7 คำถาม รู้จัก “ป๊อก ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ว่าที่เจ้าบ่าว “มาร์กี้ ราศรี”
ทำความรู้จัก “ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ทายาทตระกูลมหาเศรษฐีระดับประเทศ ปัจจุบันนอกจากงานดนตรีที่เขารัก ยังชิมลางในฐานะผู้บริหารอีกด้วย วันนี้ Sanook! Men มีส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ (“ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ทายาทหมื่นล้านกับชีวิตที่ไม่ได้วิเศษกว่าใคร) ของหนุ่มมากความสามารถคนนี้มาฝาก รับรองว่า 7 คำตอบของหนุ่มคนนี้จะทำให้คุณรู้จักเขามากขึ้นแน่นอน
ทันทีที่คุณจำความได้ และรู้ว่าตัวเองนามสกุล “จิราธิวัฒน์” คุณรู้สึกอย่างไร
(หัวเราะ) ผมรู้สึกเฉยๆ นะ อาจเพราะเราเกิดมาแล้วเห็นแบบนี้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมดาถ้าสมมุติว่ามีชีวิตอยู่อย่างนึงแล้วไปเจออีกแบบนึงเราจะรู้จักการเปลี่ยนแปลง แต่นี่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก จนกระทั่งไปโรงเรียนเพื่อนๆ ก็ชอบถามไปเดินห้างทำยังไงหยิบของได้เลยเหรอ ฟรีทุกอย่างหรือเปล่า เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมเค้าถึงคิดอย่างนั้น เพราะเราทำไม่ได้ทุกอย่างมันเป็น On Process ของบริษัท (หัวเราะ) เราก็บอกว่าไม่ได้ เราไม่มีทางที่จะไปหยิบของฟรีๆ หรือได้มาฟรีๆ
จริงๆ แล้วผมใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป และไม่ได้คิดว่าตัวเองมีอะไรที่มากกว่าคนอื่น คุณพ่อสอนไว้ เพราะคุณพ่อเริ่มจากศูนย์ คุณปู่มาจากเมืองจีนโดยที่ไม่มีของอะไรเลยไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีเงิน มาสร้างทุกอย่างเอง ตั้งแต่เด็กๆ แล้วคุณพ่อก็ลำบากมาก่อน เหมือนจะโดนปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เลยว่าให้รู้จักคุณค่าของเงินและอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าอยู่มาวันนึงเราจะสบาย ฉะนั้นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และไม่ลืมตัว เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ครอบครัวเราลำบากแค่ไหน บวกกับที่ผมไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่ตอนอายุ 14 ด้วย ใช้ชีวิตเองในโรงเรียนประจำ เลยไม่มีความคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น
คุณเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์จากต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่คุณอยากเรียนเองหรือเพราะความต้องการของคุณพ่อคุณแม่
ไม่ใช่เลยครับ (หัวเราะ) จบเศรษฐศาสตร์เป็นอะไรที่งงเหมือนกัน ตอนแรกพออยู่เกรด 11 จะต้องคุยกับครูแนะแนวว่าใครอยากเป็นอะไร ผมกลับไปบ้านตอนปิดเทอม ผมถามที่บ้านว่าสรุปแล้วจะเรียนอะไรได้บ้าง อยากให้เรียนอะไร ไม่เคยมีทางเลือก เพราะคิดว่าเราคงต้องทำในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เลือกไว้ให้ พอถามไปคุณพ่อก็บอกว่าเรียนอะไรก็ได้แล้วแต่เลย ผมรู้สึกดีใจมาก เพราะไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสได้เลือก กลับไปปุ๊บผมก็จะไปสมัครเรียนดนตรีที่เบิร์คลีย์เพราะว่าที่เบิร์คลีย์เป็นโรงเรียนดนตรีของโลก แล้วเราก็อยู่เมืองนั้นตั้งแต่เด็กๆ คล้ายบ้านที่สองของเรา เราผ่านตลอดเวลา เลยรู้สึกอยากเรียนมาก เลยกลับไปเสนอว่าตอนนี้รู้แล้วว่าอยากจะเรียนอะไร ที่บ้านก็อึ้งครับ
เค้าไม่ห้ามว่าเราจะเล่นดนตรีหรือสนุกมีความสุขกับมัน แต่ถ้าเอามาเรียนเป็นอาชีพหลักเค้าคิดว่ามันอาจไม่เหมาะสมหรือเปล่าสำหรับเรา เพราะที่บ้านเขาก็หวังว่าให้เราช่วยงานที่บ้านในอนาคต แล้วก็อีกอย่างคุณพ่อบอกว่าถ้าเราเรียนแต่ดนตรีแล้วเราไม่มีความรู้ด้านอื่นเลยอีกหน่อยเราจะไปทำอะไรมันก็ลำบาก ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้อง ถามว่าเสียใจไหมก็เสียใจนิดหน่อยเลยไปเลือกมาใหม่ เลยพูดตรงๆ ว่าไม่มีอะไรเลยครับที่ผมสนใจและอยากจะเรียน เราก็เลยเรียนเศรษฐศาสตร์แล้วกัน เพราะดูเป็นกลาง ดูกว้างดี เหมาะที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง ถามว่าสนใจไหมไม่ได้สนใจเลย แต่ Minor ผมก็ยังเป็นดนตรีอยู่ดี อะไรที่เราเลือกได้ผมก็ใส่ดนตรีหมด เลยเป็น เศรษฐศาสตร์ และมีดนตรีเล็กๆ อยู่ในนั้น
ความรักชอบในดนตรี โดยเฉพาะสไตล์ Hip Hop ของคุณมาจากไหน
จริงๆ แล้วผมเริ่มเล่นดนตรีจากการเล่นกีตาร์ เล่นเปียโน เล่นกลอง ตั้งแต่เด็กๆ และฟังไปเรื่อย มีทั้งร็อก ฮิปฮอป แต่ไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษ แต่พอไปอยู่ที่อเมริกา ฮิปฮอป อาร์แอนด์บี เป็นคัลเจอร์ที่ใหญ่มากๆ ด้วยวัยของเราด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไปอยู่ตรงนั้นแล้วมันซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ จนเรากลืนไปกับมัน เลยรู้สึกว่าเราชอบ พวกกับดนตรีสดแล้วก็เขียนกลอน ตอนเด็กๆ ผมชอบเขียนกลอนอยู่แล้ว เลยเป็นอะไรที่เปิดโลกให้กับเรา ถ้าผมไปเรียนที่อังกฤษก็คงเป็นโลกอีกแบบนึง ไปอีกแนวนึงก็ได้ อะไรหลายๆ อย่างจึงทำให้เราผูกพันและก็ชอบฮิปฮอปครับ
ชีวิตของคุณถ้าคนภายนอกมองการเล่นดนตรีสำหรับคุณ ไม่ใช่การเลี้ยงชีพ แต่ดนตรีมันให้อะไรกับคุณ
ผมว่าดนตรีให้ความสุขกับผม สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราได้ปลดปล่อย มีความสุขกับมัน แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราทำมันมีแต่เราจะได้รับความสุข ผมไม่ได้คิดว่าเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตหรือไปร้องเพลงที่ไหนมันคืองาน เราทำเพราะเรารัก เวลาออกไปโชว์ ไปร้องเพลง คือเราได้ออกไปมีความสุขผมคิดอย่างงั้น และตอนนี้ก็ทำงานให้ที่บ้านด้วย กับงานส่วนตัวงานบันเทิงก็ยังทำอยู่ ถามว่าทำงาน 6-7 วัน ต่ออาทิตย์เหนื่อยไหม เหนื่อยมาก หลังจากที่ผมทำงานให้ที่บ้านเหนื่อยมากๆ พอกลางคืนมีงานคอนเสิร์ตผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ออกไปทำงานรู้สึกว่าไปปลดปล่อยกับสิ่งที่ผมรัก มันถึงทำไปได้ด้วยกันหลายๆอย่างมันกลับกระตุ้นให้เราเอ็นจอยกับชีวิตแล้วเรามีความสุขมากขึ้น
หลังเรียนจบคุณเคยไปทำงาน Bangkok Post และ M2F ด้วย งานสื่อเปลี่ยนอะไรในตัวคุณบ้าง (เพราะได้ข่าวว่าทำตั้งแต่เซลล์จนถึงนักข่าว)
ไม่ได้เปลี่ยนอะไรครับ ผมยังเป็นผมคนเดิมอย่างทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าการที่เป็นตัวของตัวเองแล้วทำในสิ่งที่ตัวเองรักมีความสุข เป็นการใช้ชีวิตที่ยิ่งดี เราจะไม่ฝืนแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรขัดแย้งกับการเป็นตัวของตัวเอง ถามว่าผมได้เก็บเกี่ยวอะไรจากตรงนั้นจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ 3 ปีที่ได้ไปทำงานก่อนที่จะไปเรียนปริญญาโท คือขั้นตอนทุกอย่างเค้าทำให้เราเห็นว่ากว่าจะมีสินค้าสักหนึ่งอย่างมันต้องผ่านอะไรยังไงบ้าง ต้องใช้คนกี่แผนก พนักงานแต่ละแผนกต้องทำอะไรยังไงบ้าง เพราะว่าวันนึงเราต้องตอบแทนที่บ้าน ที่ทำให้เรามีประสบการณ์ มีความรู้ มีทุกอย่าง จนถึงทุกวันนี้ วันนึงก็ต้องมาช่วยที่บ้านทำ ช่วยที่บ้านบริหาร เพราะฉะนั้นการที่เราจะบริหารได้ เราต้องรู้ทุกกระบวนการ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และตอนนั้นก่อนที่จะมีหนังสือพิมพ์แจกฟรี M2F ผมเป็นหนึ่งในทีมงานที่ทำมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ถ้าไม่ได้ลองทำตรงนั้นผมคงไม่เคยรู้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ ครับ
นอกจากนี้คุณยังเป็นนักธุรกิจเครื่องดื่มและเสื้อผ้าด้วย เวลาคุณอยู่กับลูกน้อง คุณวางตัวอย่างไร และเป็นเจ้านายสไตล์ไหน
จริงๆ แล้วผมจะทำกับเพื่อนหมดเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นลักษณะกันและกัน เป็นตัวเองสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก แต่ก็แค่ว่าถ้าแต่ละคนมีเป้าหมายของตัวเอง มีจุดยืน ยึดมั่นและมีความรับผิดชอบ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น ผมว่าแค่นี้มันน่าจะโอเค ผมจะรุ่นใหม่ครับแต่งตัวไม่จำเป็น แต่ก็ต้องรู้ว่าเวลาไปเจอลูกค้าต้องประมาณไหน ไม่ใช่เนี้ยบเข้าออฟฟิศทุกวัน ถ้าคุณทำงานได้ผมว่าอันนี้สำคัญมากกว่า เพราะผมเชื่อว่าเข้าออฟฟิศมานั่งบอกว่าโอเค เข้าแปดโมง ออกห้าโมง บางทีคนเค้าก็ไม่ได้มีกระจิตกระใจขนาดนั้น เข้ามานั่งดูเวลาว่าเมื่อไหร่จะออก เล่นเฟซบุ๊กรอเพื่อจะถึงเวลาออก แต่เวลาพวกนั้นไม่ได้เป็นเวลาที่บริษัทได้สินค้าเพิ่มขึ้นมากเลย เพราะเราจ้างเวลาเขามาแล้ว ผมไม่ค่อยชอบอะไรตรงนั้น ผมว่าถ้าเราผูกความคิดกับพนักงานของเราให้เขารักบริษัท แล้วมีจุดมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกันกับเรา เขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร เขาก็สามารถทำงานให้เราออกมาดีกว่า บางทีเขาออกไปข้างนอกอาจจะทำอะไรได้มากกว่าที่นั่งอยู่ในออฟฟิศแล้วเล่นเฟซบุ๊กก็ได้ ผมเลยไม่คิดว่าเรื่องเวลากับการแต่งตัวมันจะมีผลกระทบกับผลงาน มันอยู่ที่ตัวเขาเองครับ
ตอนนี้คุณได้เข้าไปช่วยสืบทอดกิจการของครอบครัวบ้างหรือยัง และเข้าไปช่วยธุรกิจแบบไหน เพราะอะไรถึงเข้าไปช่วยในธุรกิจนี้
ไปช่วยในธุรกิจนี้ เพราะผมโดนที่บ้านขอให้เข้าไปช่วย (หัวเราะ) ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนที่เก่ง แต่อย่างน้อยสิ่งนึงที่ๆบ้านไว้ใจ และผู้ใหญ่ไว้ใจคือ ผมเป็นคนซื่อสัตย์ และผมเป็นคนตรงมากๆ ใจผม 100% ผมสะอาดมาก ไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการทำอะไรโดยที่เค้าจะไม่สบายใจและรู้สึกผิดหวัง เพราะตรงนั้นผมมีให้เต็ม 100 เก่งไม่เก่งผมก็ยังเรียนรู้จากผู้ใหญ่อยู่ พยายามเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุดนะครับ
ตอนนี้ก็เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของแมกกาซีน 8 เล่ม ดูแลหนังสือในเครือ Post Internation และก็ดิจิตอลมีเดียด้วย เหนื่อยมากครับ ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 6 แล้วครับ ทำมา 6 เดือนแล้วถามว่าเครียดไหม เครียดมากครับ 3 เดือนแรกเป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ เลย ค่อนข้างที่จะเยอะมากๆ ด้วยประสบการณ์ที่พยายามจะเรียนรู้จากผู้ใหญ่ และสถานการณ์ทุกๆ อย่างมันเครียด อย่างที่ทุกๆ คนรู้ว่าเป็นยุคที่นิตยสาร แมกกาซีน ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ดีนัก แต่ผมคิดในแง่บวกโอเคสถานการณ์ไม่ดี หลายๆ อย่างลำบาก แต่ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ตลอดเวลา เราได้เจอถือว่าเป็นบุญของเรา ถ้าเราผ่านอันนี้ไปได้ มันจะทำให้ผมอัพระดับความรู้ ความสามารถ หลายๆ อย่างเร็วกว่าที่ไปทำกับสถานการณ์ปกติ ถ้าผ่านมันไปได้ผมก็จะมีความสุขมากๆ เหมือนได้รับรู้หลายๆ อย่างในเวลาที่สั้นกว่า
อัลบั้มภาพ 17 ภาพ