"วิทูวัฒน์ อังสนานนท์" ทายาทรองผบ.ตร. "ผู้ชายหลายมิติ"
คอลัมน์ Hello เซเลบ
เรียกว่าไม่มากนัก ที่จะได้เจอะเจอกับคนหนุ่มที่ชีวิตมีหลากหลายมิติ และหลากหลายมุมให้ค้นหา จนกระทั่งได้เจอกับหนุ่ม อาร์ต-วิทูวัฒน์ อังสนานนท์ ลูกชายคนกลางของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. - สนช. และ พรรณี อังสนานนท์ ที่มาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ที่ ร้าน Great American Rib ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ที่หนุ่มอาร์ตเป็นเจ้าของ ด้วยสนใจอยากจะรู้ถึงธุรกิจใหม่กับร้านอาหาร "รสดีเด็ด" ที่เจ้าตัวนำมาเปิดสาขาใหม่กลางห้างหรูก่อนจะได้พบว่า นี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของเขาเท่านั้น
หลังจากก้าวเข้าสู่ภายในร้านได้ไม่นาน หนุ่มอาร์ตก็โชว์ฝีมือทำอาหารให้เราได้ทาน ก่อนจะเปิดบทสนทนาให้เราได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นกับบทบาทต่างๆ ในชีวิตของเขาตอนนี้
"ตอนนี้ผมดูแลอะไรหลายอย่าง"
"ส่วนหนึ่งคือการเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท Best Security system เป็นบริษัทดูแลความปลอดภัยของที่บ้านที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักแถวบางนา ปากน้ำ มีพนักงานกว่า 1,000 คน อันนี้เข้ามาช่วยคุณแม่ดูแล แต่ก่อนผมแค่จัดหา รปภ.ดูแลความปลอดภัย ก่อนจะเปลี่ยนให้มันครบวงจรมากขึ้น มีระบบชัดเจน ว่าหากเกิดเหตุขึ้นขั้นตอน 1 2 3 4 ต้องทำอะไรบ้าง ดูแลทั้งการเข้าออกของพนักงาน วิดีโอวงจรปิด การจัดการลานจอดรถ ผมมีสต๊าฟทหาร ตำรวจมาช่วยปิดจุดอ่อนทั้งหมด เพราะถือว่าหากขายแค่อุปกรณ์ใครก็ทำได้ แต่ที่นี่ขายความเป็นระบบสร้างความแตกต่างจริงๆ"
"อีกส่วนหนึ่งคือการดูแลธุรกิจอาหาร คือร้าน Great American Rib ที่สุขุมวิท 36 ที่เปิดได้ 10 กว่าปีแล้ว ที่หัวหิน และเอ็มบาสซี เป็นร้านอาหารสไตล์อเมริกันแท้ๆ นำเข้าสูตร ซอส ไม้รมควันทั้งหมด และอีกร้านก็คือร้านอาหารรสดีเด็ด ที่ผมไปหุ้นกับร้าน "รสดีเด็ดสามย่าน" นำสูตรก๋วยเตี๋ยวมาขยายสาขาในศูนย์การค้าอย่างเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลเอ็มบาสซี และ too fast to sleep และก็มีแพลนจะนำเข้าหลอดไฟ LED เพื่อประหยัดพลังงานในอนาคต"
และนี่เองที่ทำให้อยากรู้ว่า ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง มาขึ้น "ห้างหรู" ได้อย่างไร
กับคุณพ่อคุณแม่
"เรื่องนี้ต้องเท้าความไปสมัยที่ผมยังเด็ก" หนุ่มอาร์ตเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
"ตอนเด็กๆ ผมไปอยู่กับคุณยายที่ฟลอริด้า ตั้งแต่ 5-6 ขวบ ท่านเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น ทำให้ผมเข้าออกร้านอาหาร ทำงานอยู่ในครัวตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ว่าเบสิกของการทำอาหารเป็นอย่างไร ปิ้ง ต้ม รสชาติไหนควรเป็นอย่างไร เรียกว่ามันอยู่ในสายเลือด"
"แล้วผมเองก็ชอบทานก๋วยเตี๋ยวมาก แบบที่รสชาติต้องจัดด้วย"
รสดีเด็ดจึงถือเป็นตัวเลือกที่คิดถึง
"รสดีเด็ด นี่ถือเป็นร้านโปรด พอเราไปกินแล้วคุยถูกคอกับเจ้าของร้านที่สามย่าน ก็คิดว่าหลายคนอาจจะชอบแต่ว่าไม่สะดวกจะมาทานไกลๆ เราก็ใช้ทฤษฎีเหมือน 7-11 ว่าหากมีความต้องการของคนซื้อแล้ว ก็นำไปเปิดสาขาดีกว่า"
เมื่อนำมาเปิดในห้างหรู จึงต้องยกระดับให้เป็น "ก๋วยเตี๋ยวระดับพรีเมียม"
"ผมมองเห็นแล้วว่า ถ้าเปิดในห้างอย่างน้อยก็ขายคนทำงานออฟฟิศได้ ซึ่งที่เอ็มบาสซีที่เราอิมพอร์ตวัตถุดิบอย่างเนื้อมา ทั้งเนื้อลิบอายด์ เนื้อซี่โครง หมูคุโรบูตะ ที่อร่อยเหมาะกับราคา 195-360 บาท ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับดี เราขายพนักงานออฟฟิศ และชาวต่างชาติได้เยอะ แถมเป็นเนื้อที่แพงด้วยซ้ำที่ขายดี"
"สำคัญคือคุณภาพที่เราละเลยไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เทรนด์อาหาร คนยอมจ่ายได้ถ้าคุณภาพดี อย่างถ้ามีความต้องการจริง แต่ผมเองไม่มีวัตถุดิบ คุณภาพของๆ ผมไม่ดี ก็ไม่ทำซะดีกว่า เดี๋ยวนี้คนยอมจ่ายได้อยู่แล้ว ขอเพียงคุณภาพและรสชาติคุ้มราคา มันไม่ใช่เรื่องใหม่ในบ้านเรา"
นอกจาก "ควบคุมดูแลด้วยตัวเองทุกขั้นตอน" จะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แล้ว สูตรที่หนุ่มอาร์ตยึดในการบริหารงานทั้ง 2 ภาคอย่างขาดไม่ได้คือ "ห้ามขี้เกียจ" และ "แบ่งเวลา" ให้ดี เพราะในวันหนึ่งๆ อาจต้องนั่งรถกระบะกับเหล่า รปภ. ไปตรวจแถวเมื่อเปิดงานใหม่ ตากแดด คลุกฝุ่น ก่อนจะกลับมาอาบน้ำเข้ามาประชุมดูเรื่องตัวเลขอีกหลายชั่วโมง แต่ก็ต้องหาเวลาเข้ามาดูแลร้านอาหารด้วยตัวเอง เช็กสต๊อก ดูแลบริการแบบที่ทิ้งไม่ได้ทุกส่วน
"อุปสรรคของผมคือเวลา เมื่อทำงานแบบนี้ต้องมีวินัย ผมชัดเจนว่าเวลาไหน ทำอะไร เลียนแบบหนังเรื่อง about a boy มาเลย (หัวเราะ) 1 ชั่วโมงของผมคือ 1 ยูนิต ทุกอย่างจะตีไปเป็นชั่วโมงๆ และรู้ว่าจะต้องไม่มีเลทไปกระทบส่วนอื่น ต้องยืดหยุ่นมันให้ดี เพราะมันก็มีงานอื่นและคนอื่นที่รอผมอยู่เหมือนกัน"
รวมถึงการปรับตัวให้ได้กับทุกสถานการณ์ด้วย
"ไม่ใช่แค่วิธีการพูดที่สำคัญ แต่การทำงานก็ต้องรู้จริงด้วย การทำงานโหมดสายตรวจ ผมก็ต้องแมนๆ เข้มแข็ง พับแขนเสื้อใส่บู๊ตไปลุยงานกับเหล่า รปภ.ได้ หากเราอ่อนเขาก็อาจจะคิดว่าวันนี้เขาไม่ต้องจริงจัง หรือถ้าเข้าประชุมเราต้องรู้เรื่องการเงิน คุยกับเชฟเราก็ต้องรู้เรื่องอาหาร คุยกับเขาดีๆ เพราะเขาคือคนที่ทำอาหารให้ลูกค้า หากไม่พอใจใส่อะไรไม่ดีให้ลูกค้าทานเราก็จะแย่ คุยกับลูกจ้างก็ต้องไม่โหดให้เขากลัว ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละคน"
ชีวิตแบบนี้ หนุ่มอาร์ตบอกว่า "หนักแต่มีความสุข"
"แต่ก่อน ผมเองมีความฝันว่า จะต้องเป็น MD ตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆ ให้ได้ พอตอนอายุ 29 ผมเป็นผู้อำนวยการของบริษัทหนึ่ง ก็คิดว่าจากนี้แล้วยังไง อะไรคือคำว่าพอ เมื่อได้ MD แล้วจะเอาอย่างไรต่อ เหมือนตำแหน่งนี้ไม่ได้เติมเต็มผมจริงๆ ก็เลยคุยกับคุณแม่กลับมาทำงานที่บ้าน"
"บวกกับมีเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาในชีวิตผม ทำให้คิดว่าจากที่เคยเป็นคนตั้งใจ มุ่งมั่น ทะเยอทะยาน กลับมองว่าเราจำเป็นต้องทำขนาดนั้นไหม ต้องเครียดและผลักดันตัวเองมากเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนตัวเองใจเย็นขึ้น อะไรที่รอได้ก็รอ ชีวิตผมช้าลง ได้เดินทางมากขึ้น ได้อยู่กับหลาน แม้งานหนักแต่เป็นงานที่รัก ทุกวันนี้ผมก็แฮปปี้มาก"
ได้โอกาสสัมผัสตัวตนในมาดนักธุรกิจไปแล้ว ก็ได้โอกาสถามถึงไลฟ์สไตล์มันๆ บ้าง
"ผมชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ทุกอย่าง ตั้งแต่อยู่อเมริกา ผมเล่นหมด รักบี้ อเมริกันฟุตบอล บาส เบสบอล กอล์ฟ ว่ายน้ำ ไปแคมป์กีฬาบ่อยมาก ไม่กลัวแดด ลุยๆ เล่นได้หมดชอบ"
"ทุกวันนี้ 1 วัน ผมต้องได้เล่นกีฬา หากงานเยอะแล้วกลับดึกไม่ทันเข้ายิม นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านก็จะปั่นจักรยานไป 1 ชั่วโมง ดีกว่านั่งเฉยๆ แล้วไม่ได้อะไร"
ส่วนอีกกิจกรรมที่โปรดปรานไม่แพ้กัน ก็ไม่พ้นการเดินทาง ที่เจ้าตัวชอบมากขนาดมีแพลนครบทุกเดือนในครึ่งปีแรกไปแล้ว
"การเดินทางมันให้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ ได้ไปเห็นอะไรด้วยตาเราเอง ไปครั้งหนึ่งเหมือนได้ไปเติมไฟให้ตัวเอง แล้วผมก็จะไม่ไปที่ซ้ำๆ เพราะชีวิตเรามันสั้นเกินกว่าจะไปที่เดิมๆ และการเดินทางทำให้เห็นว่าคนทั่วโลกมีน้ำใจ คือจริงๆ เขาก็คงอยากรู้จักว่าเราหลงมาจากไหนเหมือนกันหละ (หัวเราะ)"
ทั้งหมดนี่คือตัวตนของหนุ่มหลากมิติ วิทูวัฒน์ อังสนานนท์