Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part2)

Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part2)

Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part2)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในบทความตอนที่แล้ว GM ชักชวนให้ ซิโก้ฉายภาพกว้างๆถึงการกำลังพัฒนา ปรับตัวของวงการฟุตบอลไทยในหลายๆแง่มุม พร้อมกับย้อนอดีตของซิโก้ในวันที่เขาไปค้าแข้งในต่างแดนรวมทั้งการมีโอกาสได้ไปสังกัดสโมสรฮัดเดอร์ฟิลด์ทาวน์ที่ประเทศอังกฤษ

คราวนี้ซิโก้จะนั่งเครื่องบินกลับมาอาเซียนอีกครั้งทั้งในฐานะนักเตะ และโค้ชที่ทั้งสองตำแหน่งล้วนกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล

GM : หากอังกฤษให้ประสบการณ์ที่หนักหน่วง แล้วการไปเล่นที่เวียดนามล่ะ คุณได้ประสบการณ์แบบไหน

ซิโก้ : เวียดนามเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง แน่นอนว่าช่วงที่ผมเป็นนักเตะทีมชาติไทย พวกเราคือเบอร์ 1 ของอาเซียนติดต่อกันมา 15 ปีได้ ที่เราไม่แพ้ชาติในอาเซียนเลย เต็มที่คือชนะน้อยหน่อย ผมเองก็ยิงเวียดนามไปเยอะ แฟนบอลที่นั่นเขายอมรับเลยนะ ยิ่งเขาเห็นเราไปเล่นที่อังกฤษกลับมา มีพัฒนาการขึ้นเยอะ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย ว่าซิโก้จะมาเล่นในเวียดนามมีเพียงประธานสโมสร ฮอง อันห์ยาลาย นี่แหละที่คิดจะซื้อผม ค่าเหนื่อยก็สักสี่แสนบาทต่อเดือน บรรยากาศวันไปถึง ผมนี่แทบไม่เชื่อสายตา มีคนมารอเต็มสนามบินหลักหมื่นได้ มีรถเปิดประทุนมารอรับ พาเราแห่รอบเมืองอย่างกับฮีโร่โอลิมปิก ซึ่งผมเองเป็นคนจำพวกติดดิน อดคิดกังวลไม่ได้ นี่เรายังไม่ได้เตะเลย เขายังยินดีและคาดหวังกับเราขนาดนี้ หากผ่านไปสัก 10 เกมแล้วเรายิงไม่ได้ จะทำไงวะเนี่ย (หัวเราะ)

ที่สำคัญตอนไปทีแรก ทีมนี้ยังไม่ขึ้นมาลีกสูงสุดเลย ขนาดทีมลีกรองเขายังลงทุนกันมหาศาล มีแฟนบอลหนุนหลังเยอะขนาดนี้ มีคนดูเข้ามาเต็มสนามตลอด เฉลี่ยแล้วมีเป็นหมื่นคนต่อเกม เกมใหญ่นี่ต้องถึงสองสามหมื่นคน ประเทศเขาคลั่งฟุตบอลกว่าเรามาก เพราะเมื่อ 12 ปีก่อน ที่ประเทศเวียดนาม พวกสิ่งที่สร้างเพื่อความสุขอย่างห้างสรรพสินค้า หรือโรงหนัง หรืออื่นๆ ยังมีไม่มาก กีฬาฟุตบอลเลยเป็นกระแสหลัก ยิ่งตอนเราจากมา ถือว่ายิ่งใหญ่และประทับใจมากจริงๆ มีแฟนบอลมาคอยส่งให้กำลังใจมากมาย ทีวีช่องหลักของเวียดนาม อย่าง VTV3 มาถ่ายทอดแมตช์อำลา ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นภาพที่จะอยู่ในหัวใจคนเวียดนาม พวกเขารักเรา ให้เกียรติเรา เรื่องนี้สอนให้ผมรู้เลย ว่าคนเราแม้จะแตกต่างกัน ต่างชาติ ต่างถิ่น หากมีความรักต่อกัน ความผูกพันเกิดขึ้นได้เสมอ

GM : จากค่าเหนื่อยเจ็ดหมื่นที่เมืองไทย พอไปเวียดนามได้สี่แสน คุณรับมือกับความร่ำรวยนี้อย่างไร

ซิโก้ : เราต้องรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตอนนั้นผมเพิ่งจะแต่งงาน แล้วก็เริ่มมีลูกสาวไล่ๆ กันมาเลย 3 คน ผมแบ่งงานกับภรรยา คือเขาจะดูแลลูกอยู่ที่เมืองไทย ดังนั้นการไปเวียดนาม เป้าหมายสำคัญคือการสร้างครอบครัว ผมคิดถึงแต่ลูกใจจะขาด สมาธิของผมจดจ่ออยู่กับเรื่องครอบครัวและกับเรื่องฟุตบอลเท่านั้น อีกอย่างที่ผมชอบเวียดนาม คือประเทศเขาเงียบๆ เย็นๆ เงียบกว่าเขาใหญ่ที่เรากำลังนั่งคุยกันนี่อีก ทีมที่ผมไปอยู่ ตั้งอยู่ห่างเมืองไปอีก 10 กิโลเมตร ผมชอบอะไรแบบนี้นะ มันเงียบๆ เจอชีวิตเมืองวุ่นวายมากปวดหัว นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ปรับตัวกับเวียดนามได้ไม่ยากเลยสิ่งสำคัญที่ผมอยากจะบอกน้องๆ คือจำไว้เลย ฟุตบอลนี่เล่นได้สูงสุดไม่เกิน 10-15 ปี ฟังเหมือนนานนะ แต่ถ้าเจอเข้ากับตัวจะรู้เลยว่ามันแป๊ปเดียว ดังนั้น ถ้ายังหาเงินได้ ก็รีบเก็บไว้ และหาความรู้เพิ่มเติม เสาะแสวงหาช่องทางต่อไป เตะฟุตบอลได้เงินเยอะ แต่ถ้าไม่เก็บหรือวางแผนอนาคตให้ตัวเอง ที่เก็บๆ มาก็หมดได้แป๊บเดียว สิ่งที่ผมบอกน้องๆตลอดหาความรู้เยอะๆ อย่าหยุดนิ่ง ตอนนี้เราชอบอะไร ก็ต้องมองๆ ไว้เพื่ออนาคต หากยังรักฟุตบอล อยากอยู่กับมันต่อ จงเลือกที่ซึมซับเรื่องดีจากคนรอบข้าง

GM : ขอย้อนกลับไปถามอีกนิด ว่าทำไมคนเวียดนามรักคุณจัง

ซิโก้ : สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจ เวียดนามนี่ถือเป็นประเทศชาตินิยมมากนะ เขาจะไม่ยอมรับต่างชาติคนไหนง่ายๆ พวกนักเตะแอฟริกัน บราซิล เป็นได้แค่ประชาชนชั้นสอง นอกจากจะพิสูจน์ในสนามว่าเก่งมาก ระดับเหนือกว่าคนอื่นๆ คนดูถึงจะเริ่มยอมรับ เขามีความเชื่อกัน ว่าจ้างบราซิล จ้างแอฟริกัน ก็ไม่มีทางได้แชมป์ ผิดกับสิ่งที่ผมเจอ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป แฟนบอลตอบรับดี มีคำชื่นชม เขาไม่ดูถูกเราเลย อาจเป็นเพราะประเทศไทยเราอยู่ในฐานะเป็นเจ้าแห่งอาเซียน อย่างที่บอกไป ว่า 15 ปีในทีมชาติที่ไม่เคยแพ้ใคร เป็นเครื่องการันตีได้ในเบื้องต้น พอลงสนามจริงเรามีผลงาน มีความสำเร็จ จบได้ที่ตำแหน่งแชมป์ ทุกอย่างเกื้อหนุนกันหมด จนทีมและตัวผมก็จุดติดไปพร้อมกัน

GM : ปัจจุบันนักฟุตบอลระดับสโมสรในไทย ได้เงินเดือนสูงถึงหลักแสน กลายเป็นว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานที่จะเล่นให้กับทีมชาติ

ซิโก้ : คุณพูดถึงทีมชาติใช่ไหม นั่นก็เป็นไปได้ เขาอาจคิดว่ากูเงินเดือนเยอะแล้ว เล่นสโมสรอย่างเดียวพอ ไม่ต้องเล่นหรอกทีมชาติ ตรงนี้เป็นวิธีคิดของแต่ละคน แต่โดยส่วนตัวผมเอง เวลาที่ผมเจอน้องๆ ที่ได้ค่าเหนื่อยเยอะ พวกเขาจะพูดกันเสมอ หากคุณเป็นนักฟุตบอล คุณต้องติดทีมชาติ เอาง่ายๆ อย่างคุณเป็นช่างภาพ (ชวนช่างภาพของ GM ลงมาคุยด้วย ในขณะที่กำลังปีนบันไดเก็บภาพจากมุมสูง) คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม ว่าอยากเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ ถึงคุณเป็นช่างไฟก็อยากเป็นเบอร์หนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตัวคุณเท่านั้นที่ดีใจ พ่อแม่ของคุณก็ต้องภูมิใจ พวกเขาภูมิใจกว่าเราหลายเท่า

ผมพูดเลยหากคุณเล่นฟุตบอลเก่งได้แชมป์มากมาย แต่ไม่ได้เล่นทีมชาติมันไม่ใช่ของจริงหรอก

GM : ถามจริงๆ เถอะนะ หากซูซูกิคัพ 2014 คุณไม่ได้แชมป์ ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร

ซิโก้ : (เขาก้มหน้าครุ่นคิด หัวเราะหึๆ ในลำคอ แล้วเงยหน้าตอบเรา)หากเราชนะก็คงไม่มีปัญหาอะไร ทุกคำถามล้วนมีคำตอบที่น่าฟังรอตอบอยู่แล้ว แต่เวลาที่แพ้นี่สิ … (นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง) สิ่งแรกที่ต้องทำ ก็คงเป็นการสำรวจตัวเองก่อน มีเวลาเก็บตัวมากพอไหม ซ้อมดีขนาดไหน อย่างครั้งนี้ เรามีเวลาเก็บตัว รู้ตัวโค้ชคนทำทีมก่อนแข่งแค่ 2 อาทิตย์ ทั้งๆ ที่รู้โปรแกรมล่วงหน้าอยู่แล้ว 2 ปี ทุกอย่างมีคำตอบจากผลของมัน ทั้งการเล่นในสนาม การจัดการ การเตรียมพร้อมต่างๆ ถ้าแพ้มา ผมก็คงแค่ตอบตรงๆ ไปตามนี้

GM : เหมือนคุณถูกมัดมือชก ผู้ใหญ่บอกให้ซิโก้มาคุมทีมคราวนี้เพื่อชาติ อะไรทำนองนี้หรือเปล่า คุณรู้สึกอย่างไร

ซิโก้: คำว่า“ชาติ” ไม่มีข้อแม้อยู่แล้วซึ่งหากเป็นเรื่องอะไรที่ตัวผมเองไม่อยากทำก็ไม่มีใครมาบังคับผมได้ผมเปรียบพวกเราเป็นทหารมีหน้าที่ออกรบเมื่อชาติต้องการแน่นอนว่าผมดูกระแสก่อนหาข้อมูลแฟนบอลว่าพวกเขาต้องการเราไหมมีใครกล้าเข้ามาทำทีมชาติไทยชุดใหญ่ในตอนนี้ไหมถามว่าพรรษาเราถึงแล้วหรือยังผมว่ายังไม่ถึงหรอกมีซีเนียร์กว่าผมเยอะผมคิดหลายอย่างสำหรับงานนี้ผมก็สงสัยอยู่ว่ามันเหมาะกับโค้ชประสบการณ์สูงหรือโค้ชวัยรุ่นอย่างเราแต่ที่ผ่านมาทีมได้กระแสมาจากซีเกมส์และเอเชียนเกมส์จนสุดท้ายผมถามตัวเองว่าอยากทำไหมทำในแบบของเรานั่นคือวางโครงสร้างใหม่สร้างน้ำใหม่สายเลือดใหม่

GM : คุณเปรียบเทียบตัวเองเป็นทหาร แต่ดูเหมือนทางกองทัพเขาไม่ค่อยเตรียมอาวุธให้คุณเลยนะ

ซิโก้ : เราไม่มีโครงสร้างการทำทีมชาติไทยที่ชัดเจน เท่าที่ผ่านมา เราส่งแข่งแบบขอไปที มีเวลาเก็บตัวนานถึง 1 เดือน นี่ถือว่าเป็นบุญกะลาหัวแล้วนะ อย่างซูซูกิคัพ ที่ทำมีเวลาให้ 2 อาทิตย์ ฉะนั้นวันนี้ สิ่งที่ต้องทำคือการปรับให้เป็นแบบสากล ซึ่งผมเชื่อว่าชุดเอเชี่ยนเกมส์ ซีเกมส์ ทำได้อยู่แล้ว พวกเขารวมตัวกันจนนักเตะรู้หน้าที่ มีทัศนคติที่ตรงกัน ในส่วนของงานประจำของแต่ละคน ทุกคนก็กลับไปเล่นกับสโมสร จึงมีสภาพร่างกายดี แต่ละเดือนมีมีตติ้งสักครั้งสองครั้ง อะไรว่ากันไป ทำกันมาเป็นปีๆ หากเป็นนี้ ถึงจะมีเวลาเก็บตัวน้อย เราก็ยังพอมีระบบที่ลงตัวอยู่แล้ว สิ่งสำคัญของนักฟุตบอลมี 3 อย่าง 1. ทักษะ ทุกคนมีติดตัวเป็นประจำอยู่แล้ว 2. ร่างกาย สิ่งนี้นักเตะต้องไปสร้างมาเองในการเล่นกับสโมสร คุณจะมาคาดหวังว่าการเก็บตัวทีมชาติจะเรียกความฟิตให้คุณไม่ได้ เราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น และ 3. จิตใจ คุณพร้อมมากขนาดไหน พร้อมจะเข้ามาแล้วปรับตัวตามแท็กติกของผมรึเปล่า และพร้อมจะทุ่มเทเพื่อคำว่า “ทีมชาติ” รึเปล่า

GM : กิตติศัพท์เรื่องความเขี้ยวของโค้ชซิโก้ เท่าที่เขาลือๆ กันนี่จริงไหม

ซิโก้ : (หัวเราะ) ก็มันติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ผมเชื่อว่าเรื่องนี้หากถ่ายทอดต่อให้เด็กรุ่นต่อไป มันจะเป็นผลดี เพราะการเล่นในนามทีมชาติ ถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ทีมชาติคือพื้นที่สาธารณะ เราจะถูกจับจ้องตามองในวงกว้าง อย่างในวันที่มารายงานตัว ถ้าคุณคีบรองเท้าแตะมานี่ได้เหรอ? อยากเป็นสากล อยากเป็นระดับโลก ก็ยกระดับที่ตัวคุณเองก่อนสิ

GM : ในฐานะผู้อาวุโสแล้วในตอนนี้ วงการฟุตบอลไทยยุคนี้มีเรื่องไหนที่คุณชื่นใจบ้าง

ซิโก้ : ลีกของเรากำลังเติบโตด้วยดี ความนิยมสูงขึ้น นักเตะรู้คุณค่าและหน้าที่ของตัวเอง หากเล่นเกเร หรือไม่ดูแลร่างกาย ต้องตกไปเป็นสำรอง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรายได้ รวมทั้งอนาคตในการเล่น ฟุตบอลลีกเราสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล ดูง่ายๆ มีการจ้างงานเยอะ ทั้งโค้ช ผู้เล่น คนบริหารทีมงานต่างๆ แม้แต่ทีมงานนักกายภาพนักกีฬา ยังเป็นที่ต้องการของวงการกีฬามากจนเข้าขั้นขาดแคลนแล้วนะตอนนี้ ส่วนเรื่องไม่ดีคงมีอีกเยอะ ทั้งระบบจัดการแข่งขัน โปรแกรมการแข่งขัน การตัดสิน การชมและเชียร์ ตอนนี้มีความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนต้องแก้ให้หายขาด เพราะหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในสนาม คนบาดเจ็บล้มตายจะตามมา แปลว่าการไปชมฟุตบอลไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อไม่ปลอดภัย ผมคนหนึ่งล่ะ ที่จะไม่พาลูกไปดูบอลที่สนาม ผมเองก็ไม่อยากไปคุมทีม ไม่อยากพาทีมไปลงเล่น เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย แล้วต่อไปคืออะไรล่ะ? สปอนเซอร์ก็หายไป คนจ่ายเงินให้เราก็เพื่อสร้างความสุข แล้วถ้ามีแฟนบอลมานัดชกต่อยกัน เสียภาพลักษณ์องค์กรธุรกิจของเขา เมื่อยกเลิกการสนับสนุน ฝ่ายจัดการแข่งขันไม่มีทุน ทีมไม่มีเงิน นักเตะก็รายได้ลด คราวนี้พอคุณอยากจะดูบอลไทย ก็ไม่มีให้คุณดูอีกแล้ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป รับรองพังด้วยกันหมด

GM : ระหว่างปัญหามาตรฐานการตัดสิน กับปัญหาแฟนบอลอันธพาล เรื่องไหนต้องแก้ก่อนกัน

ซิโก้ : ก็ต้องไปพร้อมกันนั่นแหละ เราอยู่ในช่วงเรียนรู้กันอยู่ ถามว่าเมื่อก่อนนี้มีไหม ผู้เล่นด่าผู้ตัดสินในสนาม แฟนบอลตะโกนด่าผู้ตัดสิน มันก็มี ความไม่พอใจมันเป็นเรื่องปกติ เหมือนเป็นเรื่องชินปาก เราก็ด่าๆ กัน ด่าแล้วไม่มีบทลงโทษ ลองคิดดูสิหากเราเป็นกรรมการ ไปทำงานแล้วต้องโดนด่าเละ แค่นั้นไม่พอ พอจบเกมเดินๆ อยู่ข้างนอก มีคนมาด่าพ่อล่อแม่ซ้ำอีก แบบนี้แล้วกรรมการจะรู้สึกยังไง หากตัวเราเองโดนด่าบ้างจะเป็นไง ผมคิดว่าต่างคนต่างมาทำงานของตัวเองนะ ทุกคนทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ ผมไม่สนใจหรอกทีมไหนจะได้แชมป์ สิ่งที่สนใจคือฟุตบอลไทย ต้องก้าวไปข้างหน้า กรรมการเองก็ต้องทำงานออกมาให้โปร่งใส ของแบบนี้มันพลาดกันได้ แต่ขอให้พลาดแบบสุดวิสัยได้ไหม พลาดแล้วตอบให้ได้ ว่าเพราะอะไร เพื่อที่จะพัฒนาแก้ไขได้ เหมือนกับนักฟุตบอลนั่นแหละ คุณเป็นกรรมการ เมื่อทำหน้าที่ ทำไปตามเนื้อผ้า ตัดสินให้ดี งานก็เดิน คุณได้ตัดสินต่อไป คุณมีเครดิตมากขึ้น ถ้าคุณทำไม่ดีย่อมโดนลงโทษ เพราะมันค้านสายตาคนดู ถึงบอกไงละว่าต้องปรับไปทั้งระบบ ทั้งคนดู ทั้งกรรมการ ส่วนโค้ชก็คุมเด็กให้อยู่ในระบบเล่นในกติกา

GM : นี่ก็ 5 ปีแล้ว ที่คุณไม่ได้ทำทีมสโมสร คิดถึงงานแบบนี้ไหม

ซิโก้ : โอ้โห คิดถึงสิ แต่ผมมาทางทีมชาติแล้ว ความมันมีมากกว่า มีกองเชียร์หนุนหลังเรา 65 ล้านคน ทำสโมสรโอเค ได้เงินเข้ากระเป๋าเยอะ แต่ความสะใจไม่เท่ากันนะ สโมสรคุณอาจมีกองเชียร์ หลักหมื่นหรือหลักแสน ไม่มันเท่ากับทีมชาติ

GM : กองเชียร์มากขึ้น ความกดดันก็มากขึ้นใช่ไหม

ซิโก้: มาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่เป็นไรมั้งครับทำบอลอบต. ก็กดดันพูดตรงๆเวลามีคนมาบอกว่าไปทำทีมบอลดิวิชั่น2 สิจะได้ไม่กดดันผมก็บอกว่าเชิญสิครับไปเลยชีวิตคนเรานี่ถึงจะไปทำทีมบอลของโรงงานก็ยังกดดันเลยคุณลองเลยระดับผมไปทำถ้าไม่ชนะมาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่หมดลองว่ามันเป็นเกมแข่งขันที่มีกรรมการมันกดดันหมดแหละเพียงแต่ว่าเราจะทำอย่างไรที่จะต้านไม่ให้ความกดดันในใจเปลี่ยนไปเป็นความกลัวถ้าเริ่มกลายเป็นความกลัวก็ทำได้ไม่เต็มที่ทางที่จะขจัดความกลัวคือทำให้พร้อมที่สุดในทุกขั้นตอนก่อนลงสนาม มาถึงตรงนี้แผนที่พวกเราวางไว้ไปไกลมากแล้วจากผลงานที่สร้างมาทั้งแชมป์ซีเกมส์แชมป์อาเซียนตำแหน่งที่4 เอเชี่ยนเกมส์ทีมชาติไทยของเรากลับมาอยู่ในจุดเดิมได้สำเร็จเป้าหมายต่อไปคือฟุตบอลโลกระดับเยาวชนที่ต้องไปให้ได้ตามที่คุยกับสมาคมไว้ผมกะว่าจะดูแลการทำทีมชาติตั้งแต่ชุดอายุ12 ปีไปเลย

GM : เป็นเรื่องจริง ที่แฟนบอลอย่างเราไ่ม่รู้เลย ว่าเราควรคาดหวังไว้ถึงระดับไหน โค้ชซิโก้บอกพวกเราหน่อย

ซิโก้ : อย่างแรกเลยนะ ผมไม่มีแผนระยะสั้น มีแต่ระยะยาวเท่านั้น คือไล่ไปตั้งแต่เยาวชน 17 ปีชิงแชมป์โลก เราต้องไปให้ได้ โอลิมปิกรอบสุดท้าย เราต้องไปให้ได้ ริโอ เดจาเนโร ยังน่าลุ้น บางคนบอกว่าวางแผนยาวไปไหม ต้องยาวไว้ก่อนสิ หากมาเอาแค่ผลการแข่งขันระยะสั้น ทีมชาติไทยเราก็จะเข้าอีหรอบเดิม การทำงานต้องมีกระบวนการ 4 ปีเพื่อไปเยาวชนชิงแชมป์โลก โอลิมปิกก็ต้องเตรียมกันต่อเนื่อง เป็น 8 ปี รวมแล้วก็ 10 ปี ดังนั้น ในปี 2024 คือเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด ฟังแล้วมันนานใช่ไหม แต่ในการทำงานจริงๆ ไม่นานหรอกครับ แปปเดียว หรือจะเอายังไงกันดี วางแผนปีต่อปี มันจะได้เก็บตัวกันสักกี่ครั้งเหมือนที่ผ่านมา แล้วมีสักชุดไหมที่ไปได้ไกลตามเป้า

GM : คิดว่าต้องมีผลงานในระยะสั้นๆ ที่ดีขนาดไหน คุณจึงจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ยาวๆ ไปถึง 10 ปี

ซิโก้ : โอ้ว ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าผมต้องทำให้ได้ หากมีโอกาสผมจะทุ่มสุดกำลัง เพื่อพาทีมเยาวชนไทยไปฟุตบอลโลก หาก 17 ปีได้ไป 20 ปีมันก็ต้องไป หาก 20 ปี ได้ไป โอลิมปิกก็ต้องไปได้ เพราะเด็กมันจะไม่กลัวชาติอื่น ภายในปี 2024 ทีมชุด 17 ปี 20 ปี และ โอลิมปิกต้องได้ไปเล่นรอบสุดท้ายหากไม่มีชุดไหนใน 3 ชุดนี้ได้ไปไม่ต้องไป เรื่องฟุตบอลโลก ไม่ต้องมาโม้ ไม่มีทาง

GM : หลังจากที่เล่นฟุตบอลมาเกินครึ่งชีวิตคุณว่าฟุตบอลมอบอะไรให้คุณบ้าง

ซิโก้ : คำว่าฟุตบอล สำหรับผมมันคือความสุข สนามฟุตบอลคือพื้นที่ของผม วางตัวได้โดยไม่เคอะเขิน คุ้นเคยและถนัดที่สุด ถ้าจะให้ไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ใช่ตัวเรา ชีวิตนี้ ผมได้ทุกอย่างจากฟุตบอล ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ รู้จักคนหลากหลายวงการ ได้เรียนรู้ชีวิตที่ยากลำบาก แต่สามารถฝ่าฟันมาได้หากทุ่มเทมุมานะ ทุกอย่างมีทางออกหากคุณสู้กับมันมากพอ ไม่เป็นที่ยอมรับก็พิสูจน์ไปจนกว่าจะสำเร็จ อย่างน้อยให้ตอบตัวเองได้ว่าสุดทางแล้ว “สำหรับผมฟุตบอลคือสิ่งที่เพอเฟ็กต์ที่สุดแล้ว” เขายิ้มกว้างเป็นการส่งท้ายลุกขึ้นเดินมาตบไหล่พวกเราเพื่อบอกลา

อ่าน Everything I Know, I Learned From Football-ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (Part1)

Credit เรื่อง: พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์ ภาพ: สรรค์ภพ จิรวรรณธร อ่านบทความฉบับเต็มได้ในนิตยสาร GM ฉบับ 438 มกราคม 2558

ติดตามคอลัมน์อื่นๆเพิ่มเติม ดาวน์โหลดนิตยสารในเครือจีเอ็มได้แล้วที่ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook