Side by side ท่าร่วมรักที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด
เคยมีคนถามว่าท่าร่วมรักท่าไหนที่ใช้พลังงานน้อยและเหนื่อยน้อยที่สุด ก็เลยต้องตอบไปว่าการจะใช้พลังงานมากหรือน้อยนั้นแม้ท่วงท่าจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญก็คือความตื่นเต้นเร้าใจที่เกิดขึ้นในขณะที่ประกอบกิจกรรมต่างหากที่จะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่าท่วงท่าแบบไหนจะใช้พลังงานมากหรือน้อย ถึงแม้ว่าในท่วงท่าดังกล่าวจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากนัก แต่ถ้าคนสองคนที่ประกอบกิจกรรมอยู่นั้นมีความเมามันในอารมณ์ ท่าที่น่าจะใช้พลังงานน้อยก็อาจจะกลายเป็นท่าที่ใช้พลังงานมากไปก็ได้
อย่างไรก็ตามท่วงท่าของการร่วมรักที่เรียกว่า Side by Side หรือการนอนตะแคงแสดงบทรักบทพิศวาสนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นท่วงท่าของการร่วมรักที่ใช้พลังงานน้อยที่สุดในการที่จะไปถึงจุดสุดยอดและมีความสุขสมร่วมกัน ท่านี้จึงเป็นท่ามาตรฐานที่คนที่เป็นโรคหัวใจนิยมมี เซ็กซ์กัน แต่สำหรับหนุ่มสาวที่อยากสุขสมแต่ไม่ค่อยอยากจะออกแรงมากนัก ท่าตะแคงร่วมรักก็เป็นท่วงท่าของการจูงกันขึ้นสวรรค์ที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด แต่ความสนุกสนานนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าท่วงท่าลีลาร่วมรักแบบอื่นเลย
การที่คนเรานอนตะแคงและสวมกอดเพื่อที่จะสอดสัมผัสในกันและกันนั้นที่จริงแล้วเป็นท่วงท่าที่เหมาะสม เพราะจะมีพื้นรองรับน้ำหนักตัวอยู่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องใช้แรงกล้ามเนื้ออื่นๆ เพื่อที่จะพยุงร่างกายไว้ จึงสามารถที่จะใช้กล้ามเนื้อสำคัญเพื่อการมีกิจกรรมพิศวาสได้อย่างเต็มที่ การนอนตะแคงที่มีการลงน้ำหนักตัวอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นธรรมดาหรือพื้นที่นอนสปริงที่จะให้ความรู้สึกที่ตื่นเต้นเร้าใจกว่าเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่ประสานสอดคล้องกัน เนื่องจากกลไกที่ยืดหยุ่นนั้นถ้าเรียนรู้ที่จะมีการสอดประสานและเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับจังหวะของสปริงแล้วก็จะให้รสสัมผัสที่แนบสนิท รวมทั้งให้ความเสียดสีที่ยากจะลืมเลือนได้ทีเดียว
การมีพื้นช่วยรองน้ำหนักตัวเอาไว้ทำให้ไม่ต้องใช้กล้ามเนื้อในการพยุงตัวมากมาย จึงเหมาะมากสำหรับคนขี้เกียจและคนที่ต้องการใช้พลังงานน้อยๆ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางร่างกายหรือมีโรคภัยไข้เจ็บที่ห้ามใช้กำลังมาก แต่ก็ยังคงอยากที่จะสุขสมจากการร่วมรัก ในท่วงท่าของการร่วมรักแบบนอนตะแคงด้วยกันทั้งสองคนแบบนี้ อาจจะนอนตะแคงเข้าหากันหรือนอนตะแคงโดยหันหน้าไปในทางเดียวกันก็ย่อมจะได้ ท่าแบบหลังนี้เรียกว่า Spoon and Fork หรือท่าช้อนส้อม ซึ่งเหมาะสมอย่างมากที่จะมีเซ็กซ์กันในขณะที่ผู้หญิงตั้งครรภ์อยู่ เพราะในท่วงท่าช้อนส้อมที่ทั้งสองฝ่ายนอนตะแคงไปในทางเดียวกันโดยที่ผู้หญิงนอนตะแคงอยู่ด้านหน้า และฝ่ายชายนอนตะแคงสวมกอดเพื่อที่จะสอดอวัยวะของเขาเข้าสัมผัสทางด้านหลัง ในท่วงท่านี้อวัยวะของฝ่ายชายจะสอดเข้าไปภายในของฝ่ายหญิงไม่ลึกนัก ซึ่งจะเหมาะสมมากในกรณีที่ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์เพราะจะไม่กระทบกระเทือนต่อปากมดลูก ทำให้ลดโอกาสการแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดไปได้อย่างมาก แถมในท่วงท่านี้ผู้ชายจะสามารถที่จะใช้มือทั้งสองข้างของเขาทำการกระตุ้นเต้านมของฝ่ายหญิงได้เป็นอย่างดีซึ่งนั่นย่อมช่วยเพิ่มความรู้สึกและอารมณ์พิศวาสให้แก่ฝ่ายหญิงได้แบบสุดๆ จนสุขสมไปด้วยกัน
เนื่องจากท่วงท่าร่วมรักแบบช้อนส้อมนี้ อวัยวะเพศของฝ่ายชายจะสอดเข้าไปภายในของฝ่ายหญิงไม่ลึกนัก จึงเป็นท่วงท่าที่เมื่อร่วมรักแล้วจะมีโอกาสที่จะได้ลูกสาวสูงกว่า เนื่องจากเมื่อเกิดการหลั่งน้ำอสุจิออกมา น้ำอสุจิจะหลั่งในช่วงกลางของช่องคลอด ทำให้ตัวอสุจิต้องว่ายฝ่าความเป็นกรดของช่องคลอดเพื่อที่จะไปถึงปากมดลูก ตัวอสุจิที่ทนความเป็นกรดได้ดีคือตัวอสุจิที่ทำให้เกิดลูกสาว ท่วงท่านี้จึงเป็นท่วงท่าที่แพทย์มักจะแนะนำให้คู่สมรสที่ต้องการลูกสาว และเทคนิคที่สำคัญที่จะทำให้ได้ลูกสาวก็คือหลังจากฝ่ายหญิงประจำเดือนหยุดจะต้องร่วมรักกันทุกวัน และหยุดร่วมรัก 2 วันก่อนวันไข่ตก เพราะตัวอสุจิที่อดทนรออยู่นั้นเป็นตัวอสุจิที่ทำไห้ได้ลูกสาว บางตำราบอกว่าต้องทำให้ผู้ชายถึงจุดสุดยอดเร็วๆ และห้ามผู้หญิงถึงจุดสุดยอดก่อนเพื่อที่จะทำให้ผู้หญิงไม่หลั่งน้ำเมือกที่เป็นด่างออกมา พูดง่ายๆ ก็คือถ้าอยากได้ลูกสาวต้องรีบๆ ทำไม่ให้ผู้หญิงมีอารมณ์มากนัก แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์นะคุณ
แต่สำหรับผู้ที่อยากมีเซ็กซ์ท่าตะแคงนั้นและไม่ได้สนใจเรื่องของการมีบุตรแล้ว ท่านอนตะแคงสอดทางด้านหลังนี้ทำให้สามารถที่จะกอดกันได้แนบสนิทไปทุกสัดส่วน ซึ่งทำให้ฝ่ายหญิงมีความสุขมาก และก็สามารถที่จะถึงจุดสุดยอดได้อย่างไม่ยากนัก แม้ว่าอวัยวะของฝ่ายชายจะสอดได้ไม่ลึกมากก็ตาม
ส่วนการนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันในการมีเซ็กซ์นั้น ที่จริงก็เป็นท่วงท่ามาตรฐานที่หนุ่มสาวนิยมที่จะมีเซ็กซ์กัน เพราะในท่วงท่านี้การสอดสัมผัสจะค่อนข้างนุ่มนวล และในการเคลื่อนไหวนั้นก็จะเกิดการเสียดสีกับปุ่มคลิตอริสของผู้หญิงได้ค่อนข้างดีแม้ว่าอวัยวะเพศของฝ่ายชายจะไม่ใหญ่มากนัก นอกจากนี้ในท่วงท่านี้เนื่องจากผู้หญิงนอนตะแคงการเปิดขยายของจุดซ่อนเร้นจึงน้อยทำให้อวัยวะของทั้งสองได้แนบสนิทกันมากขึ้น นั่นทำให้รสสัมผัสที่เกิดจาการเสียดสีในขณะที่ทำการร่วมรักเป็นไปได้อย่างดี เหมาะมากสำหรับคู่ที่ฝ่ายหญิงอาจจะมีช่องคลอดที่หลวมไปเล็กน้อย หรือฝ่ายชายมีขนาดย่อมไปหน่อย รวมทั้งในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นคนที่หลั่งน้ำหล่อลื่นออกมามากไป จนบางครั้งอวัยวะของฝ่ายชายหลุดได้ง่าย การร่วมรักในท่วงท่าตะแคงข้างเข้าหากันนั้น ย่อมจะทำให้โอกาสที่อวัยวะของฝ่ายชายหลุดในระหว่างการปฏิบัติการนั้นลดลง จึงไม่เสียอารมณ์ในระหว่างที่มีกิจกรรม ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือสามารถที่จะมองเห็นหน้ากัน มองเห็นอารมณ์ความรู้สึกและความตื่นเต้นของกันและกัน ทำให้การร่วมรักนั้นน่าตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเป็นอย่างมาก
จุดเด่นของการร่วมรักในท่วงท่านอนตะแคงเข้าหากันนั้นก็คือ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปเป็นท่วงท่าอื่นๆ เช่นท่ามาตรฐานหรือท่ามิชชันนารีได้ง่าย รวมทั้งสามารถที่จะหยุดพักการเคลื่อนไหวแต่อวัยวะส่วนนั้นยังคงสอดสัมผัสกันอย่างลึกซึ้งในของกันและกัน ซึ่งทำให้มีการส่งถ่ายความรักความพิศวาสผ่านจุดสำคัญของร่างกายอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ถึงแม้เริ่มต้นจากท่ามิชชันนารี แต่เมื่อเหนื่อยก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นท่านอนตะแคงเข้าหากันได้ จึงเป็นท่วงท่าที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับแรกๆ ของการมีกิจกรรมทางเพศทีเดียว
และถ้าเรียนรู้ที่จะมีกิจกรรมที่เรียกว่า”พรีลูด” หรือการเล้าโลมก่อนที่จะร่วมรักเต็มรูปแบบด้วยการใช้ปากทำรักให้แก่กันไปในขณะเดียวกันที่หลายต่อหลายคนเรียกว่าท่า ”69” โดยการนอนตะแคงเข้าหากัน แต่กลับศีรษะกับเท้าไปคนละข้างก่อนที่จะปฏิบัติการจริง การทำรักด้วยปากให้แก่กันในท่วงท่าที่นอนตะแคงเข้าหากันนั้น โอกาสที่จะเกิดการสำลักน้อยมาก และการกระตุ้นให้กันไปพร้อมๆ กันด้วยปากนั้นทำให้ได้อารมณ์เป็นอย่างมากจากการได้กลิ่นที่เร้าใจจากจุดยุทธศาสตร์ ร่วมกับการได้รับรสของน้ำหล่อลื่น รวมทั้งสัมผัสและการตอบสนองที่มองเห็นด้วยตานั้นมันช่างทำให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจอย่างยากที่จะลืมเลือนโดยทีเดียว ผู้หญิงหลายต่อหลายคนสามารถที่จะถึงจุดสุดยอดได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจากการทำรักด้วยปากจากคู่นอนที่เรียนรู้เทคนิคของการทำออรัลเซ็กซ์ โดยเฉพาะการกระตุ้นบริเวณคลิตอริสและด้านในของกลีบเนื้อที่ปิดปากคูหาสวรรค์นั่นเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการความสงบ และไม่อยากที่จะรบกวนใครให้ได้ยินเสียงที่เกิดจากการมีกิจกรรมของเขาและเธอทั้งสองคน ท่าการร่วมรักที่นอนตะแคงข้างเข้าหากันนี้ ก็เป็นท่วงท่าที่เก็บเสียงของการเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดท่วงท่าหนึ่ง เพราะสามารถที่จะเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างนุ่มนวล สงบเสงี่ยม และไม่ทำให้เกิดการกระเทือนต่อพื้นด้านล่างมากนัก รวมทั้งเรียนรู้ที่จะไม่ออกเสียงร่วมกัน ไม่ว่าจะจูบกันอย่างดูดดื่มในระหว่างการเคลื่อนไหวตามจังหวะของอารมณ์ หรือการมองตากันส่งถ่ายความรักให้แก่กันไป ก็สามารถที่จะเป็นการร่วมรักที่ไม่มีเสียง มีแต่เฉพาะ Sound of silence ที่เป็นเสียงแห่งความพิศวาสที่เกิดขึ้นและรับรู้กันเพียงสองคน ท่านี้จึงเป็นท่าที่ใช้กันมากในอดีตที่คนเราอยู่ร่วมกันในห้องใหญ่ๆ และมุ้งใครมุ้งมัน
…ลองดูกันได้ได้นะคุณ