ใครคือสาวน้อยผู้เข้ามาเปลี่ยนจังหวะชีวิตของ เป็นเอก รัตนเรือง

ใครคือสาวน้อยผู้เข้ามาเปลี่ยนจังหวะชีวิตของ เป็นเอก รัตนเรือง

ใครคือสาวน้อยผู้เข้ามาเปลี่ยนจังหวะชีวิตของ เป็นเอก รัตนเรือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากที่เคยหายใจเข้าและหายใจออกเป็นภาพยนตร์มาตลอด 20 ปีของการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ต้อม – เป็นเอก รัตนเรือง ยอมรับว่าความรู้สึกในการทำหนังเรื่องล่าสุดอย่าง “Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ” เปลี่ยนไปตามจังหวะชีวิตที่คลี่คลายยิ่งขึ้น แม้เป็นเอกจะยังคงรักการดูหนังในโรงเหมือนเดิม และมีความสุขทุกวันที่ได้อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้เอาแต่หมกมุ่นคิดเรื่องงานอยู่ในหัวทุกวินาทีเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดชีวิตการทำงาน ผู้กำกับหนุ่มใหญ่ หัวใจวัยรุ่นคนนี้ กลับอยากอยู่บ้าน และใช้ชีวิตสบายๆ ไปกับหญิงสาวของเขามากกว่า

ใช่แล้ว เป็นเอกในวัย 55 ปี ผู้กำกับสุดอินดี้ ช่างคิด ช่างเจรจาของใครหลายๆ คน ติดหญิงมากกว่าอยากทำหนัง! และนี่คือโฉมหน้า “เธอ” ผู้ทำให้จังหวะชีวิตของเขาเปลี่ยนไป และอาจส่งผลถึงอารมณ์ในหนังเรื่องล่าสุดอย่างสมุยซอง ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ที่อาจมีสถานะเป็นหนังดาร์คที่แสนจะรื่นรมย์ที่สุดในประวัติการทำงานของเขาก็เป็นได้

คุณรู้สึกยังไงกับวาระ 20 ปี เป็นเอก รัตนเรือง

ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นฮะ แต่รู้สึกว่าคนรอบๆ ตัวตื่นเต้น พวกแฟนหนัง

แต่ตัวเลขของการกำกับหนังมานาน 20 ปี ก็ย่อมนำมาซึ่งความคาดหวังเล็กๆ เกี่ยวกับผลงานใหม่ของคุณอย่างเลี่ยงไม่ได้

เรารู้สึกทึ่งเล็กๆ มากกว่า ว่ากูก็ฝ่าแม่งมาได้ หมายถึง สำหรับเรามันยิ่งดับเบิ้ลแอ็กชั่น เราไม่เคยคิดมาทำอาชีพนี้ นี่ไม่ใช่ความฝันของเราเลยว่าอยากจะเป็นผู้กำกับหนัง ไม่ได้เรียนมาทางนี้ ไม่มีความรู้ แต่ก็ทำมาได้จนถึง 20 ปี กับอีกอย่างที่มันน่าทึ่งกว่าก็คือว่า แม่งทำหนังไม่เคยได้เงินเลย ถ้าเป็นคนที่ไม่โชคดีขนาดนี้มันต้องจบอาชีพนี้ไปตั้งแต่เรื่องที่ 2 แล้ว มันจึงเป็นความรู้สึกทึ่งมากกว่า ไม่ได้ทึ่งตัวเองนะ ทึ่งในสถานการณ์ ที่ยังไปต่ออีกได้ด้วย ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเร็วๆ นี้

ถ้าพูดถึงแพสชั่นในการทำงาน คุณยังสนุกในการทำหนังเหมือนทุกครั้งหรือเปล่า

แน่นอนฮะ มีความสุขมาก แพสชั่นมันเหมือนเดิม ความสุขในการทำหนังเหมือนเดิม แต่ไอ้ความกระตือรือร้นในการทำน้อยลงเยอะ ความหมายของภาพยนตร์กับชีวิตเรามันน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ เมื่อก่อนภาพยนตร์คือทุกอย่าง หายใจเข้า หายใจออกต้องทำหนัง เดี๋ยวนี้มันคล้ายๆ กับความตื่นเต้น ความกระตือรือร้นน้อยลงมาก ทำมานาน และ 3 ปีที่ผ่านมานี้ชีวิตเราเริ่มมีความทุกข์น้อยลงเยอะ คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ถึงแม้จะไม่ได้แต่งงาน แต่ก็อยู่กันเหมือนคนแต่งงาน มีลูกสาวเป็นหมาหนึ่งตัวที่รักมาก ให้เดินทางไปเทศกาลหนัง ผมไม่อยากไปแล้ว คิดถึงหมา ชีวิตเรากลายเป็นนอน 4 ทุ่มครึ่ง ตื่น 6 โมงครึ่ง เพราะเจ้านี่มันปลุก มันต้องลุกไปฉี่แล้ว

เป็นแบบนี้มากี่ปีแล้ว

เท่าอายุเขา 3 ปีครึ่ง เรากลายเป็นพ่อบ้าน แล้วไอ้ชีวิตแบบนี้เราไม่เคยมี ชีวิตแบบคนธรรมดา เมื่อก่อนเราจะมีแต่ความครีเอทีฟ มีแต่ไอเดียตลอดเวลา ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องศิลปะ ต้องอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูวิดีโอ ไอ้ชีวิตแบบคนธรรมดาปกติแบบนี้มันไม่เคยมีกับเรา เมื่อก่อนภาพยนตร์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ทุกอย่างเป็นเรื่องรองหมด จะแฟน จะแม่ จะครอบครัว เป็นเรื่องรองหมด ช่วงเราถ่ายหนัง แม่จะให้พาไปหาหมอฟัน ยังพาไปไม่ได้เลย ต้องฝากให้พี่สาวพาไป อยู่ๆ ตอนนี้ คงเป็นหลายๆ อย่างมาเจอกันพอดี อายุด้วย หนังก็ทำมาเยอะแล้ว ชีวิตแบบคนปกติก็ไม่เคยมี พอ 3 อย่างมาประจวบกันในเวลาแถวๆ นี้ ไอ้ความสำคัญเรื่องหนังเลยน้อยลงไปเยอะ ความสำคัญของชีวิตประจำวันปกติแม่งกลับสำคัญกว่า คือ การไม่ทำอะไร เมื่อก่อนนี่ไม่ได้นะ เราตื่นมาจนเข้านอนในหนึ่งวัน มันต้องมีไอเดียเจ๋งๆ ไม่มีนอนไม่หลับ

ตอนนี้การมีไอเดียไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีก็ช่างแม่ง มีก็ดี ไม่มีก็แฮปปี้ดีด้วย ขับรถพาหมาไปเชียงใหม่ดีกว่า ยังคิดว่าจะย้ายถิ่นที่อยู่เพราะหมาเลย เรามีบ้านที่เชียงใหม่เพิ่งสร้างเสร็จได้ 2 ปี แถวอำเภอแม่ริม เดิมคิดว่าจะใช้เป็นบ้านตากอากาศ แล้วเราก็อยู่กรุงเทพฯ นี่แหละ เพราะงานการอยู่กรุงเทพฯ แต่ 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่บ้านเสร็จ ทุกครั้งที่ขึ้นไปกับเขา โห มันมีความสุข เราอยู่ในทุ่ง เราอยู่ในป่าไง แล้วมันไม่มีใครเลยตรงนั้น มีแต่วัดอยู่ไกลๆ มีแต่เรา ไปแล้วก็แฮปปี้ ยังคุยกับแฟนว่า ย้ายมาอยู่นี่เถอะ แต่ไม่ได้จะรีไทร์นะ การงานก็ทำเหมือนเดิม ถ้าต้องทำหนังโฆษณาก็บินมากรุงเทพฯ มาประชุม มาถ่ายหนัง แล้วเราก็เบื่อคนกรุงเทพฯ มาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจากการที่ว่า ไอ้ชีวิตด้านที่เป็นชีวิตปกติแบบไม่ได้เป็นคนทำหนังมันเริ่มสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และชีวิตการเป็นคนทำหนังมันสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ แต่อย่าให้ได้ทำหนังนะ ถ้าได้เปิดกล้องพรุ่งนี้ก็จะมีความสุขทันที แต่ไม่คลั่งแบบเมื่อก่อน

ทำไมถึงเลี้ยงหมา

ที่บ้านผมเลี้ยงหมามาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ตัวนี้เราเลี้ยงจริง มีเพื่อนบรีดสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์เอง ออกลูกมา 5 ตัว อยู่ๆ เขาก็เอามาให้เราที่บ้าน ตั้งชื่อมาให้แล้วด้วยชื่อ เปเป้ ตอนแรกก็เห็นมันเป็นหมา ไม่ค่อยสนใจ แต่พออยู่กันไปมันมีเมจิกจริงๆ จากที่เราไม่ใช่คนชอบเด็กหรือชอบสัตว์ โห แต่ตอนนี้ติดมาก ไปต่างประเทศทีคิดอย่างเดียวว่าเมื่อไรจะได้กลับ เปลี่ยนชีวิตเราไปเลยจนคนรอบตัวงง เพื่อนชวนออกไปเที่ยวกินเหล้า ไม่ไป ไปไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า

วิธีคิดและชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่องานไหม คนดู Samui Song จะสัมผัสได้เลยรึเปล่า

สัมผัสได้แน่ๆ แต่สมุยซองมันก็ไม่ได้เป็นหนังอ่อนโยนอะไร แล้วก็เป็นหนังดาร์กมาก เพียงแต่ว่ามัน เป็นหนังที่ไม่ได้มีความส่วนตัวเท่าไร เป็นหนังเอ็นเตอร์เทนและคอมเมอเชียล ไม่เหมือนเรื่อง พลอย, นางไม้,  เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล หรือ Invisible Waves  หนังพวกนี้มันส่วนตัว มันมีตัวเราอยู่ในนั้น มีความรู้สึกของเรา ของคนที่เรารู้จัก คนที่เราถวิลหาอยู่ในนั้น ไอ้นี่มันไม่ใช่ ไม่ได้มีคำถามส่วนตัวต่อโลกต่อชีวิตอยู่ในนั้น แล้วพอคุณภาพชีวิตมันดีขึ้น มันไม่มีปัญหา ก็ไม่รู้จะถามคำถามอะไรในหนัง

เป็นการตื่นเช้าออกไปทำหนังทุกวันด้วยอารมณ์ไหน

เหมือนไปทำงานออฟฟิศ ทำสนุกๆ เพราะเวลาทำหนังที่ส่วนตัวมากๆ ไส้มันบิดทุกวันเลยนะ มันใกล้ตัว มันก็จะผูกพันมาก เจ็บปวดมาก แต่พอเป็นสมุยซองมันทำสนุกๆ แต่ก็ไม่ได้ง่ายและใช้เวลานาน เพราะมันไม่ส่วนตัว พอหนังไม่มีความส่วนตัวมาก ทำให้เราต้องจั๊มป์เข้าไปในนั้นให้ได้ เวลาเราทำอะไรที่เป็นส่วนตัวมันแทบจะไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย ทุกอย่างไหลและเรียงร้อยออกมาตามทิศทางที่ตั้งใจได้ไม่ยาก แล้วไม่มีใครมาตั้งคำถามกับเราได้ โปรดิวเซอร์กี่สิบคนก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้เราทำอย่างอื่นได้

คุณยังดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ไหม

ดูครับ เราไม่ดูหนังในจอคอมหรือในทีวี ดูในโรงอย่างเดียว ดีวีดีที่บ้านกองพะเนินไม่เคยแกะดู แล้วตอนนี้การต้องดูหนังก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญในชีวิตอีกต่อไป ได้ดูก็ได้ดู โรงหนังแถวบ้านเอาโปรแกรมอะไรมาใส่ในโรงให้ดู ก็ดู หนังรถแข่ง หนังเตะต่อย ดูหมด หรือถ้าไปเทศกาลหนังก็จะได้ดูหนังแปลกๆ หน่อย ตักตวงดูวันละเรื่องสองเรื่อง

แปลว่าตอนนี้สิ่งที่ชอบทำที่สุดคือ อยู่บ้านกับหมา

(หัวเราะ) ใช่ๆ ไปต่างจังหวัดชอบมาก พาหมาไปด้วยตลอด ไม่ได้ทำหนังก็ไม่เป็นไร มีอย่างอื่นทำ หรือไม่มีอย่างอื่นทำก็ไม่เป็นไร

คุณชอบเตะฟุตบอลมาก ยังได้เตะบอลอยู่ไหม

ไม่ได้เตะมาสักพัก แต่เดี๋ยวพอทุกอย่างผ่านพ้น พอหนังเข้าโรงจะกลับไปเตะบอล นี่เป็นความสุขอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เราถึงเป็นคนที่ต้องรักษาสุขภาพมาก ต้องออกกำลังอยู่ วันนึงถ้าเตะบอลไม่ได้ ชีวิตจะหมดความสุขไปอีกอย่าง ซึ่งความสุขในชีวิตก็มีน้อยอย่างอยู่แล้ว พี่ทิวา สาระจูฑะ (บรรณาธิการนิตยสาร สีสัน) เป็นแรงบันดาลใจอย่างดี พี่แกแม่งแดกเหล้าชิบหาย อายุ 60 แล้ว แต่ยังเตะบอลได้อยู่ อิจฉาเขา กู 60 เมื่อไรจะต้องยังเตะบอลให้ได้

รู้สึกไงกับตัวเลขวัย 60 ปี

ไม่รู้ มันยังมาไม่ถึง อีก 5 ปีก็จะถึง แต่พอมันเลย 50 ไปแล้วคงไม่ต่างอะไรมาก จะ 60 หรือ 80 ก็ตาม เราไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองแก่ ตอนเด็กๆ เวลามีเพื่อนพ่อมาบ้าน พอบอกว่าอายุ 40 กว่า แม่งรู้สึกว่าแก่ชิบหาย คนอายุ 40 แต่เราไม่เห็นรู้สึกว่าเราแก่เลย เราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต่างจากตอนเรียนจบใหม่ๆ ยังแต่งตัวเหมือนเดิม ผมอาจจะบางไปหน่อย นิสัยก็ยังคล้ายๆ เดิม ความชอบ รสนิยมก็ค่อนข้างเหมือนเดิม เพลงยังฟังเพลงเดิมๆ ตอนนั้นอยู่เลย เลยไม่ค่อยรู้สึกต่างเท่าไร

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook