แอมป์-พิธาน เปิดใจ “ถ้าเจอคนที่ใช่ ผมก็พร้อมแต่งครับ”
ครั้งแรกที่จะได้รู้จักตัวตนคุณแอมป์-พิธาน องค์โฆษิต นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี้ยบ ทายาทธุรกิจผลิตและส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในอาเซียนและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มูลค่าธุรกิจนับหมื่นล้านบาท และคนรู้ใจของนักแสดงสาวร่างเล็กระดับนางเอกแห่งวงการบันเทิงไทย
ชีวิตวัยแสบ
เห็นมาดนุ่มๆ ท่าทางนิ่งๆ อย่างนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าในวัยเรียนคุณแอมป์จะมีวีรกรรมแสบซนคนหนึ่งเลยทีเดียว "ในบรรดาพี่น้องสามคน ผมเป็นคนกลางที่ดื้อสุด ทะเลาะกับคุณพ่อบ่อยสุด และโดนตีบ่อยสุดครับ"
คุณแอมป์เล่าย้อนถึงครอบครัวองค์โฆษิตให้ฟังว่า "บ้านเราไม่บังคับลูกว่าต้องเรียนเก่ง คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระลูกทุกคนได้ฝึกรับผิดชอบชีวิตตัวเองตั้งแต่เด็ก แต่ท่านก็ไม่สปอยล์ลูกนะครับ เวลาให้เงินก็จะให้เป็นก้อน ให้รู้จักบริหารการใช้เงินเอาเอง จะเรียนอะไรก็ตัดสินใจเอง คุณพ่อจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน และใช้เวลาช่วงนั้นในการพูดคุยและสอนลูก"
ถึงไม่บังคับว่าต้องเรียนเก่ง แต่หัวอกพ่อแม่ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นลูกมีอนาคตที่ดี เมื่อลูกชายหนักเล่นมากกว่าเรียน คุณบัญชาตัดสินใจส่งสองลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำที่อเมริกา อยู่ห่างกันคนละซีกโลกแต่คนไกลบ้านกลับไม่คิดถึงบ้านแม้แต่น้อย "อยู่ที่นี่สบายมากครับ อิสระแถมยังมีบริการทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ไม่ต้องจ่ายเงินด้วย ผมกับพี่เลยลั้นลากันเต็มที่ ทั้งสั่งอาหารมากิน โยนโบว์ลิ่งตอนกลางคืน พอปลายเทอมโรงเรียนส่งบิลไปที่บ้าน กระดาษยาวถึงพื้นเลยครับ (หัวเราะ) ถึงได้รู้ว่าไม่ได้ฟรีนะ"
ช่วงปิดภาคเรียน สองพี่น้องกลับมาเมืองไทยด้วยภาพลักษณ์ที่แปลกตาไป "ผมย้อมผมสีทอง ส่วนพี่ชายก็เจาะหูครับ คุณพ่อตกใจ เกือบทิ้งเราไว้ที่สนามบินแล้วครับ เพราะไม่คิดว่าเป็นลูกตัวเอง" (หัวเราะ) หลังจากนั้นแอมป์ถูกย้ายไปเรียนที่ซานฟรานซิสโกในเทอมถัดไป คราวนี้เจอของจริง เพราะโรงเรียนเข้มงวดกวดขันทั้งเรื่องเรียนและระเบียบวินัย "ช่วงทุ่มถึงสามทุ่มต้องเปิดประตูห้องนอนทำการบ้านและอ่านหนังสือ เพราะจะมีคนคอยเดินตรวจตรา ก่อนนอนมีเวลาส่วนตัวนิดหน่อย พอห้าทุ่มไฟทุกดวงถูกปิดหมด เป็นสัญญาณว่าต้องเข้านอนแล้ว" ปฏิบัติตามกฎอยู่ได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายแอมป์ก็สร้างวีรกรรมขึ้นอีกจนได้ "พอรู้ว่านาฬิกาของหอพักอยู่ตรงไหน ผมงัดห้องเข้าไปเปลี่ยนเวลา จะได้เข้านอนดึกขึ้น เพราะอยากเล่นเกมต่อ แต่ไม่เคยถูกจับได้นะครับ"
จุดเปลี่ยนชีวิต
เมื่อถึงคราวต้องเข้ามหาวิทยาลัย คุณแอมป์เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพราะรู้ตัวว่าถนัดคณิตศาสตร์เพียงวิชาเดียว และไม่ชอบอ่านตำรานัก “ปริญญาตรีผมเรียนที่ University of California, Riverside ที่อเมริกา ตั้งใจว่าเรียนวิศวะแน่นอน แต่สาขาไหน ผมใช้วิธีนับหน่วยกิตเอาว่าสาขาไหนเรียนน้อยสุด ก็เลือกสาขานั้นแหละ (หัวเราะ)” แต่แล้วสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่คิดว่าน่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่งแต่เกือบทำให้เขาถูกทางมหาวิทยาลัยเชิญออก
“ผมเป็นคนดื้อ ถ้าเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ จะไม่สนใจเลย ถามตัวเองว่าจะมัวมาท่องสูตรคำนวณ ใช้แคลคูลัสทำไม ในเมื่อมีเครื่องคิดเลขแล้ว แต่ละวิชามีการแบ่งสัดส่วนคะแนน การเข้าเรียน ส่งการบ้าน สอบกลางภาค และสอบปลายภาค อันไหนทำแล้วได้คะแนนคุ้มเหนื่อย ผมจะทำอันนั้น อย่างทำการบ้านครั้งหนึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ต้องส่งการบ้านตั้ง 10 ครั้ง รวมแล้วใช้เวลาเกือบ 20 ชั่วโมง เพื่อคะแนนแค่ 10% ผมว่าไม่คุ้ม เลยไม่เคยทำการบ้านเลยครับ”
ช่วงหนึ่งคุณแอมป์ขลุกอยู่กับเพื่อนแก๊งแต่งรถที่แอลเอ ซึ่งห่างจากเขาไปชั่วโมงครึ่ง ไปหาเพื่อนแล้วเกิดติดลม ขี้เกียจนั่งรถกลับ เลยไปอยู่เป็นเดือน กลับมาเข้าคลาสอีกที เพื่อนๆ กำลังจะสอบกลางภาคกัน "ผมยังไม่มีหนังสือเรียนเลยครับ" ความเกเรครั้งนั้นส่งผลให้ผลการเรียนตกต่ำมาก ทางมหาวิทยาลัยส่งหนังสือเตือนก่อนจะถูกเชิญออก หากคะแนนยังต่ำกว่าเกณฑ์ แม้ที่บ้านจะไม่มีใครทราบเลยก็ตามแต่เจ้าตัวก็รู้สึกผิดไม่น้อย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่คุณแอมป์ตัดสินใจบอกมารดา "คุณแม่ครับ เกรดผมไม่ค่อยดีนะครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปจะดีละครับ"
สัญญาลูกผู้ชายที่เอ่ยออกไป ด้วยไม่อยากทำลายความรัก ความหวัง และความไว้ใจที่คุณแม่มีให้คุณแอมป์มาตลอด ไม่นานแรงผลักดันที่สองก็ตามมา เมื่อเขาบังเอิญได้ยินที่บ้านของคนรักในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เรียนเก่งพูดคุยกันในครอบครัวว่า รับได้ยังไงมีแฟนเรียนไม่เก่งอย่างนี้ คำสบประมาทนี้เป็นแรงพลังสำคัญที่ทำให้คุณแอมป์ปฏิวัติชีวิตตัวเองและกลายเป็นคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อ
"เมื่อก่อนผมคิดว่าสิ่งที่เรียนในชั้นคงไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงหรอก เลยเรียนแค่พอผ่าน แต่ผลการเรียน สถาบันที่เรียน และวุฒิการศึกษาคือสิ่งที่คนอื่นใช้ตัดสินตัวผม อาจไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้ แต่สังคมส่วนใหญ่ก็ประเมินและให้ค่าตีราคาคนจากสิ่งเหล่านี้ ตราบใดที่คนคนนั้นยังไม่มีความสำเร็จอื่นใดจากการทำงานเป็นบทพิสูจน์ความสามารถให้เห็น" ใครจะเชื่อว่าจากนักศึกษาที่เกรดต่ำจนเกือบถูกเชิญออก วันหนึ่งคุณแอมป์จะได้เกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.94!!! และจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก Cornell University หนึ่งในมหาวิทยาลัยไอวีลีกของอเมริกา
เรียนรู้ธุรกิจครอบครัว
ปัจจุบันคุณแอมป์เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ บริษัทผู้ผลิตและส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญขั้นพื้นฐานในการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสาร โทรคมนาคม และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกประเภทให้กับแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก จุดเริ่มต้นธุรกิจครอบครัวมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทนี้ "เป็นเพราะเรือยอชต์กับรถเบนซ์เลยครับ" คุณแอมป์ตอบพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนเล่าต่อว่า
"เดิมทีคุณพ่อทำจิวเวลรี่ ต่อมาเมื่อการแข่งขันสูง คุณพ่อเลยคิดหันไปทำเครื่องใช้ไฟฟ้าและรับประกอบคอมพิวเตอร์ แต่หาแผ่น PCB (แผ่นวงจรพิมพ์ หรือ Printed Circuit Board) ไม่ได้ เพราะในเมืองไทยไม่มีใครทำหรือนำเข้ามาจำหน่ายเลย คุณพ่อบินไปดูโรงงานที่สิงคโปร์ ไปถึงเห็นรถเบนซ์จอดเรียงรายเต็มหน้าโรงงาน แถมเจ้าของยังชวนไปล่องเรือยอชต์ก่อนเจรจาธุรกิจกัน ท่านบอกตัวเองว่า ‘ธุรกิจนี้ท่าจะกำไรดีแฮะ’ (หัวเราะ)"
“คุณพ่อไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจ PCB เลย แต่ท่านเห็นโอกาสในธุรกิจนั้นมากกว่า ต่างจากอีกหลายคนที่เลือกทำธุรกิจในสิ่งที่ชอบหรือถนัดมากกว่า ผมเห็นด้วยกับหลักการทำงานนี้ของคุณพ่อ ถึงได้ตัดสินใจนำเครื่องสำอางแบรนด์ Face Shop จากเกาหลีเข้ามาทำตลาดที่บ้านเรา บางคนคิดว่าผมเป็นผู้ชายจะทำธุรกิจเครื่องสำอางให้ดีได้ยังไง แต่ผมเห็นโอกาสความเป็นไปได้” ด้วยเหตุนี้คุณแอมป์จึงพ่วงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท The FaceShop (ประเทศไทย) อีกตำแหน่งด้วย
เมื่อกลับมาทำงานที่บริษัทอีกครั้ง เจเนอเรชั่นที่สองของธุรกิจครอบครัวอย่างคุณแอมป์มีภารกิจใหญ่ที่ได้ทำคือการจัดระบบหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ เป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตแข่งกับคู่แข่งเจ้าสำคัญอย่างจีน “ผมตั้งระบบงบประมาณ เรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องไล่ไปทีละแผนก ความที่ไม่เคยมีระบบนี้มาก่อน ผมจึงได้ลงลึกในทุกรายละเอียดในบริษัท กระทั่งว่าต้องใช้ไม้กวาดกี่ด้าม ผ้าขี้ริ้วเช็ดเครื่องจักรกี่ผืน เงินบาทเดียวผมก็ถามครับ ทุกอย่างที่ผมสงสัยผมจะถามเพื่อหาคำตอบ ทำให้ผมได้เรียนรู้และหาทางที่จะทำให้การทำงานง่ายและได้ประสิทธิภาพขึ้น”
ไลฟ์สไตล์เรียบหรู
"ผมไม่ใช่ไฮโซเลยครับ" คุณแอมป์ออกตัวเอี๊ยดเมื่อถามความรู้สึกที่ได้รับการเรียกขานเช่นนั้นตลอดมา "เพื่อนผมอาจมีนามสกุลดัง หรือเป็นที่รู้จักของสังคม แต่ผมไม่ได้อยู่ในสังคมนั้น เป็นผู้ชายทำงาน ไม่ได้ออกอีเวนต์ ไลฟ์สไตล์ก็ปกติทั่วไป จริงๆ ผมเป็นคนธรรมดาครับ"
หลายคนอาจนึกค้านเมื่อเห็นคุณแอมป์ยืนท่ามกลางยนตรกรรมหรูอย่างเฟอร์รารี่หลากสีหลายคัน เขาจึงเล่าที่มาของการเป็นสาวกสิงห์ลำพองว่า “คันแรกที่ได้มาคุณพ่อซื้อให้เป็นของขวัญที่ผมเรียนจบ พอเริ่มทำงาน คุณแม่ก็ไม่ให้เงินใช้แล้ว ต้องรับผิดชอบตัวเองเต็มตัว เงินเดือนตอนเข้ามาทำงานกับคุณพ่อคือ 4 หมื่นบาท ผมอยู่ได้ครับ คุณพ่อสอนตลอดว่า การใช้เงินจะใช้เท่าไหร่ก็ได้ ตราบเท่าที่เรายังมีปัญญาหาเงิน แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องรู้จักจมให้ลง เพราะการทำธุรกิจย่อมมีขึ้นมีลง ฉะนั้น เวลามีจงอย่าอวด เพราะคนจะมองเราด้วยความอิจฉาและแช่งให้เราจนลง แต่ถ้าเราไม่อวดรวยให้ใครรู้ว่าเรามั่งมี ต่อให้เราจะจนลงบ้าง ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน”
คุณแอมป์เป็นคนรู้ค่าของเงิน เมื่อรวมกับการมีแววนักธุรกิจมาตั้งแต่เล็ก ตอนเริ่มเข้ามาทำงาน เขาจึงระดมเงินเพื่อซื้อหุ้นของบริษัท “ผมตัดสินใจขายเฟอร์รารี่ที่คุณพ่อซื้อให้ แล้วคุณแม่ก็ให้เงินสมทบมาก้อนหนึ่ง แล้วก็ไปซื้อหุ้นบริษัทที่ราคาหุ้นละ 50 สตางค์ในตอนนั้น ได้เท่าไหร่ก็นำหุ้นที่ซื้อได้ไปค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาซื้อหุ้นเพิ่มอีก เพราะผมมั่นใจว่าเมื่อเข้ามาบริหารแล้ว ผมจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้แน่นอน ผมจึงพยายามซื้อหุ้นให้มากที่สุด” ที่สุดคุณแอมป์ระดมเงินซื้อหุ้นได้ 10 ล้านหุ้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีทรัพย์สินของตัวเองนับจากนั้น เพราะหลังจากที่ปันผลแล้ว เขาก็นำเงินนั้นไปลงทุนต่อ แล้วกำไรที่ได้จากการลงทุนนี่แหละคือเงินที่เขาใช้เติมความสุขให้ตัวเอง
“เฟอร์รารี่เป็นแบรนด์ที่ผมชอบ ขับง่ายและขายได้ราคาดีครับ เป็นแบรนด์เดียวที่ทำกำไร ยิ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ดยิ่งกำไรมาก พอเล่นหุ้นได้กำไร ผมก็มาซื้อรถ ถ้ารถรุ่นไหนได้ราคาน่าพอใจ ผมก็ขายครับ แต่ช่วงหลังชักอยากเก็บไว้เองบ้างแล้วครับ” นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำนวนรถสปอร์ตคันหรูค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละคันสองคัน หลงใหลในเสน่ห์เฟอร์รารี่ขนาดที่ตอนสร้างบ้านหลังนี้ สถาปนิกจึงออกแบบให้ชั้นล่างของบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังนี้เป็นโรงรถอินดอร์ พร้อมเจาะช่องกระจกที่พื้นชั้นสองของห้องนั่งเล่น เพื่อให้คุณแอมป์ได้เห็นรถคันโปรดอยู่ในสายตา นอกจากนี้ในโรงรถยังติดเครื่องปรับอากาศไว้เต็มอัตราเพื่อสลับกันเปิดให้แก๊งเฟอร์รารี่อีกด้วย
วันว่างของคุณแอมป์ ถ้ามีเวลาจริงๆ ก็อาจขับรถไปต่างจังหวัด หรือไม่ก็ไปพักผ่อนบนเรือยอชต์ลำหรูของคุณพ่อบัญชา นี่อาจเป็นการใช้จ่ายเดียวที่ครอบครัวไม่ได้หวังผลกำไร “คุณพ่อทำงานหนักมาตลอด วันหยุดก็จะอยู่บ้าน ดูทีวี ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่ท่านชอบล่องเรือมาก ยิ่งมีหลานๆ ลูกพี่ชายผมรบเร้าให้พาไปทะเล ครอบครัวเราเลยได้ไปพักผ่อนกันบ่อยขึ้น แต่อาจจะไม่ได้ไปพร้อมกัน ใครว่างก็ไปมากกว่าครับ”
ความรักของผม
"ชีวิตรักของผมก็เรื่อยๆ นะครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนไม่มีสเป็ก แต่มองหาคนที่เข้ากันได้ ขอแค่เป็นผู้หญิงที่มีอัธยาศัยดี จิตใจดี คุยกันรู้เรื่อง อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมเป็นคนทำงานหนัก เลิกงานก็เหนื่อยแล้ว ถ้าต้องคอยเอาใจหรือเจอความหวาดระแวงของแฟนอีก ชีวิตผมคงไม่มีความสุข แต่ถ้าใครคนนั้นเข้าใจผม ให้กำลังใจกันในวันที่ผมอ่อนล้า และอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าผมตัดสินใจถูกหรือผิดในการทำอะไรลงไป จริงๆ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นดารานะครับ เพียงแต่ผมชอบคนสวย ก็เลยมีแฟนเป็นดาราน่ะครับ (ยิ้ม) นอกนั้นผมไม่เจาะจงเลยว่าต้องนามสกุลดัง ฐานะดี หรือมีชื่อเสียง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่ได้วางเป้าหมายไว้ ปีนี้ผมอายุ 36 ถ้าเจอคนที่ใช่ ผมก็พร้อมแต่งครับ เพราะทุกอย่างผมพร้อมหมดแล้ว
อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันคุณแอมป์คบหาดูใจกับนักแสดงสาวร่างเล็กอย่างคุณออม สุชาร์ มานะยิ่ง ทั้งคู่พบกันในงานแฟชั่นโชว์ของคุณหนูใหม่ ตะวันนา ธารา ดีไซเนอร์สาวเจ้าของแบรนด์ Thara ซึ่งเป็นภรรยาเพื่อนสนิทของคุณแอมป์ เมื่อมีเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน ทั้งสองจึงมีโอกาสได้เจอกันอีก เมื่อได้คุยกัน นิสัยใจคอและไลฟ์สไตล์ที่ไปด้วยกันได้ ทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนาขึ้น “ออมเป็นคนง่ายๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย และไม่มีพิธีรีตองเหมือนผม เราเลยเข้ากันได้ดี เรื่องกินผมอาจจะเป็นคนที่กินง่ายมาก เมนูโปรดผมคือก๋วยเตี๋ยว ร้านอร่อยริมทางผมไม่เกี่ยง แต่ถ้าให้ไปดินเนอร์ 5 คอร์ส เสิร์ฟกัน 4-5 ชั่วโมง ผมไม่ค่อยชอบเสียเวลาแบบนั้นครับ
"การที่ผมคบกับคนที่เป็นที่รู้จักของสังคม คนเลยอยากรู้ว่าผมเป็นใคร มาจากไหน ทำอาชีพอะไร แล้วก็จับตามองผม ที่ผ่านมา ชีวิตผมอิสระ จะไปไหน ทำอะไร ไม่มีใครสนใจ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายลงตัวในแบบของผม แต่การเป็นที่รู้จัก ย่อมมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบผม เป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมต้องยอมรับในเงื่อนไขนี้เมื่อผมตัดสินใจคบดารา และผมก็พยายามเข้าใจคนที่ผมคบด้วย อย่างเมื่อก่อนผมไม่เล่นโซเชียลเลย ส่วนตัวผมคิดว่าสังคมโซเชียลเป็นสิ่งที่เราต้องการให้คนเห็นเราในด้านไหน ซึ่งผมไม่ต้องการให้ใครมารู้จักผมไม่ว่ามุมไหนของชีวิตผมก็ตาม ผมมีความสุขกับแก๊งเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิท 7-8 คนของผมที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเตรียมพัฒน์ฯ (โรงเรียนเตรียมอุดม พัฒนาการ) เตะบอลด้วยกันทุกวันเสาร์
"แต่เมื่อผมคบกับออม บางความเห็นก็ตำหนิผมว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษ ปล่อยให้ฝ่ายหญิงเปิดตัวอยู่ข้างเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วอย่าลืมนะครับว่าผมไม่ใช่คนของประชาชน ผมจะคบใครคงไม่จำเป็นต้องจัดแถลงข่าว ผมไม่ต้องไปอีเวนต์เพื่อตอบความสงสัยของใครๆ แต่สำหรับออม ผมให้เกียรติในอาชีพของเขา การที่เขาจะให้สัมภาษณ์หรือตอบคำถามสื่อมวลชนอย่างไร เป็นสิทธิ์ของออมครับ ผมก็อยู่เงียบๆ ของผมไป เพราะไลฟ์สไตล์ผมไม่ได้อยู่ในสื่ออย่างเขา หรือการที่ในไอจีออมมีรูปคู่ของเรา แต่ไอจีผมไม่มี ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่จริงจังกับเขา แต่เมื่อกระแสหนักขึ้นว่าออมเป็นฝ่ายที่รู้สึกกับผมไปเองคนเดียว ทำให้ผมต้องเล่นโซเชียลบ้าง ในเมื่อเขาเป็นคนของมวลชน คนอยากรู้ชีวิตเขา ผมเข้าใจครับ
“ทุกครั้งที่มีความรัก ผมอยากให้มันเวิร์ก ผมไม่ชอบมากๆ กับคำพูดที่ว่า ‘คบดาราเป็นของเล่น’ เพราะสำหรับผม จะยากดีมีจน สวยไม่สวย หรืออาชีพอะไร ทุกคนมีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนกัน และไม่มีใครอยากเป็นของเล่นหรือตัวสำรองของใคร แต่การคบหากันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานทุกคู่ ระหว่างทางมีรายละเอียดปลีกย่อยของคนสองคนอีกหลายอย่างว่าเราเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหนถ้าต้องใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอด ฉะนั้น ผมพูดได้เต็มปากครับว่า ความรักของผมทุกครั้งไม่ใช่การคบฉาบฉวย
“ปกติผมไม่ใช่ผู้ชายที่โรแมนติกเลย ถ้าเลิกงานแล้วไม่ติดธุระอะไร ผมก็พยายามไปเจอออม ถ้าเขาอยู่กองถ่ายก็อาจมีตามไปหาบ้าง แต่ถ้างานเขายุ่งมาก เราก็แค่โทร.คุยกัน ถ้าเราว่างตรงกันก็ไปกินข้าวบ้าง ดูหนังบ้างตามปกติ หรือบางทีถ้าเขาเลิกถ่ายงานดึก ผมก็อาจไปรับกลับบ้านบ้าง บางวันก็แวบไปกินข้าวด้วยระหว่างเบรกกอง ผมว่าไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไร แต่ถ้าเราเข้าใจกัน การจัดสรรเวลาให้กันไม่ใช่เรื่องยาก ผมไม่ค่อยชอบโอกาสพิเศษต่างๆ ขนาดตัวเองยังไม่เคยจัดงานวันเกิดเลยครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมตั้งใจทำอะไรเพื่อเซอร์ไพรส์ใคร นั่นคือความพิเศษสุดจากผู้ชายอย่างผมแล้วครับ”
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