ผมเชื่อว่าความลำบาก ทำให้เรา “เติบโต” เฟิสท์ - เอกพงศ์ จงเกษกรณ์
“แม่อยากให้ลูกทำอะไรเป็น”
แม้เป็นเพียงคำพูดสั้นๆ ที่แม่เคยพูดกับผมตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นประถม แต่เชื่อไหมว่า ผมไม่เคยลืมเลย เพราะว่าประโยคนี้แหละที่ทำให้ผม ... “เติบโต”
ความที่คุณพ่อของผมเป็นศึกษานิเทศก์ คุณแม่เป็นครู ครอบครัวของผมจึงมีฐานะกลางๆ พออยู่พอกิน แต่ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็พยายามดูแลผมอย่างดีที่สุด ไม่เคยปล่อยให้ลำบาก อยากอ่านหนังสือการ์ตูน หรืออยากไปไหนก็ได้ไป ไม่เคยบังคับอะไรทั้งนั้น แม้แต่งานบ้านก็ไม่ต้องทำ
หน้าที่ของผมจึงมีแต่ “เรียนหนังสือ” เท่านั้น
พอจบ ป .6 เตรียมเข้า ม.1 ด้วยความที่คุณพ่อและคุณแม่เป็นนักการศึกษาทั้งคู่ ท่านจึงจัดแจงให้ผมไปสอบที่ โรงเรียนนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งสมัยนั้นจัดว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการอย่างมากในแถบภาคกลางตอนบน แถมยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านผม(จังหวัดอุทัยธานี) มากนัก
ผลปรากฎว่า “ผมสอบได้” คราวนี้งานเข้าตูมใหญ่เลยครับ เพราะผมไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะต้องย้ายไปอยู่หอพักที่นครสวรรค์ ซึ่งหมายความว่าผมต้องจากบ้านเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมเริ่มงอแงไม่อยากไป คุณแม่จึงพูดว่า “แม่อยากให้ลูกทำอะไรเองเป็น” แล้วก็ช่วยผมเก็บของ เพียงเท่านั้นผมก็รู้ว่า ผมต้องไปจริงๆ ไม่มีสิทธิ์หาข้ออ้างอื่นใดทั้งสิ้น
ชีวิตเด็กหอมือใหม่อย่างผม นอกจากจะเหงาและเศร้าที่ต้องห่างบ้านแล้ว ผมยังต้องหัดช่วยเหลือตัวเองอีกด้วย เช่น เตรียมเสื้อผ้าไปโรงเรียน รับผิดชอบการทำการบ้าน แค่นั้นยังไม่พอ การที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนหน้าใหม่อีก 7 คน ที่เราต่างไม่รู้เลยว่าใครเป็นยังไง ทำให้ผมต้องรู้จักปรับตัวเข้าหาคนอื่น มีความเกรงใจ รู้จัก “แชร์” ทุกอย่างร่วมกัน รวมทั้งแบ่งเวรกันทำความสะอาดห้องพักและห้องน้ำ
ผมมารู้ภายหลังว่า สิ่งเหล่านี้เองคือ สิ่งที่แม่ต้องการให้ผมทำเป็น
การที่ต้องรับผิดชอบตัวเองแบบนี้ ทำให้ผมได้รู้ว่า ที่ผ่านมาคุณแม่ต้องเหนื่อยและเสียสละมากแค่ไหนที่ต้องทำงานไปด้วย และดูแลผมกับคุณพ่อไปด้วย ผมเชื่อว่า ที่คุณแม่ทำแบบนี้ เพราะท่านคงอยากให้ผมทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ อย่างที่คุณพ่อคุณแม่สอนมาตลอดว่า “พ่อแม่ไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกนะ ให้ได้แต่ความรู้เท่านั้นแหละ”
ดังนั้น หน้าที่ผมในตอนนั้นคือดูแลตัวเองให้ได้ ตั้งใจเรียน เพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ลำบากใจ แต่ก็นั่นแหละครับด้วยวัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน ผมจึงมีเรื่องเกเรบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย จากที่แต่ก่อนเคยเฝ้ารอวันศุกร์เพื่อจะได้กลับบ้านเร็วๆ พอปรับตัวได้ผมก็เริ่มติดเพื่อน คราวนี้ก็เริ่มกลับบ้านน้อยลงๆ แต่ข้อดีของผมก็คือ ผมทำทุกอย่างแบบพอดี เฮฮากับเพื่อนได้แต่ก็สามารถเอาตัวรอดได้ การเรียนไม่เคยตก และไม่มีเคยมีเรื่องเสียหายตามมาสักครั้ง
เรื่องนี้คือจุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้ผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น และรู้ว่าพ่อแม่ของผมรักลูกแบบถูกทาง พอจบ ม.6 ผมสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้ต้องจากบ้านไปอยู่หอพักอีก คราวนี้ยิ่งง่ายเลยครับ ผมแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เรียนให้จบอย่างเดียว แต่ไปๆ มาๆ กลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเกือบเรียนไม่จบเองซะนี่!
ช่วงปี 1 กับปี 2 ผมเรียนดี เกรดเฉลี่ยประมาณสามกว่าๆ พอขึ้นปี 3 ปั๊บ บังเอิญว่า มีวิชานึงที่ไม่ชอบ ผมก็โดดเลยเรียนซะเลย ส่วนวิชาอื่นๆ ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่า ตอนนั้นผมเริ่มมีค่านิยมผิดๆ ว่า ตกเย็นทุกวันต้องไปเที่ยวกับรุ่นพี่ กินเหล้า แล้วค่อยกลับหอมาอ่านหนังสือช่วงดึกๆ ตื่นเช้ามาก็ไปสอบ แบบนี้มันถึงจะเท่ห์ จนกระทั่งวันที่เกรดเทอมแรกออกมาเท่านั้น ผมถึงกับอึ้งไปนานเลยครับ
นอกจากจะติดเอฟในวิชาที่ไม่ชอบแล้ว เกรดวิชาอื่นๆ ก็พลอยตกไปด้วย นั่นทำให้เกรดเฉลี่ยออกมาแค่ 1.7 เท่านั้น เรียกว่า ต่ำจนน่าตกใจ !
พอเกรดออกมาแบบนี้ ผมจำเป็นต้องรายงานให้คุณพ่อกับคุณแม่ทราบ ทันทีที่รู้ท่านถามกลับมาแค่ว่า “ทำไมเป็นแบบนี้” และไม่ได้ต่อว่าอะไรอีกเลย ผมมองว่า นั่นคือข้อดีของคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เคยซ้ำเติมลูก มีแต่ให้กำลังใจ แถมบางครั้งยังชอบชมลูกให้เพื่อนๆ ฟังแบบโอเวอร์อีกต่างหาก
ตกดึกของคืนนั้น ผมบังเอิญได้ยินคุณพ่อกับคุณแม่ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ว่า “ลูกไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ตั้งใจเรียนมาตลอด ลูกเป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าจะติดเที่ยว ติดผู้หญิง หรือติดยา” ผมได้ฟังก็ตกใจ และเริ่มคิดว่า ‘นี่มันเรื่องใหญ่ ต่อไปห้ามพลาดอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณพ่อกับคุณแม่คงต้องเสียใจมาก เพราะท่านหวังกับผมไว้สูง (มาก) ดังนั้นผมต้องกลับมาสู่เส้นทางเดิมให้ได้เร็วที่สุด’
โชคดีว่า วิชานี้เปิดสอนทุกเทอม ผมจึงมีโอกาสลงทะเบียนอีกครั้งในเทอมที่ 2 แต่ต้องแบกหน้าไปเรียนกับรุ่นน้อง ส่วนวิชาอื่นๆ ก็เรียนกับเพื่อนตามปกติ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามมาก็คือ คราวนี้ผมกลับตัวใหม่หมด แทบไม่ไปเที่ยวเฮฮาอีกเลย ตั้งใจเรียนแบบเกินร้อย ในที่สุดผมก็คว้า “เอ” ของวิชานี้มาได้ ส่วนเกรดวิชาอื่นๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับ
ในที่สุดผมก็เรียนจบปริญญาตรีด้วยระยะเวลา 4 ปีครึ่ง ถึงจะช้ากว่าเพื่อนๆ ไปครึ่งเทอม แต่โชคดีว่า ยังได้รับปริญญาพร้อมเพื่อนรุ่นเดียวกัน เรียกว่า โล่งอกกันทั้งบ้าน คุณพ่อคุณแม่กลับมายิ้มได้อีกครั้ง
ผมคิดว่าคุณพ่อคุณแม่มีส่วนสำคัญมากที่ทำให้ผมมีวันนี้ ท่านทำให้รู้ว่า ชีวิตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ชีวิตคือการเรียนรู้โลกทั้งใบและเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น ความลำบากทำให้คนเราเติบโตได้จริงๆ ครับ
“ถ้าวันหนึ่งผมมีลูก ผมก็จะสอนลูกของผมแบบนี้เหมือนกัน”
SECRET BOX
ถ้ามีโอกาสเข้ามา คุณต้องกล้า “เสี่ยง” เพื่อจะได้รู้ว่าทำได้ หรือ ไม่ได้
เฟิสท์ - เอกพงศ์ จงเกษกรณ์
นิตยสาร Secret ฉบับที่ 155 (10 ธันวาคม 2557)
คอลัมน์ Turning Point
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ / ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี