พลทหารร้อยล้าน เติมตระกูล กมลวิศิษฎ์
"เติมตระกูล กมลวิศิษฎ์" ชื่อของเขาอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก แต่นามสกุล "กมลวิศิษฎ์" ของเขานั้น น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก หนุ่มวัย 20 ต้น ๆ คนนี้เป็นลูกชายคนที่สองของนักการเมืองจอมแฉ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"
หลังเรียนจบจากสาขาวิชาธุรกิจโรงแรมและที่พัก คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนุ่มเติมก็เดินหน้าเข้าเกณฑ์ทหารและจับได้ใบแดง สังกัด ทบ.1 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี เป็นธรรมดาเมื่อมีคนดังหรือลูกของคนดังเข้าเกณฑ์ทหารก็จะมีข่าวดังกว่าคนธรรมดา และในตอนนั้น นอกจากเป็นข่าวดังในฐานะลูกชายของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์แล้ว เติมยังตกเป็นข่าวดังเพราะมีสำนักข่าวแห่งหนึ่งรายงานข่าวว่าเขาเป็น "พลทหารที่รวยที่สุด" โดยเป็นเจ้าของหุ้นในธุรกิจครอบครัวรวมเป็นมูลค่า 149,524,000 บาท
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้พบหนุ่มเติมในขณะที่เขามาช่วยงานของกองทัพบกในการแถลงข่าวโครงการ "มิลเลี่ยน กิฟท์ มิลเลี่ยน สมายล์ ปี 5" ซึ่งกองทัพบกผนึกกำลังกับเซ็นทรัล กรุ๊ปจัดทำโครงการขึ้นมาต่อเนื่อง 5 ปีแล้ว จึงถือโอกาสชวนพลทหารหนุ่มหล่อพ่อรวยคนนี้มาพูดคุยกัน
ในประเด็นแรกที่ว่าเป็นพลทหารที่รวยที่สุด มีทรัพย์สินถึงเกือบ 150 ล้านบาทนั้น เจ้าตัวบอกว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ
"เรื่องทรัพย์สินที่ว่าผมเป็นพลทหารที่รวยที่สุด ผมก็ไม่ทราบว่าเขาได้ข้อมูลมาจากไหน"
พยายามถามว่าข้อมูลนี้ถูกต้องตามความจริงไหม หนุ่มเติมก็ยืนยันแต่เพียงว่าไม่รู้
"ผมก็ไม่รู้ว่าจริงไหม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเอง ส่วนตัวผมยังไม่เคยลงทุนทำอะไร หรือเริ่มธุรกิจของตัวเอง คุณพ่ออาจจะทำไว้ให้ ซึ่งผมไม่รู้ อาจจะเป็นหุ้น หรืออะไร ผมไม่รู้จริง ๆ คุณพ่อจัดให้ครับ"
นอกจากเรื่องทรัพย์สินแล้ว การรับใช้ชาติของหนุ่มเติมก็เกือบจะเป็น "คุณพ่อจัดให้ (เป็น)" อีกเช่นกัน เพราะเสี่ยชูวิทย์แสดงแอ็กชั่นแอนตี้การใช้เส้นสาย หรือใช้เงินทองวิ่งเต้นหาลู่ทางเพื่อให้ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุผลที่ว่า
"พ่อแม่บางคนก็ช่วยกันหาทางวิ่งเต้นไม่ให้ลูกเป็น แต่สำหรับผม พ่อผมอยากให้ฝึกความลำบาก ลำบากก่อนแล้วค่อยสบายทีหลัง"
เติมเล่าถึงการเลี้ยงลูกของพ่อชูวิทย์อีกว่า "พ่อผมเป็นคนดุครับ แต่เขาก็ปล่อยลูกอยากทำอะไรก็ทำ เพียงแต่ให้มันอยู่ในกฎระเบียบ ไม่เลยเถิดเกินไป"
สำหรับการใช้ชีวิตในค่ายทหาร เติมบอกว่า "ก็เหนื่อยครับ อยู่กับคนหมู่มาก ทำอะไรก็ทำตามเขา ไม่มีอภิสิทธิ์อะไร เพื่อน ๆ ก็มีปฏิกิริยาทั่วไป แรก ๆ เขาก็แปลกใจว่ามาได้ไง แต่พออยู่ด้วยกันก็ไม่ได้แปลกแยก เขาวิ่งก็วิ่งตามเขา เขาฝึกก็ฝึกตามเขา"
"สองเดือนครึ่งถึงได้ออกจากค่ายไปเจอพ่อทีหนึ่ง" เขาว่า
ถึงแม้จะมีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวนอกค่ายน้อยลง แต่ความรักของเขากับแฟนที่คบกันมา 3-4 ปี ที่เดือนสองเดือนถึงได้เจอกันที ก็ไม่มีปัญหาอะไร "เขาเข้าใจดีครับ" หนุ่มเติมพูดถึงคนรักอย่างไม่ปิดบัง
การเป็นทหารให้อะไรกับวัยรุ่นคนนี้บ้าง ?
"ได้ความอดทนครับ ก่อนหน้านี้ผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป พอมาเป็นทหารก็มีวินัยมากขึ้น มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา หลังจากเป็นทหาร พ่อเห็นความเปลี่ยนแปลงจนตกใจเลยครับ เพราะปกติผมก็ชอบไว้ผมยาวตามประสาวัยรุ่น แต่ตอนนี้ตัดผมทุกสองสัปดาห์ ก็เปลี่ยนตัวเองพอสมควร"
เติมบอกว่าอยู่ในกรมมาประมาณ 8 เดือน เหลืออีก 4 เดือนก็จะครบกำหนดออกจากกรม พอถามต่อไปว่าหลังจากนั้นวางแผนจะทำอะไร
"ผมคิดว่าจะสมัครเป็นทหารต่อครับ ผมว่าผมชอบแนวนี้แล้ว ถึงแม้จะฝึกหนักก็ตาม"
คิดว่าจะเป็นทหารไปอีกนานเท่าไหร่ จะออกไปทำอย่างอื่นไหม ?
"อยากรับราชการไปเรื่อย ๆ ครับ"
แล้วคุณพ่อว่ายังไงกับเรื่องนี้ ?
"คุณพ่อก็โอเคอยู่แล้วครับ เขาก็อยากให้เป็น"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนุ่มเติมก็ยังไม่ได้วางอนาคตตัวเองไว้ชัดเจน ยังไม่รู้ว่าจะสมัครหน่วยไหน เหล่าไหน หรือลงรายละเอียดอะไร เขาบอกแต่เพียงว่า "อยากรับราชการทหาร"
ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าลูกชายนักธุรกิจ-นักการเมืองที่มีพร้อมทั้งฐานะ หน้าตา และการศึกษาอย่างเขาจะเอาจริงเอาจังกับการเป็นทหารอย่างที่พูดไว้แค่ไหน