คุยกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในวันที่นักผจญภัยกลายเป็นนักการเมือง

คุยกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในวันที่นักผจญภัยกลายเป็นนักการเมือง

คุยกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในวันที่นักผจญภัยกลายเป็นนักการเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จนถึงเวลานี้ ปี 2561 ดำเนินมาถึงครึ่งทางอย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในเวลานี้ ย่อมหนีไม่พ้น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ก่อนหน้านี้ ชื่อของธนาธร เป็นชื่อที่อาจเคยได้ยินคุ้นหูบ้างจากการเป็นผู้บริหารระดับสูงของไทยซัมมิท บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ขยายกิจการไปยังต่างประเทศ หรือที่ชัดเจนกว่านั้น คือการที่ธนาธรเป็นหนึ่งในนักผจญภัยที่ออกเดินทาง ท้าทายขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่การที่ธนาธร ตัดสินใจยุติทุกสิ่งอย่าง ทั้งการเป็นผู้บริหารระดับสูงกับไทยซัมมิท การละทิ้งโอกาสที่จะไปผจญภัยยังเขตแดนอื่นๆ บนโลกใบนี้ เพื่อเข้ามาสู่การเป็นตัวแทนให้ประชาชนชาวไทยได้ตัดสินใจว่าจะเลือกชายที่ชื่อว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้ก้าวขึ้นมาขับเคลื่อนรัฐนาวานามว่า ประเทศไทย หรือไม่

แม้นในห้วงเวลานี้ การเลือกตั้งยังมิได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยผู้มีอำนาจรัฐเวลานี้ ยังไม่ได้เปิดช่องให้การเลือกตั้งมากนัก แต่ก็พอที่จะนำเสนอนโยบายทางการเมืองได้บ้าง นั่นจึงทำให้เราพอที่จะได้ยินวาทะต่างๆ ของธนาธร ซึ่งทุกข้อความที่เขาพูดออกมานั้น ล้วนแต่เป็นคำพูดที่น่าสนใจ ทั้งยังเป็นประโยคที่ทุกคนต้องเงี่ยหูฟัง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับธนาธร หรือยืนอยู่ตรงกันข้ามก็ตาม

Sanook! Men มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่น่าจับตามองมากที่สุดในสังคมไทย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักผจญภัย การบริหารงานบริษัทที่ใหญ่ยักษ์อย่างไทยซัมมิท และ Legacy ใดที่ธนาธร ในฐานะผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะฝากไว้ให้กับสังคมไทย

นักผจญภัยผู้ท้าทายขีดจำกัด

21557581_1422152587833312_472Tor des Geantsธนาธร กับงานวิ่งเทรล Tor des Geants

ธนาธรออกตัวก่อนว่า ชีวิตของเขานั้น มิได้เริ่มต้นจากการเป็นนักผจญภัยมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ทุกอย่างมันเริ่มมาจากการใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงในช่วงอายุประมาณ 29 ปี ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

“จุดเริ่มต้นของการเป็นนักผจญภัยมันเป็นเรื่องตลก ช่วงก่อนหน้านั้นผมใช้ชีวิตไปกับการกินเหล้า สูบบุหรี่ นอนน้อย ทำงานหนัก จนร่างกาย ‘พัง’ หมอนรองกระดูกมีปัญหา ขับถ่ายออกมาเป็นเลือด ขี้มูกในจมูกมีเลือดติดออกมาทุกเช้า เรียกว่าร่างกายของผมมีแต่ปัญหาเต็มไปหมดไปเลย” ธนาธรกล่าวต่อไป แต่ด้วยคำเตือนของแพทย์ที่บอกว่า คุณไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างนี้ได้อีกแล้ว ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของธนาธรค่อยๆ เปลี่ยนไป ลดชีวิตที่เสเพลลง แล้วเริ่มต้นการออกกำลังกาย ตั้งแต่ว่ายน้ำ โยคะ ปั่นจักรยาน และเริ่มเข้ายิมเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวต่อไปว่า เมื่อออกกำลังกายไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้ว เขาก็อยากรู้ว่า จุดสิ้นสุดของร่างกายอยู่ที่จุดใด จึงเริ่มยกระดับความท้าทายของร่างกายเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยสามารถพิชิตการแข่งขัน Iron Man มาได้ สามารถเอาชนะการแข่งขันวิ่ง 100 กิโลเมตร, 500 กิโลเมตร แม้แต่การวิ่งในทะเลทราย หรือพื้นที่ที่หนาวเหน็บ รวมถึงการปีนเขาก็ผ่านมาหมดแล้ว

“กิจกรรมปีนเขาเป็นกิจกรรมที่ผมชอบมาก มันทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง เราได้เดินทางไปยังจินตนาการในความคิดของเราเอง เราได้อยู่ท่ามกลางภูเขา และธรรมชาติ มันเป็นความสันโดษแบบที่เราต้องการ”

“ดังนั้นแล้วที่มาของการเป็นนักผจญภัยของผมเริ่มต้นมาจากความเจ็บป่วย” ธนาธรสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ นั่นคือ สถานที่ใดคือสถานที่ผจญภัยสุดโปรด

“ผมไม่สามารถบอกได้จริงๆ เพราะในแต่ละที่ที่ผมผจญภัย มันมีความสวยงาม มันมีเอกลักษณ์ และมีความเป็นตัวของตัวเอง มันไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”

แต่แน่นอนว่า การผจญภัยที่คนภายนอกมองเห็น ล้วนแต่เต็มไปด้วยความสวยงาม แต่เบื้องหลังอีกด้านที่ใครหลายคนอาจมองไม่เห็น ก็คือความน่ากลัวระหว่างการผจญภัย เพราะแม้แต่ธนาธร ผู้ที่ผจญภัยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำยังยอมรับว่า บางห้วงบางจังหวะของการผจญภัย มันมีความน่ากลัวที่ยากหยั่งถึง

“หนึ่งในการผจญภัยที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตผม เท่าที่นึกออกเวลานี้ คือ การพายเรือคายัค เส้นพัทยาตัดเข้าหัวหิน ผมเคยได้ลองพายเรือเส้นนี้มาแล้วถึงสองรอบ ผลลัพธ์คือล้มเหลวทั้งสองครั้ง หากมีโอกาสผมจะลองอีกเป็นครั้งที่สาม ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าทำไม่สำเร็จก็ยกเลิกไม่ผจญภัยต่อแล้ว ซึ่งครั้งแรกมันเป็นครั้งที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจาก เป็นการผจญภัยด้วยความไม่รู้ ลองจินตนาการดูว่า ระหว่างที่คุณกำลังพายเรือ แต่รอบตัวคุณมีแต่คลื่นที่สูงถึงสามเมตร มองไปข้างหน้าสุดขอบฟ้าก็มีแต่ทะเล ผมรู้เลยว่า จังหวะนั้นผมต้องยอมแพ้ เราเตรียมร่างกายและจิตใจมาไม่มากพอ”

ธนาธร กล่าวเสริมว่า อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้การผจญภัยในทะเลเป็นที่สุดของความน่ากลัว นั่นเป็นเพราะว่า บนท้องถนนทะเล มันไม่สามารถช่วยตัวเองได้ คลื่นมันจะพาไปไหน ร่างกายก็ต้องไหลไปตามจังหวะของคลื่น ไม่มีทางที่ใครจะสู้กับท้องทะเลได้ มันยิ่งใหญ่เกินไป

“เราเป็นเพียงแค่ผงธุลีของธรรมชาติ”

ทางด้านการผจญภัยบนภูเขา ในความเห็นของธนาธร อธิบายว่า ภูเขาเป็นการผจญภัยที่นักผจญภัยสามารถพอช่วยเหลือตัวเองได้ แม้มันจะเกิดอะไรหนักหนาสาหัส นักผจญภัยก็ยังสามารถวิ่ง หรือเดินลงเขาได้

“ความเป็นความตายบนภูเขา เราควบคุมได้ แต่บนทะเลเป็นตายอยู่นอกเหนือความควบคุมของคุณโดยสิ้นเชิง ขอย้ำครับว่าโดยสิ้นเชิง”

แน่นอนว่า การที่ธนาธรเป็นนักผจญภัยที่มีครอบครัว เขายอมรับว่า ด้วยเงื่อนไขของการเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำให้เกิดเส้นแบ่งในการที่จะข้ามเส้นไปสู่การผจญภัยที่อันตราย เพราะสุดท้ายแล้ว ยังต้องตระหนักถึงครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง

“กลับบ้านอย่างปลอดภัย เป็นภารกิจหลักของการผจญภัย ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง นั่นคือข้อจำกัดของผมที่ต้องยอมรับมัน”

ทั้งนี้ในมุมของธนาธร ยืนยันว่า การผจญภัยภายใต้ความเสี่ยงของธรรมชาติ มีความคล้ายคลึงกับการบริหารความเสี่ยงของการทำงานบริษัท

“มันเหมือนกัน การจัดการผจญภัยแต่ละครั้งมันเป็นเรื่องยาก ไหนจะมีเรื่องการจัดการทรัพยากร การจัดการเวลา การปิดความเสี่ยงทุกอย่างให้หมด ทุกอย่างมันคือการบริหารที่เหมือนกับการบริหารบริษัท เราต้องคิดว่า ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น เราจะจำกัดความเสี่ยงอย่างไร แล้วความเสี่ยงระดับใดที่เรารับได้ ระดับไหนที่เรารับไม่ได้”

สุดท้ายคนที่อยากจะเริ่มต้นเป็นนักผจญภัย ธนาธร แนะนำว่า ควรจะต้องเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้เยอะมากๆ อย่างไรก็ตาม หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เชื่อว่า การเป็นนักผจญภัยไม่ต้องเริ่มจากอะไรที่ยากๆ เพียงแต่เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการแพ็กกระเป๋าสักใบ

“ถึงที่สุดแล้ว หากสภาพร่างกายยังไม่พร้อม แต่อยากเริ่มต้นจากการผจญภัยเล็กๆ ผมแนะนำว่า ให้คุณแพ็กกระเป๋าสักหนึ่งใบ มุ่งหน้าไปหัวลำโพง จับรถไฟขบวนใดก็ได้ที่ผ่านหน้าคุณ จะรถไฟชั้นสามก็ได้ ขึ้นไปเลย โดยไม่ต้องสนใจเรื่องจุดหมายปลายทาง ลองไปเจอคนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ไปแบบไม่ต้องวางแผน นั่นก็เป็นการผจญภัยแล้ว” ธนาธรกล่าวเสริมว่า “นิยามของการผจญภัย คือ การเดินทางที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นแล้วลองทำอะไรก็ได้โดยไม่มีแผน ลองทำดู ค่อยๆ ปรับแล้วเรียนรู้ไปกับมัน”

ส่วนการผจญภัยของธนาธร เขาบอกว่า ชีวิตการเป็นนักผจญภัยของเขาอาจสิ้นสุดลงไปแล้ว เพราะงานการเมืองที่กำลังจะทำหลังจากนี้ มันเป็นงานที่ไม่ได้มีแค่ฝันของเขาคนเดียว แต่เป็นงานที่แบกความฝันของคนอีกจำนวนมากเอาไว้

ชีวิตการทำงานเริ่มต้นที่ ความไม่รู้

thanathorn_2ความไม่รู้ คือแรงผลักดันของธนาธร

อย่างที่ทราบกันดีก่อนหน้าที่ ธนาธรจะตัดสินใจทำงานการเมือง เขาเป็นผู้บริหารไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ เมื่อลองให้ธนาธรย้อนกลับไปถึงวันแรกๆ ในการเริ่มต้นการทำงานที่ไทยซัมมิท ประโยคแรกของธนาธร คือ ผมไม่รู้อะไรเลย ก่อนที่จะขยายความเพิ่มต่อไปว่า การได้เริ่มทำงานกับไทยซัมมิทตั้งแต่อายุยังน้อย สิ่งที่ได้เรียนรู้มากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ การจัดการในเรื่องของอำนาจ

“คุณลองคิดดูว่า การที่ผมได้ทำงานในองค์กรที่ใหญ่อย่างไทยซัมมิท ตั้งแต่อายุยังน้อย และทุกคนก็เคยได้ยินว่า อำนาจทำให้คนพัง พอผมมีอำนาจ ผมก็พยายามเรียนรู้ พยายามเข้าใจในเรื่องของอำนาจ พอเราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า อำนาจมากขึ้น ตรงนี้มันจะทำให้เราสุขุมนุ่มลึก ไม่ก่อให้เกิดอัตตา ไม่มีความยึดติดกับอำนาจ”

“จากการที่ผมได้รับอำนาจมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมรู้จักการควบคุมอำนาจ ลดอัตตาตัวเองไม่ให้กัดกินเรา”

ส่วนในเรื่องของการบริหารในสไตล์ของธนาธร เขาใช้เวลาคิดชั่วอึดใจ ก่อนที่จะตอบว่า จงเชื่อใจคนอื่น และครองตนให้เป็นที่เชื่อใจของคนอื่น

“เรื่องนี้ผมเรียนรู้จากคู่ค้า การสร้างความเชื่อใจต้องสร้างจากพันธสัญญา รักษาด้วย Commitment สมมติว่า ผมสัญญากับคุณว่าจะอย่างนี้ให้ คุณไม่เชื่อ แล้วผมทำสำเร็จ มาครั้งที่สองผมสัญญาว่า จะทำแบบนี้ให้คุณ คุณไม่เชื่อ แต่ผมทำสำเร็จ คราวนี้มาครั้งที่สาม คราวนี้คุณรู้แล้วว่า ผมจะทำให้คุณได้สำเร็จตามที่ต้องการ นี่แหละคือความเชื่อใจ มันต้องมี Trust ที่ไหนที่ไม่มีความเชื่อใจกัน ที่นั่นพังหมด” ธนาธรอธิบายเพิ่มเติม “ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เกี่ยวกับการมี Trust และไม่มี Trust ในที่ประชุม ในหลายๆ ที่ การประชุมจะต้องมีบันทึกการประชุม ไม่พอต้องพิมพ์เอกสารบันทึกการประชุมนั้น แล้วให้คนที่เข้าร่วมประชุมเซ็นว่า รับทราบแล้ว แบบนี้เป็นวัฒนธรรมของการไม่เชื่อใจกัน ถ้าคุณเชื่อใจกัน คุยกันในห้องประชุม จบก็คือจบ องค์กรที่มีพลัง คือ องค์กรที่มีคนเชื่อใจกันและกัน”

isbn9780575079755The Orion BooksThe Lies of Locke Lamora หนังสือที่ธนาธรเพิ่งอ่านจบไป

อีกหนึ่งสิ่งที่ Sanook! Men ค้นพบจากการนั่งคุยกับธนาธร นั่นคือ เขาเป็นนักอ่านตัวยงคนหนึ่ง ซึ่งหนังสือที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เพิ่งอ่านจบไป เป็นหนังสือต่างประเทศชื่อ The Lies of Locke Lamora หรือชื่อภาษาไทย คำลวงของล็อก ลาโมรา เป็นเรื่องราวของหัวหน้าแก๊งสุภาพบุรุษจอมโจร ที่ปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจน เขียนโดยสก็อต ลินช์

bookหนังสือที่มีอิทธิพลต่อธนาธร (ซ้าย) ใบไม้ที่หายไป (ขวา) รัฐกับการปฏิวัติ

“อันที่จริงการอ่านของผม ไม่ได้จำกัดวงการอ่านว่าจะต้องอ่านอะไร ผมอ่านได้หมดทั้งนิยาย วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง” ส่วนหนังสือที่มีอิทธิพลในชีวิตของเขามากที่สุดเล่มหนึ่ง นั่นคือ ใบไม้ที่หายไป (เขียนโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา) แต่ถ้าเป็นหนังสือต่างประเทศ The State and Revolution ชื่อภาษาไทยรัฐกับการปฏิวัติ (เขียนโดย วี.ไอ. เลนิน) เป็นหนังสือที่ทำให้เขาเข้าใจแนวความคิดของฝ่ายซ้ายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับไป ธนาธร บอกว่าก่อนหน้าที่จะตัดสินใจลงทำการเมือง การแบ่งชีวิตการทำงาน ครอบครัว การผจญภัย และความสนใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจ-การเมือง ทุกอย่างลงตัวมากๆ ทั้งสี่ด้านสมดุล โดยรวมชีวิตมีความสุขมาก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ธนาธร บอกว่า นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจ เขายังมีศักยภาพในการทำอะไรบางอย่างได้มากกว่านี้

“ผมยอมรับว่า ทนเห็นไม่ได้ที่จะปล่อยให้สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้ต่อไป โดยเฉพาะการติดหล่มทางการเมืองนับสิบปี”

จากคนวงนอก สู่วงในการเมือง

เมื่อถามถึงเรื่องการเมือง ที่ผ่านมา คนที่ไม่เคยประกอบอาชีพทางการเมืองมาก่อน ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดบนเวทีการเมืองได้ ซึ่งมีให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง การที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าร่วมวงการเมือง ในมุมนี้ธนาธรยอมรับว่า เป็นความได้เปรียบของเขาและพรรคอนาคตใหม่

“แน่นอนว่า ผมได้เปรียบ แต่สักวันหนึ่งผมก็จะกลายเป็นคนในของวงการเมืองไปเอง” ธนาธร ตอบ “ผมคิดว่า การเป็นคนนอก มันทำให้คนมาสนใจเรา แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การที่เราจะดำรงตนในฐานะนักการเมือง เป็นนักการเมืองที่ทำในสิ่งที่พูด ยืนหยัดในอุดมการณ์ สุดท้ายไม่ว่าคุณจะเป็นคนหน้าใหม่ หรือคนหน้าเก่าในวงการเมือง ประชาชนจะเห็นเอง”

พร้อมกันนี้ ธนาธร ยืนยันว่า การเข้ามาทำงานการเมืองไม่ได้มีมุมมองที่จำกัดวงแคบเฉพาะแค่การพัฒนาในสังคมไทยเพียงอย่างเดียว แต่ธนาธร มีความเชื่อว่า มนุษย์มีศักยภาพมากพอที่จะโอบอุ้มเพื่อนร่วมโลกที่จะดูแลกันและกัน และมีศักยภาพที่จะทำให้โลกของเราอยู่อย่างยั่งยืน

thanathornธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

หากเปรียบประเทศไทยเป็นมนุษย์ คิดว่าประเทศไทยมีอัตลักษณ์อย่างไร

“เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง”

การที่โลกนี้กำลังเข้าอยู่ในช่วง Creative Destruction  (การทำลายเชิงสร้างสรรค์) ความได้เปรียบของสังคมไทยอยู่ตรงไหน

“เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เรากระโดดข้ามผ่านตัวกลางที่ไม่จำเป็นทั้งหมด ยกตัวอย่าง องค์กรสื่อ คนแทบไม่ดูทีวี ซึ่งในวงการสื่ออันนี้นั้น คุณเป็นทั้งผู้ประพันธ์ เป็นนักแสดง เป็นผู้ชมในคนคนเดียวกัน ในวงการธนาคาร ทุกวันนี้แทบไม่มีใครใช้บริการสาขาของธนาคาร ต่อไปเรื่องของธนาคารจะเป็นสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สิ่งที่คุณไป คุณทำธุรกรรมเกี่ยวกับธนาคารได้ โดยที่คุณไม่ต้องไปธนาคาร ซึ่งตรงนี้ คุณสามารถข้ามผ่านขั้นตอนแบบขั้นบันไดทางเศรษฐกิจได้เลย เราสามารถเป็นผู้นำอุตสาหกรรมได้ด้วยการข้ามผ่านวิธีเดียวกันที่ว่านี้”

การเป็นนักผจญภัยมาก่อนมีผลต่องานการเมืองหรือไม่

“แน่นอนว่า มี มันทำให้เราไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคง่ายๆ สามารถจัดการ วางแผน บริหารความเสี่ยงได้ดี ขณะเดียวกันก็กล้า บ้าบิ่น ไปกับอุปสรรค ที่คนไม่คิดว่าเราจะทำได้”

ในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนจะมีนโยบายที่เป็น Legacy (มรดกทางการเมือง ยกตัวอย่าง บารัค โอบามา มีนโยบายโอบามาแคร์ ซึ่งเป็นกฎหมายประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกา)  ถ้าประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อะไรคือ Legacy ของคุณในสังคมไทย

“ผมจะทำให้ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน หยั่งรากปักลึกลงในสังคมไทย และไม่มีการเกิดรัฐประหารอีก”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook