พลังเซเลบ คานเย่-ฟาร์เรล หนุนอาดิดาสเติบโตต่อเนื่องในตลาดรองเท้าสหรัฐอเมริกา
ปลายปีที่แล้ววงการรองเท้าในสหรัฐอเมริกา เกิดความตื่นตัวเนื่องจากอาดิดาส (Adidas) ผู้ผลิตรองเท้าจากเยอรมนี กลายเป็น "เบอร์สอง" ของวงการรองเท้าที่ใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา แทนที่จอร์แดน (Jordan) แบรนด์ย่อยที่อยู่ในเครือของไนกี้ (Nike) กระทั่งการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของอาดิดาสในอเมริกา ก็เป็นอีกครั้งที่อาดิดาสยังคงเป็นหมายเลขสองต่อไป ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือเรื่องใหญ่ เพราะแต่ไหนแต่ไร วงการรองเท้าในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาเหนือ มักเป็นไนกี้ที่ครองความเป็นใหญ่มาโดยตลอด
นักวิเคราะห์ของสำนัก NDP วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า การที่อาดิดาสสามารถเข้ามาช่วงชิงความเป็นใหญ่จากแบรนด์จอร์แดนได้นั้น เป็นเพราะเทรนด์การแต่งตัวของผู้คนในยุคปัจจุบันเริ่มหันมาแต่งกายด้วยลักษณะที่เป็นมินิมอลมากขึ้น มีลุคการแต่งกายที่ดูสบายๆ ไม่เป็นทางการนัก และเริ่มละทิ้งการแต่งกายที่เทอะทะออกไป
ขณะเดียวกันการที่อาดิดาสได้พาร์ทเนอร์ระดับที่เป็น "แม่เหล็ก" ทั้งคานเย่ เวสต์ และ ฟาร์เรล วิลเลียมส์ มาช่วยพัฒนารองเท้าสนีกเกอร์ทั้งในชื่อแบรนด์ Yeezy ของคานเย่ และ Stan Smith ที่ออกแบบโดยฟาร์เรล สามารถกุมหัวจิตหัวใจของเหล่าสนีกเกอร์เฮดได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้การเติบโตของอาดิดาสในไตรมาสแรกของปี 2018 พบว่า อาดิดาสมียอดการเติบโต 21% ส่วนไนกี้ติดลบ 6% แต่ถึงแม้ว่า อาดิดาสจะมีการเติบโตที่สูงขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา แต่ถ้ามองในเรื่องส่วนแบ่งตลาด อาดิดาสยังมีมูลค่าที่เล็กน้อยมากๆ เนื่องจากอาดิดาสมียอดขายในปี 2017 แค่ 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เทียบกันแล้ว ไนกี้ยังมียอดขายสูงปรี๊ดมากถึง 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นแล้วการที่อาดิดาสจะเขย่าอาณาจักรที่แข็งแกร่ง เหนียวแน่นของไนกี้ได้นั้น ต้องใช้เวลาอีกนาน
แคสเปอร์ รอร์สเตด (Kasper Rorsted) ซีอีโอของอาดิดาส ยังมองว่า ในภาพรวมของอาดิดาสกำลังเดินทางไปยังทิศทางที่ถูกต้อง การเติบโตเป็นไปอย่างถูกที่ถูกทาง ตามที่อาดิดาสประเมินไว้ทุกประการ โดยหลังจากนี้อาดิดาสจะเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศจีน การค้าขายในโลกอีคอมเมิร์ซ และยังคงให้น้ำหนักในตลาดสำคัญอย่างทวีปอเมริกาเหนือที่มีสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นหมุดหมายสำคัญ
นอกเหนือจากนี้ยอดขายทั่วโลก (Global sales) ก็ดูจะเป็นสิ่งที่แคสเปอร์ รอร์สเตด ดูจะดีใจไม่แพ้กัน เนื่องจากอาดิดาสมียอดขายเติบโตขึ้น 10% พร้อมกันนี้รายได้สุทธิยังโตกว่าเดิมถึง 17% เทียบกับปีก่อน โดยสรุปแล้วการเติบโตของอาดิดาสมาจากผลพวงหลายด้าน ทั้งเรื่องของการวางแผนการตลาดที่ดี การใช้เซเลบริตี้หรือคนดังช่วยสร้างกระแส อีกทั้งยังเป็นการเลือกเซเลบที่ถูกคน ไปจนถึงเทรนด์การแต่งตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อนหน้านี้ นั่นจึงทำให้ปี 2017 ต่อด้วยปี 2018 เลยยังเป็นปีที่ดีของอาดิดาส