‘I Fine Thank You…Love Him’ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
“ดากานดา...ฉันรักแกว่ะ”
นี่เป็นหนึ่งในประโยคเด็ดของหนังรักระดับตำนานของไทยเรื่องหนึ่งที่ 24/7 คาดว่าแม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 10 ปี แต่เราก็ยังจาประโยค Climax ของ ‘เพื่อนสนิท’ ได้แม่นพอๆ กับที่เราจาก ‘ไข่ย้อย’ ได้
วันนี้จากพระเอกหน้าใหม่ที่ผ่านงานโฆษณามาไม่กี่เรื่องก็ได้รับโอกาสได้เล่นหนังเรื่องแรก และขึ้นแท่นพระเอก 100 ล้าน ชื่อของ ‘ซันนี่ ซี สุวรรณเมธานนท์’ นักแสดงหนุ่มลูกครึ่งไทย สิงคโปร์ และฝรั่งเศสก็เริ่มเป็นที่รู้จัก
ก่อนที่ในเวลาไม่นานเขาก็กลายเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าผู้มีเครื่องหมายการค้าเป็นหน้าง่วงๆ หล่อๆ ขี้เล่นอารมณ์ดีที่ใครๆ ก็ชอบ ล่าสุดหนังเรื่องที่ 5 ของเขา ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว เลิฟยู้’ เพิ่งเข้าฉายและสร้างสถิติหนังไทยเรื่องใหม่ที่ทำรายได้เปิดตัวอันดับ 1 โดยกวาดไปถึง 29 ล้านบาท! (ชนะ ‘พี่มาก..พระโขนง’ ไปเกือบ 8 ล้านบาท) และเพียง 5 วันก็ทะลุไป 100 ล้านบาทอย่างรวดเร็ว!
ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้ซันนี่ ที่ตอนนี้ขึ้นแท่นพระเอก (เกิน) 100 ล้านเรื่องที่ 2 ในชีวิตไปแล้ว
แม้ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีในวงการบันเทิงของซันนี่จะมีผลงานไม่เยอะ แต่ทุกครั้งที่เขามีงานใหม่ๆ ก็จะมีแฟนคลับมากมายที่พร้อมสนับสนุนเขาเสมอ แสดงให้เห็นว่าจำานวนของผลงาน หรือความถี่ในการออกอีเวนต์ (ที่เจ้าตัวแทบไม่เคยออกเลย) ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำาให้ซันนี่กลายเป็นนักแสดงชั้นนำา แต่คุณภาพต่างหากที่ทำให้ทุกคนรักเขา แม้ซันนี่เป็นนักแสดงที่บังเอิญจับพลัดจับผลูได้เล่นภาพยนตร์โดยที่เขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าเดินมาถูกทางหรือเปล่า
เพราะตอนแรกเขาไร้ซึ่งความกระหายอยากที่จะเป็น ‘นักแสดง’ทว่า ‘เพื่อนสนิท’ ก็เบิกเนตรให้รู้ว่า ซันนี่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงไม่ใช่พยายามจะเป็นนักแสดง แม้ผู้กำกับยังไม่สั่ง ‘แอ็คชั่น’ เขาก็พร้อมที่จะสวมบทเป็นตัวละครตัวนั้นตั้งแต่วันแรกที่เขาเลือกทั้งบทเป็น ‘จ๊อก’ (สายลับจับบ้านเล็ก) ‘จอน’ (รัก 7 ปี ดี 7 หน) ‘วุฒิ’(ชัมบาลา) ‘โจศักดิ์ ชาญนารี’ (เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร) และแน่นอน ‘ยิม’สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทในการทำงานของเขาในฐานะ‘มืออาชีพ’
ถึงซันนี่จะถูกมองว่าเลือกบท อินดี้ และติสต์แตก อย่างที่สื่อบันเทิงให้ฉายาไว้ แต่ในความเป็นจริงการเลือกบทของเขาก็คือการหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่เชื่อมโยงเขากับตัวละครตัวนั้น อีกทั้งยังบอกใบ้เป็นนัยลึกๆ ว่าหนังเรื่องนั้นต้องมีแง่มุมอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ไม่อย่างนั้นซันนี่คงไม่เลือก
ตลอดเวลาที่เราพูดคุยกับเขาเขาพูดประโยคหนึ่งออกมาบ่อยมากว่า อาชีพนักแสดงขับเคลื่อนชีวิตเขา และไม่มีอาชีพไหนที่ทำให้เขารู้สึกรักได้เท่านี้อีกแล้วเราเชื่อว่าซันนี่พูดจริงแน่นอนว่าเราเชื่อว่าเขาคือ ‘นักแสดง’ ตัวจริงด้วยเช่นกัน
ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นคุณเล่นหนังเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงเลือกเล่นหนังเรื่องนี้
ซันนี่ : ผมจะเลือกบทที่ผมรู้สึกว่าเรารักมันจริงๆ ซึ่ง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้วเลิฟยู้’ ก็คือหนึ่งในหนังที่ผมเห็นแล้วรู้สึกรักเลย ปกติหนัง‘ยิม’ เรียนมาคนละสาย พฤติกรรมก็คนละแบบ สังคมที่ยิมอยู่กับสังคมที่ผมอยู่นี่คนละเรื่องเลย ตอนได้บทยิม ผมก็คุยกับผู้กำกับ(เมษ ธราธร) ว่าเราอยากจะให้คนนี้เป็นยังไง เราอธิบายภาพให้เขาเห็นไปกับเรา เพื่อที่จะปรับคาแร็กเตอร์ให้น่าสนใจ
โดยใส่รสนิยมของเราลงไปแบบที่ไม่ขัดกับคาแร็กเตอร์ที่ผู้กำกับคิดไว้ผมใช้คำว่าเรา ‘ใส่เสน่ห์’ ของเราลงไปในตัวยิมด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเขาเอาคนอื่นมาเล่นแทนเราก็ได้
อาชีพนักแสดงให้อะไรกับคุณ
ซันนี่ : ให้ความสุข ให้พลังขับเคลื่อนชีวิต ให้โลกใหม่ผมเลย ตอนแรกที่เขาเรียกผมมาแคสติ้งก็กดดันนะ เพราะมันไม่ใช่อาชีพที่เราเคยเรียนมาก่อน และไม่เคยคิดเลยว่าจบไปจะทำอาชีพนี้ เราค่อนข้างจะมีความคิดแปลกแยกมากกว่าคนอื่น อย่างสมมติทำงานกลุ่มที่มหา’ลัย เพื่อนคนนึงจะบอกว่า เฮ้ย! เราทำแบบนี้สิดี ใครๆ ก็ทำกันทุกคนเห็นด้วย แต่ผมจะรู้สึกว่า เอ่อ...กูว่าทำแบบนี้ก็ได้นะ ไม่เห็นต้องไปทำตามใครเลย
แต่ผมไม่อยากเถียงกับคนอื่นๆ เถียงไปมันก็ด่าผมว่า ไอ้ซันนี่แม่งติสต์ (หัวเราะ) แต่พอเราได้มาเป็นนักแสดง ปรากฏว่า ผมเจอแต่คนที่เข้าใจเรา และอธิบายให้เราเข้าใจได้ว่า ต้องทำแบบนั้นเพราะอะไร ผมเคยพูดกับพี่เอสว่า “พี่ให้ผมทำแบบนี้ ผมทำไม่ได้หรอก คาแร็กเตอร์ผมไม่ใช่คนแบบนี้” พี่เอสตอบกลับมา ว่า “พี่เชื่อว่าซันนี่ต้องทำได้ เพราะซันนี่เป็นนักแสดง” เขาไม่ได้กวน ผมนะ แต่เขาพูดจากใจจริง ผมเลยรู้สึกว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา พี่เอสไม่ได้หาแค่ใครสักคนมารับบทนี้เท่านั้น แต่เขาเลือกด้วยความเชื่อใจว่าเราจะรับบทนี้ได้
ทุกวันนี้คุณจัดการกับคำาวิจารณ์ที่เจออย่างไร
ซันนี่ : ผมโดนวิจารณ์ตลอดเลยนะ ว่าเล่นแข็งบ้าง หน้านิ่งบ้างพูดไม่รู้เรื่องบ้าง (หัวเราะ) แต่ผมรับฟังทุกคน ไม่เคยแอนตี้เลย ยกเว้นเป็นคำวิจารณ์จากคนประเภทที่เอาแต่นั่งจับผิดคนอื่นโดยที่ไม่เคยคิดจะสร้างสรรค์อะไร ถึงจะบอกว่าเฮ้ย! เราติเพื่อก่อนะ แต่ผมรู้สึกว่าถ้าคุณไม่มีความสามารถในการติคน มันก็ไม่ก่อให้เกิดอะไร มันเสียเวลาผมรู้สึกแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าเรามีความสามารถหรือเปล่า
แต่ผมก็เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะถ้าเราไม่เชื่อมั่น เราจะไม่สามารถเป็นตัวละครนั้นได้ เรื่องคำวิจารณ์ ใครเล่นเป็นอย่างไร บางทีก็อยู่ที่รสนิยมของคนวิจารณ์ล้วนๆ ถ้าจะบอกว่าใครดีกว่าใคร แต่ผมเชื่อว่า“สมมติเราเจอคนที่รู้สึกว่าผมรักเขามาก ผมอยากแต่งงานกับเขามาก แม้จะรู้ว่าอนาคตเราอาจเลิกกัน ผมก็แต่งนะ ไม่เสียใจ”
ถ้าเราเข้าถึงบทบาทนั้น และเล่นด้วยความรู้สึกที่ออกมาจริงใจมันออกมาดีที่สุด ดีกว่าใช้เทคนิคช่วยทำให้มันดีเสียอีก
คิดว่าคุณดังหรือยัง
ซันนี่ : ใช้คำว่าดังเลยเหรอครับ ผมไม่ใช่ประทัดนะ (หัวเราะ) ก็อาจมีคนที่พอจะคุ้นหน้าเราบ้าง มีเดินมาถามว่า ผมเป็นใคร ผมก็ตอบอ้อ! ผม ‘หาญ หิมะทองคำ’ ผม ‘สเตฟาน’ ครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าเราไปไหนคนเดียวเราจะกดดันนิดนึง เพราะมีคนมอง ไม่รู้ว่ามองเพราะจะต่อยผมหรือเปล่า (หัวเราะ)
ความตั้งใจในการทำงานที่คุณมีมาจากไหน
ซันนี่ : ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมเป็นคนที่กลัวการเอาเปรียบคนมากๆ อยู่แล้ว ถ้าสมมติผมทำอะไรไม่เก่ง ผมไม่กล้าที่จะเอาตัวเองไปทำในสิ่งที่เขาจ้างมาด้วยความคาดหวังเลย แต่ผมจะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดี และมั่นใจก่อนถึงค่อยกล้าไปรับงาน แม้งานง่ายๆ อย่างออกอีเวนต์ ไปร้องเพลง หรือไปเดินแบบ สำหรับผมมันยากมาก ผมจะปฏิเสธให้โอกาสคนอื่นที่ทำงานนี้ได้ดีกว่าผมดีกว่า โดยธรรมชาติของเราเป็นนักแสดงทำงานอย่างอื่นคงไม่ถนัดนัก
แต่ก็เคยเห็นคุณไปเป็นพิธีกรรายการ ‘หนึ่งวันเดียวกัน’ นะงานแบบนี้ถนัดด้วยเหรอ
ซันนี่ : ผมบอกเขาตั้งแต่แรกว่าผมทำไม่ได้ เอาคนอื่นเถอะ (หัวเราะ) แต่เขายืนยันว่าอยากจะให้เราเป็นพิธีกรคู่กับ เปอร์ (สุวิกรม อัมระ-นันทน์) พอได้คุยเนื้อหารายการแล้วมันน่าสนใจมาก เราจะได้เดินทางไปเจอคนที่ทำงานสายอาชีพต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยเขาก็ทำงานนั้นด้วยความรักจริงๆ แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกนี้มีคนทำงานแบบนี้ด้วย
วัยเด็กของคุณมีผลอะไรกับการเป็นนักแสดงในทุกวันนี้ไหม
ซันนี่ : ผมชอบดูหนังทุกแนวตั้งแต่เด็กๆ เลย พี่ชายมักจะเช่าวิดีโอมาดูกับผม โดยที่เช่ามาแล้วก็ไม่ได้เอาไปคืน จะเช่าแล้วตบมาเลย(หัวเราะ) ผมชอบหนังเพราะว่าหนังมีพลังอยู่ในตัวเองที่สามารถตรึงให้เราอยู่กับมันได้ โดยที่เราก็ไม่ได้รู้ตัวว่าโตขึ้นจะเป็นนักแสดง ผมเป็นนักแสดงโดยความบังเอิญล้วนๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ตอนที่เขาโทรให้ผมไปแคสติ้ง ผมยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ผมบอกทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ปฏิเสธไปเลย สักพักหนึ่งพี่คนเดิมก็โทรมาอีก คนที่โทรมา
ก็คือ ครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแอ็คติ้งโค้ชอยู่ ตอนนี้เป็นคุณครูไปแล้ว
ขยายความเรื่องพลังของหนังที่คุณรู้สึกให้หน่อย
ซันนี่ : ผมรู้สึกว่าสื่อบันเทิงที่มีพลังที่สุดก็คือหนังนี่แหละ ต่อให้เราดู DVD ที่บ้าน ไม่ต้องไปดูที่โรงหนัง แต่หนังก็ยังส่งพลังออกมาได้ ละครหรือซีรีส์มีความสนุกผมไม่เถียง แต่พลังที่ตรึงคนดูยังมีไม่มากเท่าที่หนังทำได้ ผมเคยดูหนังคนเดียวอยู่ที่บ้านหลายๆ เรื่องที่ดูจบผมนี่ลุกยืนขึ้นปรบมือคนเดียวเลย (หัวเราะ) เพราะมันตรึงเราให้อยู่กับมันจนจบได้ เรื่องล่าสุดที่ผมยืนขึ้นปรบมือ ให้คือ ‘Saving Mr. Banks’ (สุภาพบุรุษนักฝัน)
มันไม่ใช่หนังอาร์ต หนังเด็กแนวอะไร มันคือหนังกระแสหลักทั่วไปนี่แหละ แต่ถ้าคุณได้ดูจะรู้เลยว่า นี่คือศาสตร์ของการทำภาพยนตร์จริงๆ ที่ผมรู้สึกได้ว่าคุณไม่ต้องพยายามทำงานอาร์ตๆ ทำงานแนวๆ ออกมา แค่คุณทำหนังที่เล่าเรื่องแล้วคนดูเห็นภาพด้วยความตั้งใจ ด้วยความละเอียด เท่านี้ผมก็ยกมือไหว้แล้วว่าพี่สุดยอด
ตลอดเวลา 10 ปีคุณเห็นพัฒนาการอะไรของจีทีเอชบ้าง
ซันนี่ : ในแง่ของคุณภาพการถ่ายทำผมเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นนะคุณภาพของงานคมชัดขึ้น เรามีกระบวนการถ่ายทำที่ง่ายขึ้นเพราะเราใช้ระบบดิจิตอลกันเกือบหมดแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรายังถ่ายหนังด้วยฟิล์มอยู่ ก่อนจะเล่นจริงเราก็เลยต้องซ้อม เพราะฟิล์มม้วนหนึ่งถ่ายได้ 4 นาที และแพงมาก การที่ผมเติบโตมาตั้งแต่ในยุคฟิล์ม ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอล ก็ทำให้ผมติดนิสัยถ่ายยังไงไม่ให้กินฟิล์มมาจนถึงทุกวันนี้ ผมจะชอบถ่ายเยอะๆ ให้มันใช้ได้ไว้ก่อน เวลาจำเป็นต้องใช้จะได้มีให้เลือกเยอะ แต่นั่นหมายถึงผมก็ต้องเล่นให้ดีทุกครั้ง ไม่ใช่ถ่ายเยอะเพราะคัตทิ้งๆ ขว้างๆ
เรื่องบทของจีทีเอชก็ยังคงให้ความสำคัญอยู่ ที่นี่เสียเวลากับการพัฒนาบท 2-3 ปี ผมไม่เคยกังขาในความสามารถของทีมเขียนบทของจีทีเอชเลย ผมเชื่อว่าทุกคนทำงานอย่างสุดความสามารถ หากคนจะมาด่าว่าหนังจีทีเอช บทห่วย บทอ่อน ก็คงเพราะเขาอาจมีความสามารถแค่นั้นในสายตาคุณแหละ แต่ในสายตาผมพวกเขาทำออกมาอย่างตั้งใจ มันคงไม่มีใครบ้าอยู่กับเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ หลายปีแน่นอนถ้าไม่รักกันจริงๆ
กับคนในจีทีเอชที่คุณร่วมงานด้วยล่ะ รู้สึกอย่างไรกับพวกเขาบ้าง
ซันนี่ : เราเห็นถึงความตั้งใจ เจตนาที่ดี มีแนวทางที่ชัดเจน และมีความเก่งในตัวแต่ละคน อย่างพี่เอส (คมกฤษ ตรีวิมล) ผมเห็นเค้าติ๊งต๊องมาตลอด กว่าผมจะเข้าใจว่าเขาเก่งนี่นานมากเลยนะ (หัวเราะ)ตอนที่ผมรู้ว่าพี่เอสนี่ไม่ธรรมดานะ ก็ตอนที่ผมปรึกษาเขาเรื่องบทหนังสั้น เขาพูดแนะนำมาแต่ละคำ ผมรู้เลยว่าถ้าเขาไม่ใช่คนที่แม่นจริง หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เขาจะไม่สามารถให้ความเห็นดีๆออกมาแน่นอน ก็ปกติเขาชอบทำตัวติ๊งต๊อง ไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้ว่าเขาเก่งเลยนี่ (หัวเราะ)
การเป็นผู้กำกับมันดูยากว่าใครของจริง ไม่เหมือนกับเตะบอลทีเก่งเราดูออก แตทำหนังเก่ง เราไม่รู้จนกว่าจะได้ดูจากทัศนคติ ดูจากความคิดของเขา เราจะเข้าใจเลยว่าคนนี้เก่ง ผมนับถือตั้งแต่เขารักในสิ่งที่ทำและพยายามทำให้มันดีและตั้งใจคนอาจจะมองว่าฝีมือยังไม่เท่าไหร่ แต่คนที่เชื่อในทิศทางตัวเอง ผมนับถือด้วยใจ หลังจากวันนั้นผมก็เข้าใจได้เองว่าทุกคนในจีทีเอช มีความเก่งในตัวเองกันทั้งนั้น ถึงบางคนจะดูตลกๆ ติ๊งต๊องไปหน่อยก็เถอะ (หัวเราะ)
คุณเคยนับถือศาสนาคริสต์ แต่วันนี้คุณไม่มีศาสนาแล้วเพราะอะไร
ซันนี่ : ผมเชื่อในความดี แต่ผมแค่ไม่พึ่งพา หรือขอความช่วยเหลือจากศาสนา ถ้าเกิดไม่จมนำตายจริงๆ ผมจะไม่ยื่นมือขอให้ใครช่วย ผมเข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน มันจะมีคนที่อ่อนแอ และมีคนที่เข้มแข็ง เพราะมนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง หลักศาสนาคริสต์บอกว่าจะมีใครบางคนจากฟ้ารอช่วยคุณอยู่ในเวลาที่เราหมดหวังมากๆ เช่น เวลาที่เราอาจกำลังป่วยใกล้ตาย ถ้าเกิดเขาไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ เขาอาจหมดกำลังใจสู้และดับไปเลย
แต่คนที่มีศรัทธาเขาเชื่อว่า พระเจ้าอยู่ข้างเขาเสมอ เขาจะมีความหวังและสู้ต่อ ศาสนาไม่ใช่เรื่องงมงาย มันเป็นหลักจิตวิทยาที่ส่งผลต่อคนเราได้จริงๆ แต่ผมเลือกที่จะไม่พึ่งพระเจ้า ผมพึ่งตัวเอง ก็ต้องช่วยตัวเอง อย่างเจอผีนี่ผมซวยแล้วนะ เพราะสวดมนต์ก็ไม่เป็น พระเจ้าคงไม่ช่วย (หัวเราะ)
จุดเปลี่ยนที่คุณตัดสินใจไม่พึ่งพาศาสนามาจากเรื่องอะไร
ซันนี่ : ผมเกิดเหตุสูญเสียศรัทธาครับ ช่วงระหว่างที่ผมอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 6 กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย บ้านผมโดนโกงและล้มละลาย ตอนนั้นเราเสียใจว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ทำไมสิ่งที่เราศรัทธาถึงไม่มาช่วยเรา และผมเห็นแม่สวดอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยให้ครอบครัวเราผ่านสถานการณ์ยำแย่นั้นไปให้ได้ วันที่ผมรู้สึกเสียศรัทธาผมเดินไปพูดกับแม่เลยว่า “หม่าม้า ไม่มีใครบินลงจากฟ้ามาช่วยเราหรอก” แล้วหลังจากวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่าเราจะไม่พึ่งใครอีกต่อไป ตอนนั้นพูดไปด้วยความห้าวล้วนๆ นะ(หัวเราะ)
คิดว่าซันนี่ในตอนนั้นคิดถูกไหม
ซันนี่ : มันก็มีความถูกอย่างหนึ่ง คือทุกคนต้องพึ่งตัวเอง จะหวังอะไรกับคนอื่น จะหวังให้มีปาฏิหาริย์มาช่วยคุณคงไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดจากตัวคุณเองทั้งหมด หลังจากวันนั้นมันทำให้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยไหว้วานใคร หรือหวังกับอะไรที่เราไม่ควรคาดหวัง เช่น ถ้าให้ใครยืมเงินไปแล้ว อย่าหวังว่าจะได้คืน ผมไม่เคยได้คืนอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ศาสนานะ ต้องอธิบายก่อนว่าในวันนั้นผมสูญเสียศรัทธาจริงๆ แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ทุกศาสนาสร้างขึ้นมาเพื่อให้
ทุกคนเลือกหลักในการใช้ชีวิตของตัวเอง แต่หลักการใช้ชีวิตผมก็คือเชื่อในความดีและเชื่อในสิ่งดีๆ ที่ตัวเองทำ
คิดว่าคุณเป็นคนดีไหม
ซันนี่ : ผมเป็นคนนิสัยเสียสูง ผมดื้อ เอาแต่ใจ งอแง ขี้โมโหด้วย แต่ผมคิดว่าเราเป็นคนที่มีจิตสำนึกดี
ดูเป็นคนที่เชื่อในความดีมากเลย ตอนเด็กครอบครัวสอนอะไรคุณบ้าง
ซันนี่ : ที่จำได้คือ พ่อ แม่ และพี่ทุกคนเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผม แม่ผมไม่เคยโกงใคร ชอบช่วยเหลือคนอื่น คิดดี ทำดี พ่อก็เป็นนักธุรกิจที่เก่งและอยู่บนเส้นทางความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด ส่วนพี่ผมจะดุเวลาที่ผมทำอะไรไม่ดี จำได้แม่นเลยคือมีวันหนึ่งผมเล่นไพ่เขี่ยกับเพื่อน พี่ผมเห็นก็วิ่งมาด่าเลยว่า “อย่าทำแบบนี้ อย่าเล่นพนัน เกลียดคนเล่นพนัน” ผมก็เลยไม่เล่นไพ่เขี่ยอีกเลย ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดยา ไม่ทำอะไรที่ทำให้คนในบ้านไม่สบายใจเลย ที่คิดได้แบบนี้ ส่วนนึงเพราะครอบครัวที่หล่อหลอมเรา และเราก็คิดได้เองว่าอะไรควรไม่ควร ที่แน่ๆ ผมรับตัวเองไม่ได้ ถ้าทำอะไรไปแล้วพ่อ แม่และพี่รู้สึกไม่ดี
คนที่ดูเข้มแข็งอย่างคุณเวลาท้อทำยังไง
ซันนี่ : มันมีท้ออยู่แล้ว ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าหลายอย่างมันจะไม่ได้ดั่งใจเราไปเสียหมด แต่เชื่อไหมเวลาที่ผมเจอเรื่องเลวร้าย ท้อแท้ ผมจะทำเรื่องบ้าๆ แบบหนึ่งที่ผมเริ่มทำมาตั้งแต่วันที่ผมพูดกับแม่ว่า“ไม่มีใครบินจากฟ้าลงมาช่วยหม่าม้าได้หรอก” ก็คือผมชี้ขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดคนเดียวว่า “แค่นี้เองเหรอ กระจอกมาก เอาผมไม่ลงหรอกมาอีกก็ได้นะ ผมสู้ได้ เพราะผมคือ The Dark Knight” (หัวเราะ)
ผมพูดออกมาจริงๆ นะ ไม่ใช่คิดในใจ ผมก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนที่ฟอร์มจัด เสียฟอร์มไม่ได้ก็เลยต้องหาใครสักคนด่า ก็โทษฟ้าแม่งเลย แต่ไม่ต้องมาเยอะนะ(หัวเราะ)
มีเรื่องไหนที่เสียใจแล้วอยากกลับไปแก้ไขไหม
ซันนี่ : ผมไม่อยากกลับไปแก้อะไรเลย ผมรู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ คนเรามันต้องเจอทั้งเรื่องร้ายแรง เจอทั้งเรื่องดี มันถึงจะหล่อหลอมให้เรามีตัวตนแบบนี้ ช่วงเวลาขณะนั้นกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มันสอนให้เราคิด ให้ทำอะไรในแบบที่วันนี้เราคงทำไม่ได้ ก็เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเขียนอะไรออกมาได้ แล้วพอมาอ่านวันนี้ผมมีความรู้สึกว่าเราเขียนอะไรแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซำว่าเพราะอะไร ผมเลยอยากจะเก็บเวลาที่เราเคยผ่าน และทำมาแล้วไว้อย่างนั้นดีกว่า
สมัยก่อนเวลาเสียใจผมจะเป็นคนที่ฟูมฟาย วันหนึ่งผมถามตัวเองว่า ที่มึงฟูมฟายนั่นคือมึงเสียใจจริงๆ หรือเปล่า มึงเสียใจเพราะดูละครมากไป หรือเสียใจเพราะคนบอกว่าต้องเสียใจ เราทำกันเป็นระเบียบปฏิบัติหรือเปล่า พอเราได้คำตอบว่า เฮ้ย! ก็เสียใจนะ แต่มันไม่ขนาดนั้นหรอก เราก็คิดได้ และเข้าใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยที่เราเลิกฟูมฟายไปเอง
เคยวางเป้าหมายของชีวิตไว้หรือเปล่า
ซันนี่ : ชีวิตผมไร้สาระมาตลอดเวลา (หัวเราะ) แต่บังเอิญโชคดีได้เจอสิ่งที่ผมรัก และผมรู้สึกว่าผมจะทำสิ่งนี้ให้ได้ไปตลอดชีวิต ไม่งั้นผมคงนอนเฉยๆ โดยที่ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เพราะเราไม่มีแรงบันดาลใจที่จะผลักดันให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรเลย แต่เราคิดอยู่แล้วละว่าอนาคตจะทำอย่างไร และพยายามใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ตลอดเวลา ผมไม่ได้ใช้ชีวิตไปมั่วๆ เราคิดอยู่เสมอว่าจะทำอะไรแต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตตามครรลองของสังคมที่ต้องมาตีกรอบว่าต้องทำแบบนี้ชีวิตถึงสมบูรณ์ อายุเท่านี้เราต้องแต่งงาน ถ้ามีเงินขนาดนี้ต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ มีลูก ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนที่ชีวิตไม่เพียบพร้อม เชื่อไหมผมไม่เคยคิดอยากจะทำาอะไรตามขนบสังคมแบบนั้นเลย ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็นดีกว่า
ดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงมากเลยนะ
ซันนี่ : จริงเหรอ หลายคนบอกผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนะ พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ) ผมอาจไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากมายเท่าไหร่ แต่ผมเชื่อมั่นในทิศทางที่เราเดินไป ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าทางที่เดินอยู่มันคือทางที่ถูกต้องหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ แต่เรา ‘เชื่อในสิ่งที่เฮ็ดเฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ’ (หัวเราะ) ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำมันดีแล้ว เจตนามันดี และไม่ทำร้ายใคร ผมว่าเราอย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้นผู้ชนะครับ (หัวเราะ)
ผู้ชายแบบซันนี่มีมุมมองเรื่องความรักอย่างไร
ซันนี่ : มีหลายช่วงเวลานะ เราเคยงี่เง่าก็มี ซึ่งผมจะเกลียดตัวเองเวลาที่งี่เง่ามากๆ (หัวเราะ) แต่เมื่อโตขึ้นมาผมก็เข้าใจแล้วว่าความรักมีช่วงเวลาของมัน ถ้าเราชอบใครสักคนเราจะไม่ได้ชอบเขาไปชั่วชีวิตหรอก แต่เราจะจำความสุขในช่วงเวลาหนึ่งไว้ได้ ผมไม่เชื่อว่าผู้ชายผู้หญิงจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตแบบ Soul Mate ผมรู้สึกว่าความรักมันมีจริงนะ แต่การพลัดพรากจากความรักมันก็มีจริง
ผมก็ไม่กลัวที่จะมีความรักนะ สมมติเราเจอคนที่รู้สึกว่าผมรักเขามาก ผมอยากแต่งงานกับเขามาก แม้จะรู้ว่าอนาคตเราอาจเลิกกัน ผมก็แต่งนะ ไม่เสียใจ มันคือชีวิตของเรา คือช่วงเวลาดีๆ ที่เราอยากจะจดจำไว้ สุดท้ายความรักจะจบยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ ณ ขณะนั้นเรามีความสุขก็มีความสุขอยู่กับความรักนั้นไปก่อนเถอะ
ทุกวันนี้มีความสุขกับเรื่องอะไร
ซันนี่ : (ตอบเร็ว) การแสดงครับ ผมมีความสุขกับการแสดงมาก จริงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปเจอเพื่อนๆ ไปเตะบอลกับเพื่อนก็มีความสุขนะ แต่การแสดงมันทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ผมรักการแสดงขนาดที่ว่าถ้าวันไหนเราไม่ได้ทำเราก็คงเสียใจ เลยไม่เคยคิดวางแผนจะรีไทร์เลย ยกเว้นมีเหตุการณ์ทำให้ผมไม่สามารถแสดงได้แล้ว
ผมเคยฟังคนอื่นบอกว่าทำงานถึงอายุ 40-50 ปี พอรวยแล้วจะเกษียณไปใช้ชีวิตต่างจังหวัด ผมรู้สึกว่า อ้าว...แปลว่าคุณไม่ได้รักในสิ่งที่คุณทำเหรอ ผมทิ้งไม่ได้นะ ผมไม่เคยเหนื่อยกับมันเลย ถ้าผมเจอในสิ่งที่ผมรักแล้ว อยู่ดีๆ มาบอกให้ผมเลิกทำตอน 40 แล้วให้ผมเกีษยณไปอยู่ต่างจังหวัด ผมไม่เอานะ
คุณชอบร่วมงานกับคนแบบไหน
ซันนี่ : ผมอยากร่วมงานกับผู้กำกับที่เขามีเจตนาที่ดี และตั้งใจทำงานจริงๆ ถ้ามีคนมาเสนอบทหนังสองประเภท แบบแรกส่งบทมาให้แล้วบอกผมว่า เขาอยากจะทำหนังแนวนี้ ไม่รู้หรอกว่าจะมีคนดูไหม แต่เขาตั้งใจที่จะทำมันมากๆ กับอีกคนหนึ่ง เอาบทมาเสนอแล้ว บอกว่าเรื่องนี้ขายชัวร์ไม่ตำกว่าร้อยล้านบาท คุณดังชัวร์ ผมเลือกแบบแรกดีกว่า (หัวเราะ) เพราะผมเห็นความตั้งใจของเขามากกว่า
แนวคิดดูคล้ายๆ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เลยนะ
ซันนี่ : โอ้ย! ไอ้จ่อยมันเก๊ก (หัวเราะ) แต่ผมได้จากสิ่งที่อนันดาพูดมาอย่างหนึ่ง แล้วผมจำมาจนถึงทุกวันนี้คือ “ถ้าเราเห็นคนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ ต่อให้เขาทำงานออกมาได้ไม่ดี แต่ถ้าเขามีเจตนาที่ดี เราช่วยเขาได้ อย่าไปตัดสินใครเพียงแค่ว่าเขาทำไม่ถูกใจเรา ถ้าเขามีความฝันแล้วเรามีพลัง เราควรช่วยสนับสนุนความฝันของเขา” ซึ่งคนส่วนมากจะปฏิเสธที่จะช่วยผลักดันคนอื่น แต่อนันดาเป็นคนที่เทคแคร์คนรอบตัว เขาพร้อมจะช่วยทุกคน ถ้าคนคนนั้นมีเจตนาที่ดี ไม่รู้มันโม้หรือเปล่า มันอาจทำตัวหล่อๆ ไปแบบนั้นก็ได้ (หัวเราะ)
ถ้าวันนี้ไม่เป็นนักแสดงคิดว่าคุณจะทำอะไรอยู่
ซันนี่ : ตอนมาแคสติ้งเรื่องเพื่อนสนิท ผมอ้วนมากเลยนะ หนัก 80 ผมยาวรุงรัง ไม่มีเค้าโครงที่จะเป็นนักแสดงได้เลย (หัวเราะ) ถ้าวันนั้น ผมไม่ได้เล่นเรื่องเพื่อนสนิท ป่านนี้ผมอาจจะนอนใต้สะพานลอยก็ได้ (หัวเราะ)
กว่าจะมาถึงวันนี้คุณเสียอะไรไป และได้อะไรมา
ซันนี่ : ผมไม่เสียอะไรเลย ผมเจอแต่คนที่รัก เจอแต่คนดีๆ เจอเรื่องที่ขับเคลื่อนชีวิตเรามากมาย เจอแต่เรื่องสนุกๆ ทุกวัน ที่ทำให้เราเลี้ยงชีพได้ด้วย สามารถให้เงินครอบครัวได้ด้วย “ผมรับตัวเองไม่ได้ ถ้าเราจะมาอ้างว่าเราไม่พร้อม ไม่มีอารมณ์ นี่คืออาชีพผม มันเป็นงานที่ผมรัก แล้วไม่สามารถพลาดจุดใดได้เลย”
คำถำมที่โดนถามบ่อย
“ผมจะโดนถำมจำกนักข่าวบ่อยๆ อยู่เสมอ 2 คำถำมคือ ‘ทำไมติสต์จัง’ กับ ‘ทำไมพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง’(หัวเรำะ) ทุกวันนี้ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเราพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ เหรอ และผมก็ว่ำผมเป็นคนปกตินะ ไม่ได้ติสต์อะไรเลย เราแค่อาจทำไม่ตรงขนบนักแสดงทั่วๆ ไปก็ได้ก็เลยโดนมองว่ำติสต์
DiD You Know?
• ในบัตรประชาชนของซันนี่ ไม่ระบุว่าเขานับถือศาสนาอะไร
• ซันนี่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และเพิ่งจะไปทำใบขับขี่เมื่อไม่นานมานี้ เพราะจำเป็นต้องใช้ในการถ่ายซีรีส์
• ภาพยนตร์สามเรื่องที่ซันนี่ดูบ่อยและชอบมากที่สุดสมัยเด็กๆ คือ Back to The Future, คนตัดคน และโหดเลวดี นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ชอบดูหนังได้ทุกแนว ตั้งแต่หนังตลกไปจนถึงหนังดราม่าหนักๆ
• สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก่อนที่จะมาเป็นนักแสดงเขาเคยเป็นนักดนตรี วงเดอะคิงคองโปรเจคส์เป็นอาชีพเสริมมาก่อน
• ซันนี่เคยเขียนบทและกำกับหนังสั้น 2 เรื่อง คือ‘สัมผัส’ (ปี 2553) ในซีรีส์บันทึกกรรม ทางไทยทีวีสีช่อง 3 และ ‘เรื่องระหว่างทาง’ (ปี 2555)หนังสั้นในโครงการกรุงเทพฯ เมืองสีขาว หลักสูตรโตไปไม่โกง
• ถึงจะบอกว่าเขาไม่ถนัดในการร้องเพลง แต่ก็เคยมีผลงานเพลงออกมา 3 เพลงคือ ‘คนของเธอ’ประกอบภาพยนตร์สายลับจับบ้านเล็ก (ปี 2550),‘เรื่อยเรื่อยไปจนแก่’ เพลงประกอบละครซิทคอมเนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร (ปี 2553) และ ‘พรุ่งนี้’(Acoustic Version) เพลงประกอบละครซิทคอมเนื้อคู่ The Final Answer (ปี 2557)
Credit : เรื่อง พลสัน นกน่วม, ภาพ กฤตธี อ้วนอร่ามวิไล