“เปลี่ยน” หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง ตั๊ก - นภัสกร มิตรเอม
“ทุกคนมีจุดเปลี่ยนในชีวิตทั้งนั้น ไม่จากตัวเอง ก็จากปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามากระทบ”
สำหรับผมเอง หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมา 42 ปีเต็ม ผมก็มั่นใจว่า จุดเปลี่ยนทั้งหมดมาจากตัวเองล้วนๆ ไม่ได้มีใครมาบังคับ หรือกำกับให้เป็นไปทั้งนั้น
ผมเป็นลูกชายคนที่สองของบ้าน มีพี่สาว 1 คน และน้องชายอีก 1 คน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเป็น ลูกคนกลาง หรือ Wednesday Child พอดีเป๊ะ แรกๆ ผมก็ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะเป็นเด็กมีปัญหาอย่างที่หลายทฤษฎีตีความไว้ เพราะในช่วง ป.1–ป.2 ผมก็เป็นเด็กเรียนดี ความประพฤติดีไม่มีปัญหาอะไร จะมาเริ่มเละเทะก็ช่วงขึ้น ป.3 นี่แหละครับ
แต่จะว่าไปความเกเรของผมมาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ ผมรู้สึกว่าตัวเอง “มีไม่ครบ” เพราะหลังพ่อกับแม่แยกทางกัน ลูกๆ สามคนก็อยู่ในความดูแลของแม่ ส่วนพ่อย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นานๆ ทีถึงจะมาเยี่ยม แถมพอขึ้น ป.3 ครูประจำชั้นก็พูดจาไม่ดี ชอบดุว่า และตีผมโดยไม่มีเหตุผล นั่นทำให้ผมเริ่มแอนตี้การเรียน โดดเรียนแทบทุกวัน และไม่เคยส่งการบ้านเลย พอสอบปลายภาคก็เลยทำข้อสอบไม่ได้ ... สอบได้ที่โหล่ของห้อง
พอขึ้นชั้น ป.4 ผมมีโอกาสได้เป็นหัวหน้าห้อง (โดยบังเอิญ) จึงต้องมีหน้าที่ดูแลเพื่อนๆ ให้อยู่ในระเบียบวินัย ทั้งๆ ที่ผมนี่แหละตัวแสบที่สุดของห้อง ทั้งโดดเรียน เกเร คุยในห้อง ฯลฯ แต่ในเมื่อครูไว้วางใจผมขนาดนี้ ผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด
เริ่มจากทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้เพื่อนเห็นก่อน จากนั้นถึงจะออกคำสั่งกับเพื่อนๆ ได้ ในที่สุดเพื่อนๆ ทุกคนก็เชื่อฟังผมและตั้งใจเรียนมากขึ้น และอานิสงส์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ยังส่งผลให้ผมสอบได้อันดับต้นๆ ของห้องด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครูหลายคนช็อค โดยเฉพาะครูป.3 ที่มาเล่าวีรกรรมของ ผมให้ครู ป.4 ฟังถึงที่ห้องเพราะไม่เชื่อว่าผมจะเป็นเด็กดีจริง ส่วนครู ป.4 ก็ได้แต่ยืนยันว่า “ที่ผ่านมาเขาจะเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่า ที่ทุกอย่างในห้องนี้ดีขึ้นก็เพราะเขาช่วยจัดการ” และคำพูดของครูในวันนั้นก็สร้างความภาคภูมิใจให้ผมเป็นครั้งแรกในชีวิต
จากนั้นผมก็เรียนดีมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขึ้นม.2 ชีวิตจึงเริ่มกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิมๆ อีก เมื่อผมเจอครูใจร้ายแบบตอนป.3 ผมต่อต้านการเรียนทุกวิถีทาง ทั้งโดดเรียน สูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน ฯลฯ ยิ่งพอขึ้น ม.3 ชีวิตก็ยิ่งเละเทะขึ้น ดังนั้นพอจบ ม. 3 ปั๊บ พ่อกับแม่จึงตัดสินใจย้ายผมออกไปเรียน ม.4 ที่ร.ร.ย่านชานเมืองแทน
โรงเรียนใหม่นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะเพื่อนๆ ส่วนใหญ่เป็นลูกชาวสวน แต่ละคนมีชีวิตที่ติดดิน ไม่ฟุ่มเฟือย ฯลฯ ผมก็เลยพลอยมีชีวิตแบบนั้นไปด้วย แต่ใช่ว่าชีวิตจะราบเรียบไปหมด เพราะผมกับเพื่อนๆ ก็มีโอกาสออกไป “บู๊” อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายใครให้เจ็บ จะเป็นฝ่ายอุ้มเพื่อนไปหาหมอเสียมากกว่า
หลังเรียนจบแม้จะเอ็นทรานซ์ไม่ติด แต่ผมก็ยังรักที่จะเรียนอยู่ จึงขอไปสมัครเรียนด้านการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยรังสิตแทน แต่เรียนได้แค่ปีเดียวผมก็ลาออกเพราะรู้สึกว่า “ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ” ตอนนั้นพ่อกับแม่เข้า ใจว่า ที่ผมเลิกเรียนเพราะเกเร และถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ผมคงไม่มีอนาคตแน่ๆ
