ไม่มีสมุยสำหรับเดวิดและวิทยา

ไม่มีสมุยสำหรับเดวิดและวิทยา

ไม่มีสมุยสำหรับเดวิดและวิทยา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เกาะสมุย ในภาพยนตร์เรื่อง Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ ผลงานลำดับล่าสุดของเป็นเอก รัตนเรือง ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ เปรียบเหมือนสวรรค์อันเปี่ยมสุขเพียงแห่งเดียวของวิยะดา (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) นักแสดงสาวที่ต้องเป็นทุกข์จากพฤติกรรมของสามีชาวต่างชาติ ที่หันไปคลั่งไคล้เจ้าลัทธิประหลาด (วิทยา ปานศรีงาม) จนนำมาซึ่งการวางแผนฆาตกรรม โดยวิยะดาจ้างวานให้กาย (เดวิด อัศวนนท์) ชายแปลกหน้ามาดร้ายเป็นผู้ลงมือฆ่า ทว่าเรื่องราวเกิดกลับตาลปัตร เพราะหญิงสาวตกเป็นเหยื่อเสียเอง เมื่อเธอไม่สามารถหาทางออกในโลกที่ชายเป็นใหญ่ได้ ก็ไม่มีสวรรค์สำหรับเธอ

แต่สำหรับเรื่องราวในโลกแห่งความจริง ดูเหมือนว่าจะไม่มีสวรรค์ในวงการบันเทิงไทย สำหรับทั้ง เดวิด อัศวนนท์ และวิทยา ปานศรีงาม สองนักแสดงฝีมือดีที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จนแทบจะไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว กับทั้งจำนวนและคุณภาพของผลงาน เดวิดแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง เคาท์ดาวน์ (2555) และวิทยาสร้างชื่อจากภาพยนตร์เรื่อง เพชฌฆาต (2557) ทั้งคู่ไม่เพียงได้รับเชิญไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติหลักๆ ของโลก ทั้งเวนิซ คานส์ เซียงไฮ้ มาเก๊า ฯลฯ แต่ยังมีรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นเครื่องการันตีความสามารถ น่าเสียดายที่คนไทยกลับจดจำชื่อ ฝีมือ หรือแม้กระทั่งหน้าตาของหนุ่มใหญ่ 2 รายนี้ได้น้อยเต็มที

อะไรทำให้บ้านเมืองเราให้ค่ากับดาราสาวสวมชุดราตรีหรูไปเดินพรมแดง มากกว่าคุณค่าในเนื้องานของการเป็นนักแสดง เราว่าเดวิดและวิทยา อยากบอกเล่าประเด็นนี้ออกมาดังๆ

แต่ละคนรับบทเป็นใครใน Samui Song     

วิทยา – ผมรับบทเป็นเจ้าลัทธิที่ต้องมอมเมาผู้อื่น จึงต้องมาค้นหาว่าเราสามารถทำให้คาแร็กเตอร์นี้เกิดเป็นรูปธรรมได้ไหม เหมือนเวลาเราดูข่าวแล้วเห็นคนถูกมอมเมา ล้างสมอง คนในสังคมก็รับรู้รับทราบอยู่แล้ว แต่พอเป็นคาแร็กเตอร์ตัวเองในหนัง เราจะทำยังไงให้คนดูเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไอ้เฒ่าคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร

เดวิด – ผมรับบทเป็น กาย สิบแปดมงกุฎที่ต้มตุ๋นหลอกคนไปวันๆ ซึ่งก็มีแรงขับเคลื่อนเหมือนมนุษย์ทั่วไปคือ ทำมาหากินเพื่อความอยู่รอด กับอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนก็คือ แม่ที่กำลังป่วยหนัก กายจึงต้องหาเงินมาเยียวยาแม่ด้วยวิธีทำมาหากินที่ตัวเองถนัด เขาอาจจะดูเลวกับการไปหลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่น แต่ถามว่าเขารักแม่ไหม ก็โคตรรัก ฉะนั้นกายก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เลวเลยเสียทีเดียว

วิทยา – เหมือนเราเป็นกระจกส่องกันและกัน ที่บอกว่าการหลอกลวงไม่ได้เลวเสียทีเดียว เพราะอย่างคาแร็กเตอร์ของผมก็ไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่ว่าต้องหลอกลวงคนเพื่อความอยู่รอด มีธุรกิจที่ต้องดำเนินไป

เดวิด – แต่ตัวท่านเจ้าลัทธิเลวกว่าไอ้กายนะพี่ มันมีโมติเวชั่นส่วนตัว

วิทยา - อยู่ที่การตีความของแต่ละคน เป็นเอกไม่ได้จะทำหนังแค่ให้คุณเดินตามเส้นทางที่ขีดเอาไว้ มันมีไซด์ไลน์อื่นๆ ออกไป

ก่อนมาร่วมงานกับเป็นเอก พวกคุณรู้จักผลงานของเขามากน้อยแค่ไหน

วิทยา – ผมหางานเก่าๆ ของพี่ต้อมมาดูบ้าง เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่เขาเคยทำมาก่อน และจะได้เข้าใจว่าทำไมพี่ต้อมถึงได้กำกับเราในลักษณะนี้ ซึ่งการกำกับของเขาก็แปลกคือ แทนที่พอแสดงเสร็จ เขาจะวิ่งไปดูมอนิเตอร์ กลับไม่ดูมอนิเตอร์ด้วยซ้ำ แต่ใส่หูฟัง แล้วฟังแต่คำพูดของนักแสดง เทคไหนที่คำพูดของเราเข้าหู พี่ต้อมถึงจะวิ่งไปเลือกคัตที่พอใจ นี่เป็นสไตล์ที่ผมยังไม่เคยเห็นผู้กำกับคนไหนทำมาก่อน เดวิดเคยเจอผู้กำกับคนไหนไม่วิ่งไปดูมอนิเตอร์ไหม

เดวิด - พี่ต้อมเป็นคนแรกในชีวิต และอาจจะเป็นคนสุดท้าย ไม่มีคนอื่นทำอย่างนี้แน่ เพราะสำหรับพี่ต้อม เขาบอกว่าน้ำเสียงมันเรียลกว่า อารมณ์ของคนเราจะจริงหรือไม่จริง อยู่ที่น้ำเสียง

วิทยา – ซึ่งก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์การทำงานอีกแบบ

เดวิด – ผมชอบการทำงานของพี่ต้อมมาก เขาชิลๆ ไม่กดดัน ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เขาเข้าใจนักแสดงและค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญคือ เป็นผู้กำกับที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และเราก็เล่นไปตามที่เขาต้องการ ซึ่งเขาก็มีสเปซให้เราเหมือนกัน เช่น ผมขอเล่นแนวผมสักช็อตนึงได้ไหม ผมว่าผมไปได้อีก เขาก็โอเค ไม่มีแบบว่ากูเป็นฮิตเลอร์ มึงต้องฟังกู ไม่มี

เส้นทางในการก้าวมาเป็นนักแสดงของคุณทั้งคู่ค่อนข้างแตกต่าง ในขณะที่เดวิดใฝ่ฝันและทุ่มเทเรียนการแสดง วิทยากลับจับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักแสดง แต่สุดท้ายพวกคุณก็มายืนตรงจุดเดียวกัน คือ เป็นนักแสดงฝีมือดีขวัญใจชาวต่างชาติ ที่คนไทยไม่รู้จัก อยากทราบว่า ตอนนี้พวกคุณรู้สึกยังไงกับวงการบันเทิง

เดวิด - เอาเป็นว่าทุกวันนี้ผมอกหักมากกับหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทัศนคติของคนในวงการ คนที่ทำงานแนวสุกเอาเผากิน ปัญหาการหักค่าหัวคิวนักแสดง การทำงานโดยไม่มีจรรยาบรรณ ค่าว่าจ้างที่ไม่เหมาะสมกับบทที่ได้ หรือการที่เราทำงานออกมาแล้วคิดว่าหนังจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่กลับตัดต่อจนออกมาเป็นอีกทางนึงไปเลย กูเล่นไปแทบตาย อะไรของมึงวะ เราโคตรรักศาสตร์การแสดง เราไปเรียนมา แล้วเราโคตร appreciate ทุ่มเท แต่พอมาทำงานแล้ว 90% ของคนที่เราทำงานด้วยไม่ได้คิดแบบนั้น ทุกคนเป็นเหมือนเครื่องจักรไปแล้ว

วิทยา – สำหรับผม การได้มาเป็นนักแสดงคือ accident แต่จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นความบังเอิญหรอก เหมือนกับมันถูกวางไว้ เป็นสกิลที่เรามี แต่ไม่เคยได้ใช้ ผมเองอยู่ในวงการประกวดนางงามมาสิบปี เป็นอาจารย์ฝึกฝนเรื่องบุคลิกภาพและการปรากฏตัวบนเวทีให้ผู้เข้าประกวดประจำกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ทำให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเรา แค่ยังไม่โอกาสเอามาใช้กับตัวเอง พอได้รับโอกาสให้มาแสดงหนัง ก็อยู่ที่ทัศนคติอีก บางคนอาจจะบอกว่าฉันไม่เคยทำมาก่อน ฉันคงทำไม่ได้หรอก ในขณะที่ผมมีทัศนคติในการมองโลกมาตลอด 50 ปีว่า ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ผมผ่านชีวิตที่ยากลำบาก และเรื่องท้าทายในชีวิตมามาก ทั้งปัญหาครอบครัวและงาน ซึ่งทั้งหมดเป็นการเรียนรู้ที่เราเอามาใช้ในหนังได้อยู่แล้ว ดังนั้น พอได้รับโอกาส ผมจึงต้องพยายามพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความที่เราเริ่มต้นช้า ทั้งยังไม่หนุ่ม ไม่หล่อ ไม่ได้มีสกิลด้านการแสดง ฉะนั้น เราจะต้อง survive ด้วยวิธีอื่น ด้วยสไตล์ในการแสดงของเรา ซึ่งผมเข้าใจมุมมองของเดวิดนะ เขาอยู่ในสนามรบที่ต้องสู้กับทุกอย่าง ส่วนผมอยู่ในสนามรบที่เรากำลังสนุกอยู่กับมัน เราต้องมีทัศนคติที่ว่า อะไรที่เราคอนโทรลได้ เราก็คอนโทรล แต่บางอย่างที่เราคอนโทรลไม่ได้ เราก็ move on ไปทำงานอื่นที่จะพิสูจน์ตัวเรา หรือที่เราสามารถได้สิ่งตอบแทน ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองหรอก แต่ด้วยวิธีการวางตัวและรูปแบบการทำงานของเรา เราก็จะ attract คนที่ต่างกัน เมื่อไรก็ตามที่เราเป็นบิสสิเนสจ๋า เราก็จะเจอแต่คนที่เป็นบิสสิเนสจ๋า เมื่อไรที่เราทำงานในลักษณะครีเอทีฟ เราก็จะได้ร่วมงานกับคนที่มีความครีเอทีฟ เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดกันและกัน

ผมเองก็เคยเจอเรื่องหนักๆ มาไม่แพ้เดวิด ตั้งแต่หนังเรื่องแรกที่ได้เป็นพระเอก แต่หน้าของผมในโปสเตอร์กลับเล็กเท่ากับหัวแม่เท้าของตัวประกอบ หรือแม้กระทั่งไม่มีชื่อผมขึ้นในโปสเตอร์ ทั้งๆ ที่หนังได้ไปถึงเมืองคานส์ ฝรั่งให้เกียรติผม แต่คนไทยดันทะลึ่งไม่ให้เกียรติคนไทยด้วยกัน ถามว่าผมรู้สึกเจ็บใจ โกรธแค้น ผิดหวังไหม มี แต่ไอ้ความรู้สึกตรงนั้นทำให้เราบอกตัวเองว่า เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู เรื่องนี้ไม่ใส่รูปผมในโปสเตอร์ใช่ไหม เดี๋ยวเรื่องหน้าผมจะต้องทำให้เขาเอาหน้าผมขึ้นจนเต็มโปสเตอร์ให้ได้ ผมเอาตรงนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ attitude ไม่ได้อยู่แค่การเป็นนักแสดง แต่อยู่ที่ทุกอย่างที่คุณทำ คุณไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใคร คนที่คุณจะต้องสร้างความรู้สึกประทับใจที่สุดต้องเป็นตัวคุณเอง ว่าพึงพอใจไหม

ตอนที่หนังเรื่อง เพชฌฆาต ได้รางวัลที่เซียงไฮ้ คนเพิ่งจะมาบอกว่า โอ้โห เก่งจัง แต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครสนใจแยแส เช่นเดียวกับน้องเมย์ (รัชนก อินทนนท์) ตกรอบตั้งกี่ครั้ง ไม่มีใครสนใจเลย พอได้เป็นนักแบดมินตันมือหนึ่งของโลก ทุกคนรักรัชนกกันหมด ทำไมเราไม่เทคแคร์คนเก่งตั้งแต่ตอนที่เขากำลังก้าวเดิน ให้กำลังใจ สนับสนุน ส่งเสริมเขา อย่ารอให้เขาประสบความสำเร็จแล้วคุณค่อยไปดีใจด้วย จงแสดงความยินดีกับความพยายามที่เขาตั้งใจจะสำเร็จดีกว่า เพื่อที่เราจะได้มีคนคุณภาพในวงการมากขึ้น สำหรับผมคงไม่เรียกร้องอะไรเยอะหรอก เพราะเดินทางมาครึ่งชีวิตแล้วถึงได้มาเจอการแสดง มีฝรั่งถามผมว่า When will you retire? ผมตอบว่า What! I've just started working. ผมขอเป็นผู้ชายไทยคนนึงที่บอกกับทุกคนได้ว่า อายุ 50 ไม่เคยสาย ผมยังมีความฝันที่ตั้งเป้าไว้อีกเยอะ ฝรั่งรักผมแล้ว ผมก็อยากให้คนไทยรักผมด้วย ผมไม่เคยชอบหรือตื่นเต้นเลยเวลาสื่อบอกว่าวิทยา ปานศรีงาม นักแสดงไทยขวัญใจชาวต่างชาติ มันไม่ได้น่าดีใจมากนักหรอก เวลาผมไปไหน ผมจะพูดเสมอว่า I’m a Thai actor. ความตั้งใจของผมคือ อยากให้เมื่อใดก็ตามที่ผมดับสลายจากโลกนี้ไปแล้ว ลูกชายผมสามารถบอกเพื่อนได้ว่า นี่คือหนังที่พ่อแสดง แค่นี้พอแล้ว

นอกเหนือจากความรู้สึกอกหักและน้อยใจ อะไรในโลกการแสดงที่จะทำให้คุณทั้งคู่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาได้อีกครั้ง

เดวิด – การได้รับบทที่เชือดเฉือน มีความลึก มีหลายมิติ บทที่เราต้องทำการบ้านกับมัน ความหนักแน่นของตัวละครทำให้ผมมีไฟขึ้นมาได้อีกครั้ง ส่วนใหญ่บทที่ผมได้รับทุกวันนี้ก็เป็นไปตามคาแร็กเตอร์ ในละครไทยตัวละครมันเยอะมาก การจะลงลึกให้เป็นมิติ เป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ลำบาก และคนดูก็ไม่ได้ดูเพื่อวิเคราะห์ เขาก็ดูเอาบันเทิง เราก็แสดงไป ในที่สุดแล้ว อย่าคาดหวังกับอาชีพนี้มาก มาทำงานให้ตรงเวลา ทำตัวให้น่ารัก เล่นให้ได้ รักษามาตรฐานของตัวเอง คนก็จ้างเราไปเรื่อยๆ จบ

วิทยา - แรงบันดาลใจของผมอยู่ที่เพื่อนร่วมงานที่ดี อย่าลืมว่าหนังเป็นสังคมชั่วคราว ไม่ว่าจะถ่ายทำ 5 วัน 5 อาทิตย์ หรือ 5 เดือนก็แล้วแต่ พอหนังปิดกล้อง ทุกคนต่างแยกย้ายจากกัน อย่างน้อยผลพลอยได้ก็คือ เราได้เพื่อนที่ดี ไม่ได้คิดอกุศลกับเรา มีแต่สิ่งดีๆ ให้กัน นึกถึงกันและกัน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีบุญเหลือเกินที่ถูกค้นพบ ผมยืนดื่มเบียร์อยู่ดีๆ ก็มีช่างภาพเดินมาถามว่า คุณอยากเล่นหนังสั้นไหม มันเป็นไปได้ยังไง ดังนั้น ของที่เราได้มาเป็นของฟรี เป็นล็อตเตอรี่ที่เราไปขึ้นรางวัลมาแล้ว ภรรยาของผมพูดเสมอว่า คุณถูกหวยแล้วนะ น้อยคนมากที่จะได้สิ่งนี้มาอย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากให้คิดว่าตัวเองฟลุก ซึ่งจากการเป็นนักแสดงมาได้ 5-6 ปีแล้ว พิสูจน์ว่าผมเองก็ไม่ได้ฟลุก ดังนั้น ผมจึงอยากให้คนอื่นโชคดีบ้าง ผมถูกล็อตเตอรีแล้วก็ถึงเวลาของคุณ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนังนักศึกษาหรือหนังเล็ก-ใหญ่แค่ไหน ถ้ามาชวนผมไปเล่น ผมเล่นโดยไม่ได้เคยคิดเรตค่าตัวแบบนักแสดงฝรั่ง เรามาทำงานร่วมกันแล้วช่วยให้คุณได้ก้าวไปในเส้นทางของคุณ แบบนี้ดีกว่า

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook