เมื่อ “ปณต getsunova” วางกีตาร์ แล้วหันมาส่งต่อความสุขจาก “พู่กัน”
ถอดหูฟังออกสักครู่ กดพอสเพลงสุดฮิตยาวนานหลายปีอย่าง “ไกลแค่ไหน คือ ใกล้” เอาไว้สักพัก
เพราะในวันนี้ นต-ปณต คุณประเสริฐ มือกีตาร์และนักแต่งเพลงหลักของวง getsunova เจ้าของเพลงดังที่ทุกคนรู้จักจะขอวางอาวุธทางดนตรีคู่กาย และหยิบพู่กันมาปัดสีสันลงบนผืนผ้าใบ ซึ่งถือเป็นการหวนคืนสู่วงการศิลปะแห่งการวาดภาพครั้งแรกในรอบ 6 ปี กับการถ่ายทอดตัวตลกจมูกแดงที่เขาผูกพัน แม้ว่านิทรรศการศิลปะครั้งแรกในชีวิตภายใต้ชื่อ “2 Bars Exhibition” จะผ่านพ้นไปแล้วมาสักพัก แต่สัญลักษณ์แห่งความสุขที่ ปณต อยากส่งต่อให้ผู้พบเห็นก็ยังคงอยู่ ในวันที่สังคมบ้านเราค่อนข้างหดหู่ในความคิดของเขา...
ภาพอันคุ้นตาของคุณคือการเป็นมือกีตาร์วงดนตรีที่ชื่อ getsunova แล้วเรื่องของการวาดรูปล่ะ มันเชื่อมโยงกับชีวิตคุณอย่างไรบ้าง?
จริงๆ นตเรียนวาดรูปมาตั้งแต่ตอนมัธยมปลาย ตอนนั้นย้ายไปอยู่อังกฤษครับ แล้วต้องเลือกวิชา เราคิดว่าศิลปะน่าจะเป็นวิชาที่พูดน้อยที่สุด ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเยอะ ก็มีเรียนทั้งเลข บริหาร ศิลปะ ซึ่งมีดนตรีอยู่ในนั้น แต่อันที่ผมทำได้ดีที่สุดจริงๆ คือศิลปะ ได้ A เลยแหละ ดนตรีนี่ผมต้องดร็อปเพราะเกือบสอบตกนะ (หัวเราะ) นั่นแปลว่าศิลปะมันอยู่ในชีวิตผมตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และก็ทำได้ค่อนข้างดี แต่พอจะเข้ามหา’ลัย แม่ให้ไปเรียนบริหาร แต่ฝั่งพ่อเนี่ยเชียร์ให้เรียนศิลปะ เพราะเขาเป็นอาจารย์สอนศิลปะอยู่ที่ครุศิลป์ จุฬาฯ สุดท้ายแม่ชนะ พอผมเข้าไปเรียนบริหาร ศิลปะก็เลยค่อยๆ เริ่มหายไปจากชีวิต ยิ่งพอมาทำวงดนตรี ต้องเขียนเพลง ต้องทัวร์คอนเสิร์ต ก็ไม่ได้จับพู่กันเลย 6 ปีเต็มก่อนหน้านี้ ตอนนี้เลยเหมือนรุกกี้ (rookie) เป็นหน้าใหม่ของวงการ (ยิ้ม)
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณกลับมาจับพู่กันอีกครั้ง?
เหตุผลหนึ่งก็เพราะแฟนคนปัจจุบันของผมด้วยครับ เขาก็เป็นศิลปินเต็มตัว ผมก็เหมือนเป็นกองเชียร์คอยซัพพอร์ต เห็นเขาวาดนู่นวาดนี่ ไปดูงานศิลปะด้วยกัน ชีวิตเริ่มวนกลับมาอยู่กับศิลปะมากขึ้น ก็รู้สึกนะว่า จริงๆ เราก็เคยชอบมันนี่นา เคยสนุกกับการสร้างผลงานแบบนี้ ก็อยากกลับมาเริ่มใหม่ พอจบคอนเสิร์ตใหญ่ของ getsunova ก็รู้สึกอยากพักจากดนตรีเสียหน่อย และศิลปะนี่แหละที่จะเป็นทางออกของเรา
จนกลายมาเป็นภาพวาดคอลเลกชั่นนี้?
ใช่ครับ มีประมาณ 20 ภาพ ใช้เวลา 1 เดือน ตอนนั้นแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน (หัวเราะ) โหดมาก ไม่มีชิ้นไหนทำก่อนคอนเสิร์ตใหญ่เลย
ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างการทำเพลงกับวาดรูป?
จริงๆ มันมีความเชื่อมโยงกันค่อนข้างเยอะ ในเรื่องของดนตรี ผมก็มีเรื่องของภาพเข้ามาด้วยตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมมติว่าเราเขียนเพลง “ไกลแค่ไหน คือ ใกล้” ผมจะเห็นอยู่แล้วว่า ไอ้คนๆ นี้มันเดินอยู่บนสะพาน มีปลายทางของเขาอยู่ อะไรแบบนี้ ผมเห็นเป็นภาพมาตลอด เหมือนศิลปะมันฝังอยู่ในวิธีคิด ฝังอยู่ในวิธีสร้างงานของผมมาตลอดอยู่แล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่อยากบอกก็คือ เวลาวาดรูป ผมไม่ฟังเพลงนะ ไม่ฟังเลย ผมชอบให้เป็นห้องเงียบๆ คือพอเงียบแล้วผมมักได้ยินอะไรแปลกๆ ออกมา ได้ยินเรื่องของเมโลดี้ มันจะฮัมขึ้นมาเองระหว่างเราวาดรูปนั้น ใช้สีนั้น แล้วพอเรามองสีนั้นเยอะๆ ก็จะได้ยินคำบางคำระหว่างที่ฝนพู่กันออกไป ผมเลยชอบให้มันเงียบ
เท่าที่สังเกต ตัวตลก คือตัวแทนของแมสเสจบางอย่างที่คุณอยากสื่อสาร?
จริงๆ ตัวตลกเป็นธีมที่ผมวาดมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว วาดมาตลอด แต่รอบนี้อยากกลับมาสะท้อนตัวเองว่า ปณต 2018 เป็นอย่างไร เมื่อก่อนผมจะวาดตัวตลกที่น่ากลัว ดูโหด ดุ มันคือผมตอนวัยรุ่นที่รู้สึกว่าต้องเอาความดุ ความน่ากลัวข่มคนอื่นว่ากูเท่อะไรอย่างนี้ แต่พอมาดูตัวเองทุกวันนี้รู้สึกว่า เราผ่อนคลายมากขึ้น ตัวตลกในปีเก่าๆ ของเราจึงเอาออกมาโชว์ในปีนี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้โชว์ผลงาน ผมยิ่งอยากให้คนเห็นตัวตนของเรา ณ วันนี้จริงๆ ตัวตลกของเราเลยเริ่มน่ารักขึ้น มีสีสันเยอะขึ้น มีความเป็นการ์ตูนเข้ามาผสมผสาน เข้าถึงคนได้ง่าย คล้ายๆ กับเพลงแหละครับ เมื่อก่อนต้องยาก ต้องเท่ไว้ก่อน ทุกวันนี้เพลงเข้าใจง่าย ทุกคนสัมผัสได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
แล้วจมูกแดงนั่นล่ะ?
คือตัวตลกจริงๆ มันจะมีจมูกสีแดงเป็น symbolic ใช่ไหม แต่เอาเข้าจริงตัวตลกทุกคนก็เป็นคนธรรมดาที่ต้องออกไปพบปะผู้คน ต้องไปขึ้นเวที แม้ว่าจะเซ็งกับอะไรมาก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ มันก็เหมือนการใส่จมูกแดง ทาปากแดงให้ทุกคนแฮปปี้ ทั้งที่จริงๆ อาจจะเศร้าอยู่ข้างในก็ได้ ซึ่งตัวตลกของผมก็จะมีทั้งแบบแลบลิ้นแฮปปี้ และแบบแอบเศร้าอยู่ภายใน มันไม่ใช่การใส่หน้ากากเข้าหากันนะ แค่มันคือการที่เราเอาตัวตนที่แฮปปี้ออกมาให้คนอื่นได้เห็น ได้ส่งพลังบวกด้วยกันในองค์รวม สมมติเรามาเจอกัน ผมมานั่งเศร้าใส่พี่ พี่มานั่งเศร้าใส่ผม ผมว่ามันไม่มีใครได้อะไร จมูกแดงมันก็ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้นะ คนที่มาดูก็สามารถลองเอาจมูกแดงในจินตนาการมาใส่ที่จมูกของตัวเองได้นะ
เท่าที่ดูมันให้อารมณ์ศิลปะแนว expressionism อยู่พอสมควรนะ?
จริงๆ ผมพยายามไม่ไปนิยามมัน แต่คนก็ชอบเรียกอย่างที่พี่บอกเหมือนกัน เพราะมันเป็นลายเส้นตวัดๆ โหดๆ หน่อย แปรงพู่กันจะเห็นชัดมากว่าไปซ้ายหรือไปขวา ขยี้ตรงนี้ สีก็ไม่ได้ผสมแบบเนี้ยบเนียนสุดๆ แต่ผมก็จะได้แรงบันดาลใจจากแนวการวาดใบหน้าทับกัน พวก Pablo Picasso อะไรแบบนั้น หรือแม้กระทั่งสตรีทอาร์ตในยุคปัจจุบัน ทำให้มันเป็นการ์ตูนขึ้น คือรู้สึกว่าถ้ามันเป็น fine art จ๋าๆ กลัวว่าคนจะไม่ชอบจะไม่อิน ผมอยากให้ทุกคนเข้าถึงได้
จมูกสีแดงของตัวตลก เปรียบเสมือนการยื่นความสุขสู่ผู้อื่น ศิลปะของคุณกำลังจะบอกว่า ทุกวันนี้ความสุขในสังคมบ้านเรามันน้อยลง?
แม้แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังค่อนข้างสิ้นหวังเลย (หัวเราะ) ผมว่าโลกมันเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ ทุกวันนี้มันค่อนข้างหดหู่น่ะ อย่างข่าวในเฟซบุ๊กแต่ละอย่างที่มีคนพูดถึงก็มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีทั้งนั้นเลย ได้ยินแต่เรื่องแย่ๆ
แต่ความเชื่อของคุณคือ เราทุกคนสามารถมอบความสุขให้ตัวเองและคนรอบข้างได้?
ใช่ และเราทุกคนก็สามารถหาด้านดีของมันได้ สิ่งที่ผมอยากสื่อผ่านภาพวาดของผมก็คือ ทุกอย่างมีทั้งด้านดีและไม่ดี เราแค่ต้องรู้ว่า เราจะหยิบด้านดีออกมาแล้วเผชิญหน้ากับมันอย่างไร เราจะมีวิธีเก็บหรือบริหารเรื่องราวที่ไม่ดีเหล่านั้นอย่างไร ซึ่งจริงๆ มันก็คือตัวผมนี่แหละ แต่ผมว่าหลายคนก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผม เราต้องหาวิธีที่ทำอย่างไรให้ออกไปใช้ชีวิตให้ได้ดีที่สุดในแต่ละวัน
คุณบอกว่าตัวเองเป็นรุกกี้ของวงการ ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ตามที่คุณบอก คุณมองแวดวงศิลปะการวาดภาพในเมืองไทยตอนนี้อย่างไร?
ผมว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศิลปินเก่งๆ เยอะมาก ในมุมมองของผมนะ ศิลปินรุ่นใหม่น่าจะมีพื้นที่แสดงงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าง YELO House พอเราได้เข้ามาพัวพันมันก็เริ่มรู้สึกได้ว่า มันมีเสน่ห์ของมันนะ มันมีกลุ่มคนที่พร้อมจะมาซัพพอร์ต มาดูงาน ชมงาน ซื้อผลงานด้วยซ้ำไป ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี ผมว่าเมืองหรือประเทศที่เจริญ คือประเทศที่มีงานศิลปะและวงการศิลปะที่เจริญแล้ว ก็อยากเป็นกองเชียร์อีกคนที่อยากให้แวดวงศิลปะบ้านเราเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ครับ แม้ว่าแกลเลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ที่แสดงงานดีๆ อาจจะยังมีไม่เยอะก็ตามในตอนนี้
อัลบั้มภาพ 30 ภาพ