ด้วยความหวังดีพ่อจึงชวนให้ผมไปฝึกงานกับพ่อแทน แต่ด้วยความที่ผมแอบต่อต้านพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ผมปฏิเสธพ่อแบบหัวชนฝา โชคดีว่า ตอนนั้นมีวิทยาลัยด้านการโรงแรมอีกแห่งเปิดรับสมัครอยู่ และด้วยความที่ผมใฝ่ฝันอยากทำงานเป็นเชฟ หรือไม่ก็ทำงานโรงแรมอยู่เป็นทุนเดิม ผมจึงตัดสินใจไปสมัครทันที
สุดท้ายถึงจะเป็นสาขาที่ชอบ วิชาที่เรียนตรงใจทุกอย่าง แต่ผมก็ยังเกเรเหมือนเดิม เช้าไปเรียน ตกเย็นกินเหล้า แล้วก็เมากลับมาบ้านแทบทุกวัน หลังจากแม่เห็นพฤติกรรมของผมมานาน แม่ก็เริ่มสื่อสารบางอย่างกับผม …
เช้าวันหนึ่ง หลังจากสร่างเมา ผมตื่นขึ้นมาเตรียมตัวจะอาบน้ำเพื่อไปเรียนตามปกติ อยู่ๆ ก็เห็นกระดาษโน้ตเล็กๆ แปะไว้ที่ประตูห้องว่า “ลูกไปเที่ยว แม่ไม่ว่าอะไร แต่เงินทองที่บ้านมันร่อยหรอลงทุกวันๆ นะลูก” แทนที่โน๊ตเล็กๆ จะสะกิดใจผมขึ้นมาบ้าง ผมกลับเขียนตอบแม่กลับไปว่า “ขอโทษครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
จากนั้นมาไม่นานพ่อก็เป็นอีกคนที่ทนพฤติกรรมผมไม่ได้ ถึงกับขับรถมาที่บ้าน เพื่อขอร้องให้ผมหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นเสียที ลำพังแค่คำขอร้องของพ่อคงไม่สามารถทำให้ผมได้หยุดคิด ถ้าหากวันนั้นพ่อไม่พูดออกมาว่า
“รู้ไหมว่าเงินที่เรามีใช้จ่ายทุกวันนี้แม่เขาได้มายังไง แล้วข้าวของในบ้านหายไปกี่ชิ้นแล้ว เคยรู้ไหม”
เพียงเท่านั้นผมรู้สึกใจหายวาบ ชาไปทั้งตัว เพราะสิ่งที่พ่อพูดถึงนั้นหมายความว่า ที่ผ่านมาแม่ต้องเอาของในบ้านไปขาย หรือจำนำหลายชิ้นแล้วเพื่อเอาเงินมาให้ผมกินเหล้า สูบบุหรี่ และเที่ยวโดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน !
หลังจากได้คิด ผมก็เริ่มทำตัวดีขึ้น (อีกนิด) และเรียนจบวิทยาลัยแห่งนี้จนได้ เท่านั้นไม่พอ ผมยังตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาตรีที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลอีก การได้เป็นนักศึกษาของที่นี่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้งเพราะการมีสังคมใหม่ๆ มีการเรียนที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ผมต้องพลอยปรับตัวตามไปด้วย ชีวิตช่วงนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะดีขึ้น จนกระทั่งผมเริ่มมีแฟน แต่ด้วยความที่ผมยังแอบเกเรแอบเที่ยวอยู่ เลยทำให้เขาต้องเสียใจอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจ ช่วงนั้น สิ่งดีๆ อีกอย่างที่เข้ามาในชีวิตผมคือ การได้รู้จักกับ ครูเล็ก - ภัทราวดี มีชูธน ครูซึ่งทำให้ผมรักในศาสตร์การแสดงมาจนวันนี้
ในที่สุดผมก็ประคับประคองชีวิตมาจนเรียนจบปริญญาตรี แต่แล้ว จู่ๆ วันหนึ่ง ผมก็เริ่มย้อนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ที่มีแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง ผมทำไม่ดีกับใครสักคน ทำให้ทุกคนเสียใจ และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย แม้แต่ “แม่” ผู้หญิงที่ต้องเหนื่อย ต้องอดทนทุกอย่างเพื่อคนเลวๆ อย่างผม โดยที่ไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า ไม่เคยห้าม ผมก็ยังทำไม่ดีกับแม่
ผมจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า พฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีต และสิ่งที่ผมเป็นอยู่ในปัจจุบัน กำลังหล่อหลอมให้ผมเป็นอะไร ผมควรจะ “พอ” เสียที ดีไหม ในที่สุดผมก็ได้คำตอบว่า “ถึงเวลาต้องหาทางออกให้ชีวิตสักที เผื่อจะได้ความรู้ใหม่ๆ มาสอนตัวเองบ้าง”
แล้วภาพในวัยเด็กก็ย้อนกลับเข้ามาในความคิด ภาพพ่อ แม่ และลูกๆ สามคนนั่งไหว้พระ สวดมนต์ ภาพแม่สอนพวกเรานั่งสมาธิ ภาพแม่พาเราไปฟังธรรมกันทุกๆ อาทิตย์ ภาพเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึง “ความสงบ” และ “ความสุข” ขึ้นมาได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมากกว่าการกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือเที่ยวเตร่ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
ผมจึงตัดสินใจว่า “ผมจะบวช”
แน่นอนว่า การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความตื่นตะลึงให้แม่มาก แต่ท่านก็ดีใจที่ผมเลือกทางนี้ ในที่สุดผมจึงได้บวชที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี และเพราะรู้ดีว่า ผมมีเวลาบวชไม่นาน ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่อยู่ในผ้าเหลืองผมจึงตั้งใจรักษาศีลและปฏิบัติกิจสงฆ์อย่างเคร่งครัดที่สุด
การบวชในครั้งนั้นนอกจากจะทำให้ผมพบความสงบในชีวิตอีกครั้งแล้ว ยังทำให้ผมได้รู้คำตอบว่า “ค่าของคนอยู่ที่ไหน” อย่างน้อยเราต้องรักษา ศีลห้าให้ได้ เพราะ ถ้าเรารักษาศีลห้าได้ เราก็จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เราจะไม่ทำร้ายตัวเอง และไม่เบียดเบียนใคร ชีวิตก็จะมีความสุขในที่สุด
หลังสึกออกมา หลายคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม แม้แต่ครูเล็กเองก็ยังเอ่ยปากว่า “ไอ้ตั๊กคนเดิมมันหายไปไหนแล้ว” ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ ผมดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นนั่นเอง แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่า ผมจะเลิกนิสัยเดิมๆ ได้ทั้งหมดแค่เพลาๆ ลงบ้างเท่านั้น แต่มาเลิกแบบเบ็ดเสร็จได้จริงๆ ก็ตอนที่ผมได้เจอกับ ป๊อก (ภรรยา-คุณปิยะธิดา วรมุสิก) นี่เอง
แม้ระยะแรกที่เจอกัน ป๊อกจะเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาผมมากกว่า แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความรักของผมกับป๊อกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้รู้ว่า “ผมต้องหยุดเสียที” ทั้งๆ ที่ป๊อกเป็นอีกคนที่ไม่เคยขอร้องให้ผมหยุด หรือเปลี่ยนเลยสักครั้งหลังจากวางแผนว่า เราจะแต่งงานกันใน พ.ศ.2555 หนึ่งปีก่อนหน้า ผมก็ตัดสินใจเลิกพฤติกรรมทุกอย่างแบบเด็ดขาด โยนบุหรี่ทิ้ง เลิกเหล้า และเลิกเที่ยว ตั้งใจทำงานเก็บเงินอย่างเดียวเพราะรู้สึกว่า
“ชีวิตผมที่ผ่านมามันเหนื่อย มีแต่ปัญหา และความขัดแย้ง เป็นชีวิตที่แย่มากๆ สาเหตุก็ไม่ใช่ใคร ผมทำตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับเลย วันนี้ผมพอกับชีวิตแบบนั้นแล้วจริงๆ ผมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้มี ‘ค่า’ พอที่จะคู่ควรกับป๊อก รวมทั้งให้แม่และครอบครัวภูมิใจว่า ผมก็ดีกับเขาได้เหมือนกัน”
ทุกวันนี้ผมอยากบอกพ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย ว่า “ผมรักทุกคนนะ” แล้วผมก็รู้ว่า “ทุกคนก็รักผมเหมือนกัน ผมไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกอย่างที่คิด (มาตลอด)” ทุกสิ่งที่ทำไป ไม่ได้เกิดผลดีเลย มีแต่ทำให้คนเสียใจ และมีแต่สูญเสีย
ผมบอกได้เลยว่า วันหนึ่งถ้าเราคิดได้จริงๆ เราจะรู้ว่า “จุดเปลี่ยนในชีวิต” มาจากตัวเราเองทั้งนั้น โดยเฉพาะการตัดสินใจว่า เราจะเปลี่ยน หรือไม่เปลี่ยน
SECRET BOX
ผมไม่คิดถึงอดีต ไม่คาดหวังกับอนาคต แต่จะอยู่กับปัจจุบันให้ “ดี” ที่สุด
นภัสกร มิตรเอม
นิตยสาร Secret ฉบับที่ 156 (26 ธันวาคม2557)
คอลัมน์ Turning Point
เรื่องวรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ / ภาพสรยุทธ พุ่มภักดี