่นคิวบู๊

“เล่นคิวบู๊ครับ ขาเลยเจ็บเพราะเอ็นมันฉีก ทีนี้ก็ออกไปไหนไม่ได้ ตอนนั้นทรมานมากเพราะมันวิ่งไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ มองฟ้าตอน 5 โมงเย็นแล้วแบบ เฮ้ยปกติกูอยู่สนามบาสนะเนี่ย จะไปเดินดูเล่นก็กลัวอดไม่ได้ ก็เลยว่ายน้ำละกัน ตอนเย็นก็กระโดดน้ำตุ๋ม 5 โมงว่ายถึง 6 โมงก็หมดแรงแล้ว ว่ายน้ำไม่เก่ง ขึ้นมาแล้วก็แบบ ยังไม่ถึงเวลานานเลยเว้ย เออ มันเซ็ง มันเฟลมาก แต่หลังๆ ก็เริ่มดีขึ้น วันละอย่างสองอย่าง ก็แล้วแต่ สุดๆ ก็คือสองอย่าง เดี๋ยวนี้ยังไม่เคยถึงสาม อย่างเก่งก็เวท แล้วก็ตอนเย็นเล่นบาส"

ถามว่า เล่นน้อยลงแล้วยังหงุดหงิดอยู่มั้ย ท็อปส่ายหน้าเบาๆ บอกว่า แบบนี้แหละกำลังดีแล้ว

Myself and I
ฟังจากเรื่องราวพร้อมมองตาเวลาคุยกับเขา GM รู้สึกว่าท็อปเป็นคนที่แอ็คทีฟมาก

“ใช่ๆ ครับ ตัวตนจริงๆ ก็ค่อนข้างแอคทีฟนะ คือมันอาจจะเป็นความเคยชิน แต่ช่วงขี้เกียจก็มี คือสมมุติว่าถ้าปล่อย ไม่เล่นเวทเลย ไม่ทำอะไรเลย ผมก็จะแบบขี้เกียจ นอนตื่นสาย ทำอะไรดีวะ ไม่เล่นเวทดีกว่า ขี้เกียจ ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เออ มันไม่ดีอะ มันทำให้เราเป็นคนขี้เกียจ จริงๆ แล้วไอ้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มันก็คืออาชีพเราเองแหละ มันคืองานอย่างหนึ่งของเรา เพราะว่า เราต้องรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพแล้วก็ร่างกาย สุขภาพดี สุขภาพจิตมันก็ดีด้วย มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบ เพียงแต่ว่า เราต้องบริหารความพอดีไง เมื่อก่อนเราไม่พอดีไง ตึงมาก”

กับการทำงานก็เช่นเดียวกัน ท็อปบอกว่า ช่วงเข้าวงการแรกๆ ยังไม่ค่อยรู้หลักว่าต้องแสดงยังไง แต่ก่อนจะเครียดมาก

“เราเป็นคนจริงจังตั้งใจไง อยากทำให้มันดี อยู่หน้ากองแรกๆ นี่เกร็งมาก ทำอะไรก็ไม่ถูก ทำอะไรก็ไม่ดี แต่อย่างปัจจุบัน อ่า อาจจะมีบ้างนานๆ ที แล้วแต่สมาธิด้วย บางวันแบบอาจจะเหนื่อยเยอะ ก็จะประหม่าอยู่บ้าง แต่ว่าโอเคขึ้นเยอะแล้วครับ”

เคล็ดลับในการลดความกดดันและพัฒนาการแสดงของเขา คือทำความเข้าใจกับตัวละคร และทำการบ้านให้เยอะขึ้น

“เรายังตั้งใจเหมือนเดิม แต่ว่าก็พยายามจะปรับ หาอะไรที่ทำให้ตัวละครมันมีสีสัน หรือว่าแสดงอย่างนี้ดีมั้ย หรือทำอีกอย่างดี คือคิดกับมันเยอะๆ ที่สำคัญคือหาความแตกต่างของแต่ละตัวละคร คือพอเราแสดงไปหลายๆ เรื่อง มันจะเริ่มหาความแตกต่างไม่ได้ อย่าลืมว่า ในละครเนี่ย พระเอกก็จะมีสูตรสำเร็จของความเป็นพระเอก อย่างถ้าบอกว่าคาแรคเตอร์กวนๆ นะ อ้าวมันก็เหมือนกับเรื่องที่แล้วเลย แต่จะทำยังไงให้ความกวนมันแตกต่างกัน ไม่ให้คนดูรูู้สึกว่า เขาต้องดูอะไรซ้ำๆ เดิมๆ เดี๋ยวนี้คนดูรู้เยอะนะครับ เขาดูละเอียดมากขึ้น ผมพูดเลย เราเป็นนักแสดงก็ไม่ควรจะแสดงแบบซ้ำๆ เดิมๆ”

เขาทำงานกับผู้กำกับมาหลายคน แต่ละคนจะมีภาพในหัวไม่เหมือนกัน และการพูดคุยกับผู้กำกับเยอะๆ ทำให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น และเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้นักแสดงทำงานได้ง่ายขึ้น

“สมมุติเรามีปัญหาในการแสดง ผู้กำกับเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำเราได้ดี เพราะแต่ละคนมีภาพของตัวละครไม่เหมือนกัน เราก็รับฟังแล้วก็มาปรับกับภาพของตัวเอง เพื่อดูว่าเราควรจะไปทางไหน มันเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้น แล้วความรู้สึกแบบนี้มันก็จะไปเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเล่นละครเรื่องใหม่ มันก็คือการเริ่มต้นใหม่ มันก็จะมีความยากมาให้เราอีกแบบ ทุกครั้งที่เราไปเป็นตัวละครตัวใหม่มันก็ต้องประหม่าอยู่แล้ว เออ มันยังจับทางไม่ถูก ตัวนี้มันจะเป็นประมาณไหนวะ อันนี้มันจะใช่หรือยังไม่ใช่”

ถ้ามองความยากให้เป็นความท้าทาย การทำงานก็จะสนุกขึ้น ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีสนุก มีเครียด มีเล่นไม่ได้บ้าง ไม่มีใครที่เพอร์เฟคต์ไปทุกอย่าง หน้าที่ของนักแสดงคือเล่นให้เต็มที่ ท็อปยังฝากบอกแฟนคลับละครของเขา มั่นใจได้เลยว่าเขาเล่นเต็มร้อยทุกฉาก

“ผมชอบดูงานตัวเอง ใครบอกเขิน ไม่กล้าดูเวลาตัวเองแสดง แต่ผมไม่เป็นนะ ถ้าดูแล้วเราจะเห็นว่า เราเล่นอะไรออกไป มันใช่หรือไม่ใช่ ดูปุ๊บ ไอเชี่ยทำไมกูเล่นอย่างนี้วะ ทำไมไม่เล่นอีกแบบนึง ผมเป็นคนชอบดูเพื่อที่จะมอนิเตอร์ตัวเองว่า มันใช่มั้ย หรือมันต้องอีกนิดนึง ทำไมมันไม่ได้วะ ก็ดูเพื่อเอาไปปรับพัฒนาตัวเองนั่นแหละ”

การแสดงคืออาชีพของเรา อาชีพของเราก็คือตัวตนของเรา เราก็ต้องอยากทำตัวตนของเราให้ดีที่สุด

“ผมเป็นคนที่รู้สึกว่า ถ้าเราเล่นไปแล้วยังไม่อยากดูในสิ่งที่ตัวเองเล่นเลย แล้วคนอื่นจะอยากดูได้ยังไง คือไม่ได้ว่าคนอื่นผิดนะ แต่หมายถึงว่าอันนี้คือความคิดของผมเอง เออ เราเล่นไปเราก็ต้องอยากดู ถ้าเรารู้สึกว่าเราอยากดู ดูแล้วสนุก มันเป็นอาชีพของเรา มันเป็นตัวตนของเรา แล้วเราก็ไม่ใช่คนหล่อแบบ โอ้โห”

แหม...อย่างคุณนี่เรียกไม่หล่อ แล้วใครจะหล่อล่ะ GM ชักสงสัย

“ไม่ๆ คือผมไม่ได้เป็นสเปคคนไทยไง เออ สเปคคนไทยก็จะขาวๆ หน่อย ตี๋ๆ หน่อย แต่เราก็จะเป็นทาร์เก็ตอีกแบบนึง เพราะฉะนั้นอันนั้นหน้าตาเราก็จะเป็นเรื่องรองมากกว่า ถ้าเราเล่นไปแล้วคนดูดูแล้วสนุก มันก็จะสนุกตามไปด้วย ผมชอบให้คนอินกับละคร สนุกกับละครมากกว่า”

My Work-Life Balance
ชีวิตที่ดีในความหมายของท็อปต้องบาลานซ์ให้อยู่ในความพอดี เขาเคยออกกำลังกายเกินพอดี กับการทำงานก็เคยทำเกินพอดีเช่นกัน

“เคยสุดๆ ประมาณ 4 เดือนติดกันทุกวัน ไม่มีวันว่างเลยครับ ช่วงประมาณ 3 ปีที่แล้วมั้ง ถ่ายละคร 3 เรื่อง ทั้ง สามีตีตรา ซิกเซ้นต์ แล้วก็ เวียงร้อยดาว มีบางวันวิ่ง 2 กอง เช้ากองนึง เย็นอีกกองนึง ยังไม่รวมอีเวนท์ ถ่ายแบบ เรียนมวย คือทุกวันเป็นวันทำงานจริงๆ ครับ (หัวเราะ) แล้วมันก็ไม่โอเค ไม่มีใครโอเคหรอก ผมว่านะ ผมชอบบาลานซ์ เอออาทิตย์นึงขอหยุดหน่อยสักวันสองวันได้มั้ย”

สุขภาพกายไม่เท่าไหร่ แต่สุขภาพจิตแย่ลง ท็อปบอกว่า 4 เดือนที่ทำงานติดต่อกันทุกวัน ทำให้เขารู้สึกว่า การทำงานไม่มีความสุข ไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน

“เออ จิตตกนะ จากที่เรารู้สึกดีเวลาที่ได้ทำงาน แต่พอมันอัดกันมากๆ มันเหนื่อยอะ รู้สึกว่า เราเป็นหนี้ใครหรือเปล่า ก็ไม่นี่ แล้วทำไมต้องเหนื่อยขนาดนี้ แต่เราก็รู้ตัวว่า เออ ต้องทำให้ดีที่สุดเพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา อาจจะมีตื่นๆ มาแล้วแบบ อืม…เหนื่อยจัง ไม่อยากลุกเลย แต่ก็โอเคครับ มันผ่านไปแล้ว”

การทำงานในวงการทำให้เขามองชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป ท็อปบอกว่าถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 5 ปี ตอนที่เขาทำงานเป็นวิศวกร เขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะเดินมาถึงจุดนี้

“แรกๆ อยากเก็บตังค์ ก็เด็กอะเนอะ เป็นดาราได้เงินง่าย ก็เอาๆ เข้ามาได้ตังค์ก็โอเคแล้ว คือจุดแรกผมคิดแค่นั้น แต่พออยู่ๆ ไป เราได้เจอพี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) ได้เจอคนนู้นคนนี้ เขาก็จะสอนทัศนคติอีกหลายๆ แบบให้เรา กลายเป็นว่า จากความคิดอยากได้ตังค์มันเปลี่ยนไป ตอนนี้เราอยากอยู่วงการนานๆ อยากเก่งแบบเขา อยากภูมิใจ เวลาเห็นงานประกาศรางวัล ดูเขารับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม เราก็อยากได้บ้าง แต่ถ้าให้เทียบวันนี้กับเมื่อ 5 ปีก่อน ผมว่าก็มาไกลเกินฝันแล้ว”

สำหรับชีวิตอีก 5 ปีข้างหน้า ท็อปก็หวังว่า เขาจะเป็นนักแสดงที่เก่งและได้ทำงานในวงการที่ตัวเองรักต่อไป

“ที่ฝันไว้ก็คือชีวิตต้องก้าวผ่านจุดที่ได้รางวัลนักแสดงที่เป็นความฝันของเราไปแล้ว และก็ทำงานให้ดีขึ้น มั่นใจ แล้วก็รีแล็กซ์กับมันมากขึ้นเนอะ แต่ชีวิตก็ไม่แน่นอน อีก 5 ปีข้างหน้า ผมอาจจะรวย เล่นหุ้นอยู่ที่บ้าน ตื่นมาออกกำลังกาย ตกเย็นเล่นบาส หรือมีอาชีพหลักเป็นนักบาสก็ได้”

นาฬิกาที่สตูดิโอ บอกเวลาว่าใกล้จะ 5 โมงเย็น เราคุยกันเสร็จพอดี เดี๋ยวท็อปจะไปทำอะไรที่ไหนต่อ GM ถาม

ท็อปชี้ไปที่นาฬิกาเรือนนั้น บอกว่า “เล่นบาสสิครับ”

My other addictions
นอกจากจะมีเสพติดกีฬา โดยเฉพาะบาสเกตบอลแบบสุดๆ แล้ว ท็อปบอกว่ายังมีอีก 2 อย่างที่เขาติดไม่แพ้กัน

อ่านการ์ตูน
“ผมอ่านการ์ตูนเยอะครับ ชอบมาก ถ้าให้พูดชื่อก็ นารูโตะ, บลีช, เคียว (KYO) แล้วก็ ตุลาการทมิฬ นี่ชอบมาก ส่วนการ์ตูนจีนก็ต้อง แปดเทพอสูร ครับ ผมจะชอบอ่านการ์ตูนที่เป็นพวกแฟนตาซี ที่ดูแบบเวอร์หน่อยๆ”

แอบถ่ายรูป
“ชอบถ่ายรูปคนรักกัน ไม่รู้เป็นอะไร ถ่ายจากไอโฟน แล้วก็ซื้อกล้องมิเรอร์เลสมา เวลาไปที่ไหน เราเห็นคนนั่งเล่นกัน อย่างเช่นในสวนสาธารณะ หรือตอนไปต่างประเทศ เราเห็นคนแก่สองคนเดินด้วยกัน เราก็แอบถ่ายเขาไว้ ไม่ได้เอาไปทำอะไรนะ เอาไว้ดูเอง มันโรแมนติกดีครับ” ท็อปพูดขณะเปิดภาพจากมือถือ ที่มีรูปคู่เป็นร้อยๆ รูปให้เราดู

เรื่อง : ภัทรพร บุญนำอุดม
ภาพ : รัชพล บุญเลิศ
นิตยสาร GM ฉบับเดือนมีนาคม 2560

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook