"ปลาทู รุ่งนภา" จากเด็กล้างจาน/ครูสอนเด็กช่างกล สู่พริตตี้ดีกรีเงินล้าน

"ปลาทู รุ่งนภา" จากเด็กล้างจาน/ครูสอนเด็กช่างกล สู่พริตตี้ดีกรีเงินล้าน

"ปลาทู รุ่งนภา" จากเด็กล้างจาน/ครูสอนเด็กช่างกล สู่พริตตี้ดีกรีเงินล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลูกเป็ดขี้เหร่ตัวดำสำเนียงทองแดงที่วัย 4-5 ขวบต้องนอนดมกลิ่นเมือกคาวในลังปลาตลาดสด เพราะช่วยแม่ขายของ วัยเรียนต้องหิ้วขนมปี๊บแพ็กห่อไปขายเพื่อนเพียงเพื่อจะมีค่าชุดค่าสมุดและดินสอ และหากอยากจะมีค่าเทอมก็ต้องรับจ้างล้างจานตามร้านอาหารหลังเลิกเรียน
 
แม้จะจนเจ็บต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่แทนที่จะตีอกชกตัวปล่อยชีวิตหน่วงๆ ไปวันๆ แต่เธอกลับใช้ความแร้นแค้นเป็นแรงผลักดันตัวเองไปสู่ฝัน ซึ่งแม้ไม่ง่ายแต่ก็ไม่เกินความพยายามและอดทน จนที่สุดก็จบครุวิศวะ สมใจ ได้ไปสอนเด็กช่างกลเฮ้วๆ อย่างที่คิด และพลิกชีวิตอีกทีสู่การเป็นพริตตี้เงินล้าน 

มังกรเกิดจากท่อน้ำทิ้งได้ฉันใด ลูกเป็ดขี้เหร่ก็สลัดขนเป็นหงส์ได้ฉันนั้น 

นี่คือเรื่องจริงของพริตตี้สาวสวยเซ็กซี่แถวหน้าของเมืองไทยอีกคน ที่แม้จะมีเงินมีชื่อเสียงแล้วก็ยังโพสต์เฟซบุ๊กช่วยแม่ขายปลาเค็มอย่างไม่อาย 

‘ปลาทู-รุ่งนภา นุ้ยเมือง’

เห็นว่าช่วงวัยเด็กลำบากมาก 
ตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เราเป็นคนอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร แต่ว่าคุณแม่เป็นคนจันทบุรี แล้วตอนนั้นแม่ลำบากมาก อารมณ์แบบหนีหนี้มาอยู่หลังสวน ชุมพร ไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว ไม่มีบ้านอยู่ แล้วก็มาเจอกับพ่อที่อยู่หลังสวน วันที่มีทูขึ้นมาตอนนั้นแม่ขายปลาแล้ว จำความได้ว่าตอนนั้นแม่ต้องตื่นตี 2 ตี 3 เพื่อไปขายของที่ตลาด ตอนนั้นเราอายุ 4-5 ขวบก็ไปนอนบนลังปลาในตลาด โตมาหน่อยเราช่วยแม่ส่งของไปตามรถกับข้าวต่างๆ

ตอนเรียนประถมก็เอาขนมปี๊บแพ็กถุงพลาสติกไปขาย ตอนแพ็กเราใช้ลนปากถุงกับเทียนเพื่อปิดห่อนะ เพราะใช้ยางผูกมันเปลือง แล้วไปเดินขายตามบ้าน พอ ป.4 ถึง ป.6 ก็ไปรับจ้างล้างจานตามร้านอาหาร  

หลังจากนั้นย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ฐานะเริ่มดีขึ้น ม. 1 มาเรียนที่โรงเรียนอัมพรไพศาล เราก็ทำขนม ทำกับข้าวไปขาย ตอนนั้นเรามีเงินเก็บเป็นหมื่นแล้วนะ แต่ยังไม่พอค่าเทอม  เลยต้องเป็นลูกจ้างล้างจานตามร้านอาหารอีกครั้ง แล้วตอน ม. 6 เทอม 1 เราสอบติดคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม เอกวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 

เราไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งนะ แต่ว่าเป็นคนร่าเริง เป็นเด็กกิจกรรม ใครอยากให้ไปทำอะไรก็ไปทำ แล้วเฮี้ยวด้วย แต่คิดว่าแม้เราจะไม่ได้เรียบร้อยที่สุด เรียนเก่งที่สุด แต่ทำยังไงก็ได้ให้เราสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐบาล 

จริงๆ สอบติดหลายที่นะ ทั้งครุศาสตร์ จุฬาฯ สัตวศาสตร์ สังคมศาสตร์ แต่ที่เราไม่ไปจุฬาฯ เพราะเมื่อเรียนครุแล้วต้องไปสอนเด็กมัธยม เด็กประถม แต่ถ้าเรียนที่พระจอมเกล้าธนบุรี เราเป็นได้ทั้งวิศวกรและครูสอนได้ด้วย  มันดูท้าทายกว่า ที่เลือกเรียนวิศวะเพราะว่าอยากใส่ชุดช็อป ชอบลุย  แล้วก็ได้เจอผู้ชายน่ารักๆ ด้วย (หัวเราะ) 

ตอนเรียนเห็นว่าลุยน่าดู โดยเฉพาะงานเชื่อม แถมยังขอไปสอนเด็กช่างกลอีก
เรียนเชื่อมทุกอย่างเลยค่ะ มีเชื่อมไฟ เชื่อมติ๊ก เชื่อมแก๊ส เชื่อมมิก-แม็ค แล้วก็ยังเรียนกลึงเหล็ก เรียนหล่อ แล้วก็มีเรียนเขียนแบบ 

ตอนปี 4 เราได้ไปฝึกสอนครึ่งเทอม สอนวิชาช่างเชื่อมที่วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม เราเลือกไปเอง เราว่ามันโหดดี (หัวเราะ) ใกล้มหาวิทยาลัยด้วย เด็กที่นั่นหลายคนอาจจะมองว่าโหด แต่เมื่อเราได้คลุกคลีจะเห็นว่าเด็กเขาไม่มีอะไรเลย เรารู้สึกว่าเด็กตั้งใจเรียน และเคารพเรา อาจจะมีเกเรบ้าง เพราะเด็กช่างต่างจากสายสามัญอยู่แล้ว เรื่องตีกันมันเป็นเรื่องข้างนอกแต่ถ้าในโรงเรียนเราก็สามารถคอนโทรลเขาได้ 

ช่วงนั้นเริ่มสวยขึ้น เริ่มขาวขึ้น นักเรียนก็มีแซวนะ แต่ด้วยความที่เราเรียนการสอนมา เรียนจิตวิทยามา เราเข้าใจว่าจะสอนเขายังไง ควบคุมเขายังไง ส่วนใหญ่เขาตั้งใจเรียนนะ เพราะเราจะไม่กดดันเขา พยายามคุยกับเขามากกว่าไปทำโทษ 

ส่วนปี 5 เราไปสอนวิชาช่างกลที่เทคโนโลยีหมู่บ้านครู จำนวนเด็กเยอะกว่าเดิม แต่ก็เคารพเรานะ มีแซวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นเด็กนักเรียนของเราจะไม่กล้าเท่าไหร่ เราต้องปรับตัวให้ได้ ไม่คิดเล็กคิดน้อย เพราะหน้าที่เราต้องสอนเด็กให้ตั้งใจเรียน แล้วให้เด็กพัฒนาการเรียน ส่วนนอกนั้นก็มีรับสอนพิเศษด้านวิทย์-คณิตสำหรับเด็กมัธยมด้วย 

เคยมีบางช่วงบางตอนในชีวิตที่ท้อหรือแย่มากๆ บ้างไหม เพราะเท่าที่ฟังมาต้องทำทุกอย่างสารพัดเพื่อที่จะส่งตัวเองให้เรียนให้จบให้ได้ 
ท้อก็เคยท้อค่ะ แต่ไม่เคยถอย เพราะเห็นแม่เรามาจากศูนย์ จากไม่มีอะไรเลย แต่แม่สามารถเลี้ยงเราได้ ส่งเราได้ จนวันนี้เราต้องกลับมาคิดว่าเราก็ต้องหาเงินส่งตัวเองให้ได้เหมือนกัน 

ช่วงแย่สุดน่าจะเป็นช่วงเด็กๆ ที่ไม่มีเงินเลย ไปล้างจานก็โดนคนดูถูก โดนคนต่อว่า เราก็มาคิดว่าบางทีหน้าตาหรือเงินคือใบเบิกทางอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิต เราต้องเข้าใจว่าสังคมสมัยนี้ หนึ่งคือต้องมีหน้าตา สองคือมีเงิน ถ้าเรามีสองสิ่งนี้เราสามารถทำอะไรได้หลายๆ  อย่าง มีโอกาสในการดำเนินชีวิตหลายๆ อย่าง ซึ่งเราพยายามที่จะหาเงินมาทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น สวยขึ้น แล้วเอาหน้าตาที่ดีขึ้นสวยขึ้นไปทำงานหาเงิน เพื่อที่จะมาส่งตัวเอง มาให้ครอบครัวและเป็นเงินเก็บในอนาคต 

เห็นว่ามุ่งมั่นมากที่จะเก็บเงินทำหน้าทำตัว แสดงว่ามีปมฝังอยู่ในใจ 
ใช่ค่ะ มีคนดูถูกเราเยอะ เด็กดำขี้เหร่ ดูสกปรก  ไม่มีใครอยากคุยด้วย แล้วยิ่งมาอยู่ในกรุงเทพฯความกดดันยิ่งสูงมาก เลยคิดว่าวันหนึ่งเราต้องสวยให้ได้ โดยไม่รู้หรอกว่าวันนั้นจะมีจริงหรือเปล่า 

มันเหมือนกับเราเดินขึ้นภูเขา ไม่รู้หรอกว่าบนยอดเขาถ้ามองลงมาข้างล่างจะสวยแค่ไหน เพราะเรากำลังอยู่ในทางที่จะขึ้น แต่พอวันหนึ่งเราขึ้นไปแล้ว เรามองลง โอ้โห! มันสวยมาก เรื่องนี้มันอยู่ที่ความพยายาม ทุกคนทำได้หมด 

บางครั้งโอกาสที่ไม่เคยคิดว่าจะได้วันนี้มันมาแล้ว วันนี้ใครให้ปลาทูไปทำอะไร เราจะรับทุกสิ่ง ได้เงินน้อยหรือเยอะทำหมด เพราะคิดว่าทุกอย่างมันคือโอกาส ทำให้เรารู้จักประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ทำให้เจอคนใหม่ๆ ซึ่งเราชอบเจอคน ชอบแลกเปลี่ยนความคิดกัน เพราะไม่ได้ตีกรอบว่าตัวเองต้องอยู่จุดนี้จุดเดียว 

นั่นเลยกลายเป็นคำตอบว่าทำไมจบวิศวะถึงมาเป็นพริตตี้
เราเรียนจบมาสายวิศวะ สายครุ ก็ไม่ได้ทำงานตรงจุดนั้น เพราะเห็นว่างานที่ทำอยู่มันสามารถพาเราไปได้มากกว่านี้ แต่การเรียนก็ไม่ทิ้ง เราเรียนให้จบแล้วมาทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมาตั้งแต่เด็กๆ คือการอยู่ในวงการนางแบบ วงการบันเทิง วงการสวยๆ งามๆ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้มันเหนื่อยนะ เราเคยผ่านจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิตมาแล้ว ซึ่งถ้าใครได้เจอ ขออย่าได้คิดว่ามันเป็นจุดที่แย่สุดของชีวิต ขอให้คิดว่ามันเป็นเรื่องดี เพราะมันจะเป็นแรงใจแรงฮึด ให้เราถีบตัวเองขึ้นมา 

มีหลักคิดยังไงในการก้าวข้ามความยากลำบาก 
ทุกอย่างที่ได้ทำแล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด อาจจะไม่ได้ดีกับใคร แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี ทำต่อไป และให้เชื่อว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น ถ้าคิดดี ทำดี วันหนึ่งมันก็จะผลักเราให้ไปอยู่ในที่ดีๆ เจอกับสิ่งดีๆ 

พูดตรงๆ เลยนะ ทุกวันนี้เราไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยเกลียดใคร ไม่เคยมีศัตรูที่ไหน ไม่เคยคิดอิจฉาคนที่รวยกว่าหรือสวยกว่า เพราะมันจะทำให้เราต่ำลง แต่ให้คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองสวย ตัวเองรวย แล้วไม่ไปแข่งกับใคร ให้แข่งกับตัวเองก็พอ เพราะถ้าเราคิดว่าต้องตามคนนั้นให้ได้ เราตามเขาไม่ทันเขาหรอก ต้องวิ่งแข่งกับตัวเอง ต้องผลักดันกับตัวเอง วันไหนที่ท้อก็ท้อได้ ร้องไห้ได้ ร้องให้สุดแล้วพอ ลุกขึ้นสู้  

เราเคยผ่านชีวิตเหมือนวัยรุ่นทุกคนนะ อกหักเสียใจ ไปแคสต์งานเขาไม่เอา เราเจอความไม่สมหวังเยอะมาก แต่กลับมาพักก่อน แล้วนับหนึ่งใหม่ ไม่ใช่จมแล้วจมเลย เพราะเคยนอนโง่ๆ บนเตียงเป็นเดือนเหมือนกัน ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่หลังจากนั้นก็ไม่มี อย่างอกหักเราร้องไห้วันเดียวแล้วจบเลย เพราะชีวิตเรามีค่ามากกว่านั้น มีคนข้างหลัง ต้องไปเจอใครอีกเยอะในชีวิต อย่าไปตีกรอบให้ตัวเอง เราเดินไปเรื่อยๆ แล้วไปหาสิ่งที่ดีๆ 

ใช้เวลานานไหมกว่าจะมาสวยได้ขนาดนี้ 
เราเริ่มเล็งเห็นว่าความสวยมันหากินได้ก็ตอนอยู่ ม.5 ม.6  ได้เห็นอาชีพพริตตี้ในอินเทอร์เน็ต เป็นพิธีกร เป็น MC อันดับแรกเราผิวคล้ำก็พยายามทำให้ผิวดีขึ้น เราจมูกไม่โด่งถ่ายรูปไม่ขึ้นก็ไปศัลยกรรม แต่เราไม่ได้เสพติดศัลยกรรมนะ ไม่ทำเยอะ ทำจมูก คาง หน้าอก 

เราคิดว่าหน้าอกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันเป็นสิ่งที่ดึงดูดคน เราใช้หน้าอกหาเงิน เราไม่ได้แคร์คนทั้งโลก เพราะถ้าแคร์คนทั้งโลกชีวิตเราไม่เจริญ เราแคร์แม่โอเคไหม พ่อโอเคไหม ถ้าเขาโอเคเราก็จบ คนที่รักเราเขาจะผลักดันเราไปในทางที่ดี แต่คนที่ไม่ชอบเราจะดักทุกทาง แต่เราไม่สน

ผลลัพธ์ที่ออกมาหลังจากทำแล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนสวยที่สุดนะ แต่เราเป็นคนหนึ่งที่มีความตั้งใจทำงาน เรามีความอดทน ได้เงินมากเงินน้อยไม่เกี่ยงงาน ก่อนที่จะมาเป็นพริตตี้ หรือ MC เราก็เป็น PC ในห้าง วันละ 400 ยืนทั้งวันเลย เมื่อก่อนนั่งรถเมล์ไปทำงานได้ แล้วทำไมวันนี้จะนั่งไม่ได้ เพื่อนบอกว่า เฮ้ย! ดังแล้วมีคนติดตามแล้วได้ไปถ่ายหนังสือ แต่เราไม่เคยคิดว่าเป็นคนดังเลยนะ ยังคิดว่าเป็นคนธรรมดา คนเรามีขึ้นได้ก็มีลงได้ เราอยู่ในระดับที่กลางๆ ลุยกับทุกคน ไม่ใช่เราสวยแล้วไม่คุยกับเพื่อน เราไม่ลืมอดีตตัวเอง ให้มันเตือนใจตลอด 

ก้าวมาสู่ความเป็นพริตตี้แถวหน้าแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังโพสต์ขายปลาเค็มช่วยแม่ในเฟซบุ๊กอยู่เลย  
บางคนเขาจะอายนะ แต่เราได้เงิน เราไม่อาย อย่าไปแคร์คนทั้งโลก ลองคิดดูว่าถ้าเราไปแคร์ไปแข่งกับคนอื่นตลอดมันจะไหวไหม รูปอาจจะสวยในเฟซบุ๊กแต่จิตใจเรามีความสุขไหม เราไม่เคยคิดว่าแข่งกับใคร ไม่อิจฉาว่าใครรวยกว่าสวยกว่า เราทำงานหาเงินให้พ่อแม่อยู่สบายขึ้น  

บางคนบอกว่าชะตาลิขิตให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วทางมันมี 2 ทาง ทางที่ดีกับทางที่ไม่ดี ทุกคนรู้อยู่แล้ว อยู่ที่คุณจะไปทางไหนมากกว่า เราทำงานตั้งแต่เด็กจะเจอสิ่งดีและไม่ดีตลอด ดีก็เก็บไว้ ไม่ดีก็อย่าเอามาเกลียดแค้น แต่ให้เป็นแรงผลักดัน 

เคยเจอคนดูถูก คนด่า คนว่าสารพัด แต่ไม่เคยเกลียดคนพวกนั้น อยากจะไปขอบคุณด้วยซ้ำที่คำพูดของคุณทำให้โตมาถึงทุกวันนี้ 

อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิตบ้าง  
ชีวิตมันมีทางเดินอีกเยอะ แค่เราเปิดโอกาสให้ตัวเอง คิดอยากทำอะไรทำเลย บางคนกลัวเกินไป ถ้าเราไม่ลงมือทำเราจะไม่รู้หรอกว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้เราก็หาอะไรทำใหม่ แล้วอย่าไปคิดว่าชีวิตมันไม่มีอะไรเลยชาตินี้ ชีวิตเราเหมือนเดินขึ้นภูเขา เราไม่รู้หรอกว่ายอดมันสูงแค่ไหน แต่ถ้าเราฮึดเราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ อย่าสิ้นหวัง เราต้องให้กำลังใจตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง

ติดตามชีวิตของปลาทูได้ทางเฟซบุ๊ก : Rungnapa Nuymuang 
 
เรื่อง : PAN
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์ / Rungnapa Nuymuang

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ "ปลาทู รุ่งนภา" จากเด็กล้างจาน/ครูสอนเด็กช่างกล สู่พริตตี้ดีกรีเงินล้าน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook