สไตล์ที่แท้จริงเกิดขึ้นบนรันเวย์หรือบนท้องถนน?
เรื่อง: สธน ตันตราภรณ์
ในจังหวะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังคุกรุ่นด้วย คำถามโดนๆ อย่าง “สไตล์ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นบนรันเวย์…หรือบนท้องถนนกันแน่” เราขอพาคุณไปจับเข่าพูดคุยกับ 2 ช่างภาพคนดังแห่งอาณาจักร สตรีทสไตล์ถึงถิ่น Menswear Fashion Week และนับจากนี้ มุมมองยามจับจ้องกองทัพภาพแนวสตรีทเกลื่อนอินเทอร์เน็ตของคุณจะต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
QUEST OF THE SARTORIALIST
ท่ามกลางหมู่มวลตากล้องแนวสตรีทสไตล์หลายหมื่นรายชื่อ ทั่วโลก The Sartorialist อาจเปรียบได้กับเพชรยอดมงกุฎประจำวงการ และเรียกได้ว่าเป็น ‘คนโปรด’ ของใครหลายคน อย่างไรก็ตาม จำนวนรูปภาพมากสไตล์ซึ่งอัพโหลดผ่านเว็บไซต์ ยอดฮิตของผู้ก่อตั้งนามสกอตต์ ชูมาน (Scott Schuman) ซึ่งเราติดตามค้นหาแรงบันดาลใจในการแต่งกายและใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้น บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาเองจริงๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
ผู้เขียนนัดพบกับไอ้กันหนุ่มร่างหนาแต่งตัวโคตรหล่อรายนี้เพื่อค้นหาคำตอบ ก่อนจะพบว่าเขาเป็นมากกว่า ‘ช่างภาพแนวสตรีท ที่แม่งบังเอิญไม่สูงมาก เลยได้มุมภาพโคตรดี!’ ...อย่างที่บางคนชอบนิยามกัน “ผมทำงานในสายแฟชั่น ก่อนจะออกมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน” ชูมานเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ จังหวะการพูดรวดเร็วของเขากระโจนผ่าน รายละเอียดยิบย่อยไปในบางครั้งตลอดการสนทนา ซึ่งอาจเกิดจากการให้ ความสำคัญกับ ‘ประวัติ’ น้อยลง แต่มุ่งไปยัง ‘เนื้องาน’ จริงๆ ในทุกวันนี้มากกว่า ในที่นี้ ‘สายแฟชั่น’ ของเขาหมายรวมถึงงานเด็ดๆ ตลอด 15 ปีอย่างตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่นบุรุษ ณ Bergdorf Goodman หรือแม้แต่การร่วมงานกับแบรนด์เจ๋งๆ ตั้งแต่ Valentino ถึง Onward Kashiyama ก่อนจะขอลุยเปิดโชว์รูมของตัวเองที่มีผลงานจากนักออกแบบดัง เช่น Peter Som และ James Coviello ในเวลาต่อมา “ช่วงปี 2005 ในตอนนั้นเริ่มเกิดบล็อกต่างๆ ขึ้นมาแล้ว ผมเองก็คิดมาตลอดว่าอยากถ่ายภาพเกี่ยวกับแฟชั่นบ้าง เพราะถ่ายอยู่แต่รูปลูก คือผมอยากเสนอมุมมองของผมเองน่ะ ก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรนี่นา แล้วมันก็เกิดขึ้น!”
สำหรับชายหนุ่ม เจ้าของโอเวอร์โค้ตฝีเข็มเนี้ยบรับกับสัดส่วนปราบเซียนอย่างเขา เสน่ห์ของงานภาพแนวสตรีทสไตล์คือ “การทำให้ผู้คนกระหายใคร่รู้เกี่ยวกับตัวแบบ” ซึ่งนอกจากชิ้นเสื้อผ้า เครื่องประดับ และแอ๊กเซสเซอรี่ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญแล้ว ท่าทางก็ต้องมีน้ำหนักไม่แพ้กัน ในขณะเดียวกับที่ ‘แสง’ ก็เป็นส่วนประกอบซึ่งขาดไม่ได้ในงานภาพสไตล์นี้ “น่าเสียดายที่ตากล้องหลายคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้เท่าไร บางทีตอนกลางคืนผมยังถ่ายเลยนะ เราอาจจะอาศัยแสงจากโคมไฟถนน หรือแม้แต่แสงที่ลอดออกมาจากร้านขายของชำ คุณสามารถสร้างอารมณ์ได้มากมายเชียวละ”
เขาแบ่งปันเทคนิคกับเรา ก่อนจะหันไปทักทายสบายๆ และสั่งน้ำอัดลม ตรงบาร์ด้วยอิริยาบถเป็นกันเอง “แสงในแต่ละที่ย่อมแตกต่างกันออกไป อย่างที่มิลานจะมีเนินเยอะจนเกิดแอ่งความชื้น หมอกลง ภาพของคุณจะแตกต่างจากเวลาถ่ายรูปที่แอลเอ ซึ่งแสงจะคม แล้วก็เคลียร์กว่ากันเยอะ ที่โปรดของผมคือประเทศอิตาลี ทั้งมิลาน ฟลอเรนซ์ หรือเมืองไหนก็แล้วแต่ มันโรแมนติกมาก วิวสวย แสงดี คนก็เด็ด อาหารก็อร่อย”
ช่างภาพแนวสตรีททั่วไปมักจะทำงานตามโจทย์ที่ได้รับมา ซึ่งว่ากันตามสูตรธุรกิจแล้วย่อมหนีไม่พ้นงานรูปภาพที่ต้องสะท้อนชิ้นงานสำคัญอย่างเสื้อผ้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ชูมานเริ่มต้นบล็อกโบแดงของเขามาอีกแบบหนึ่ง จึงไม่แปลกที่ชิ้นงานตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน (หรือแม้แต่อนาคต) จะเต็มไปด้วยความหลากหลาย ปรากฏตั้งแต่แนวภาพอันแตกต่าง ที่ไม่จำเป็นต้องกลมกล่อมในทิศทางเดียวกันทั้งหมด หากชวนคิดเป็นปริศนาถึงตัวบุคคลบ้าง บ้างก็เป็นเรื่องของแสง บ้างเป็นเรื่องของเสื้อผ้า
เขาบรรจงหยิบโทรศัพท์มือถือไอโฟนขึ้นมาเปิดอัลบั้มรูปให้ดูเพื่อประกอบคำอธิบาย “อย่างรูปนี้ผมต้องรอนานมากกว่าประตูบานนี้จะเปิดออก จนสีของด้านนอกกับเงาข้างในมันตัดกัน หรืออย่างรูปนี้...” เขาเลื่อนลงไปจนถึงรูปของคาโรไลน์ อิสซา (Caroline Issa) แฟชั่นนิสต้าสาวเบอร์ต้นๆ ประจำวงการ ซึ่งบังเอิญเป็นอาจารย์ของผู้เขียนสมัยเรียนปริญญาโทอยู่ที่ลอนดอนปรากฏขึ้น เธอยิ้มง่ายๆ อยู่ข้างกรอบผนังที่มีแสงกระทบพื้นผิวจนเกิดเงา “...มันถ่ายยากมาก เพราะผมสนิทกับเธอ บางครั้งการจับภาพจะง่ายกว่ามากถ้าเราไม่รู้จักคนที่เราถ่ายเลยสักนิด เราสามารถสร้างเรื่องราวของเขาผ่านมุมมองของเราได้ แต่พอรู้จักกัน มันจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้”
ไหนๆ ก็แหย่เข้าประเด็นนี้แล้ว ผู้เขียนจึงไม่รอช้าที่จะต่อยอดสู่หัวข้อเกี่ยวกับเหล่าสาวกแฟชั่นผู้จงใจสวมใส่เสื้อผ้าจัดเต็มมาเพื่อล่อกองทัพตากล้องแนวเดียวกันกับเขาล่ะ เขาจะว่าอย่างไรบ้าง “คืองี้นะสธน ผมจะบอกอะไรให้อย่าง” ชูมานยิ้ม จากนั้นจึงเอื้อมมือมาจับแขนข้างหนึ่งของผู้เขียน ในลักษณะที่อยากจะอธิบายสัจธรรมให้คุณฟังใจจะขาด “นี่คือแฟชั่น และนี่คือแฟชั่นโชว์ ผู้คนจะแต่งตัวกันออกมาเพื่องานแฟชั่นโชว์ตลอดไป! คนที่เอาแต่คิดว่าคนอื่นแต่งตัวกันบ้าๆ บอๆ ไปงานแฟชั่นเพื่อให้มีคนมาถ่ายรูปเขาเท่านั้นคือคนที่ไม่เข้าใจโลกแฟชั่นเลยสักนิดเดียว! การที่สังคมเพิ่งจะมาเริ่มถกเถียงถึงปรากฏการณ์ทำนองนี้ หรือแม้แต่บันทึกเป็นหนังหรือข้อความบางอย่าง ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเสียเมื่อไร ผมได้ ดูสารคดีแฟชั่นเกี่ยวกับยุค 1980 สมัยฌอง-ปอล โกลติเยร์ (Jean-Paul Gaultier) ยังหนุ่ม สมัยโคลด มอนตานา (Claude Montana) ยังหนุ่ม สมัยเธียร์รี่ มูเกลอร์ (Thierry Mugler) ยังหนุ่ม คนเขาก็คลั่งไคล้เต็มที่กับแฟชั่นแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ”
นอกจากการแต่งกายที่ชัดเจน เขายังเป็นแฟนตัวยงของ ‘พลังคลาสสิก’ หากคุณมีโอกาสได้รู้จักกับชูมาน ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าในตัวช่างภาพรายนี้มี ‘คลื่นชีวิตแนวเรโทร’ แฝงเร้นอยู่อย่างเปิดเผย “ผมอิจฉาตากล้องโบราณอย่างริชาร์ด อะเวดอน (Richard Avadon) หรือเออร์วิง เพนน์ (Irving Penn) พวกเขาได้ไปทริปดีๆ อากาศดีๆ มีชีวิตสวยงามที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งผิดกันลิบลับกับความวุ่นวายที่ผมอาศัยอยู่ จริงๆ แล้วผมคงหลงรักตรงมนตร์เสน่ห์แห่งความแตกต่างนั่นละ”
แล้วหากเขาไม่ได้เป็นช่างภาพอย่างทุกวันนี้เล่า “ผมน่าจะอยู่ในวงการแฟชั่นนะ อาจจะไปทำแผนกการตลาด ไม่ก็เป็นเอดิเตอร์แฟชั่น หรืออาจจะคลั่งสายงานลุยๆ อย่างเป็นนักโบราณคดี ขุดดิน ผจญภัยไปเลย” และนี่คงจะเป็นความลังเลไม่กี่ครั้งที่ออกจากปากคำของตากล้อง ผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามั่นคงในทุกคลิกชัตเตอร์ อีกหนึ่ง ‘ผู้บุกเบิก’ แห่งวงการแฟชั่น ที่เราควรรู้จักและจดจำชื่อ...สกอตต์ ชูมาน
VISION OF ART
หากคุณอยากจัดอันดับช่างภาพที่แต่งกายได้โดดเด่นในเชิง ‘ดี’ แน่นอนมากว่าจะต้องมีชื่อคาร์ล-เอ็ดวิน แกร์ (Karl-Edwin Guerre หรือ K.E. Guerre) แห่งเว็บไซต์ยอดฮิต Guerreisms ติดโผอยู่ในตำแหน่งต้นๆ เพราะช่างภาพหนุ่มผิวสีจากนิวยอร์กรายนี้นอกจากจะมีสายตาแหลมคม กับจังหวะเฉพาะตัวในการจับภาพผ่านเลนส์แล้ว สไตล์ส่วนตัวของเขายังเด็ดดวงไม่แพ้ฝีมือการถ่ายรูป จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่างภาพแนวสตรีท ซึ่งได้รับการจับภาพและกลายเป็น ‘แบบ’ เสียเองมากที่สุดคนหนึ่งของวงการก็ว่าได้
“ผมมองตัวเองเป็นศิลปินคนหนึ่งมาตลอด” แกร์ในแจ๊กเก็ตเบลเซอร์สีน้ำเงิน สวมทับเสื้อคอเต่า พร้อมหมวกเฟดอราเนื้อสักหลาด เริ่มเล่า ให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ หลังจากนั่งที่ร้านไอศกรีมในวันแดดจัด ซึ่งทำให้เราแอบรู้สึกผิดกลายๆ เพราะในวันแสงเด็ดกลางสัปดาห์แฟชั่นประจำภาคพื้นยุโรปเช่นนี้ หากไม่มานั่งสัมภาษณ์กับเราเป็นการเฉพาะกิจ เขาคงได้ออกไปเก็บภาพคูลๆ อีกเพียบมาฝากแฟนคลับเรือนแสน “ผมรักการเล่าเรื่องนะ และเคยเป็นนักเขียน แต่การเขียนงานโดยเฉพาะในหมวดบทกวีแบบที่เคยเขียนนั้น เราต้องเขียนอย่างสม่ำเสมอ ถ้าคุณหยุด ทักษะมันจะขึ้นสนิม ผมเริ่มหยิบกล้องมาถ่ายภาพอย่างจริงจังก็เพื่อหารูปมาประกอบอารมณ์กับบทกลอน เพราะมุมมองที่มีในท้องตลาดนั้นไม่เข้ากับสิ่งที่ผมสร้างสรรค์เอาซะเลย” นี่คือเหตุผลที่เขาเริ่มต่อยอดไปสู่หนังสั้นและแวดวงแฟชั่นในเวลาต่อมา
“ช่วงปี 2008 ผมเริ่มสนใจภาพแนวสตรีทสไตล์ ผมสังเกตว่าตัวเอง ตื่นเต้นกับงานพวกนั้นอยู่ไม่เกิน 2 อาทิตย์ แล้วก็ไม่กลับไปเปิดบล็อกดู อีกเลย งานที่เราเห็นหลักๆ แบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกัน ประเภทแรกคือพวกภาพนางแบบนายแบบซึ่งผมไม่สนเลยสักนิด กับอีกแบบคือ...เว็บไซต์ของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เขาดังมากนะ” เขาเล่ากลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยพนักงานเสิร์ฟและช็อกโกแลตร้อนแก้วใหญ่ “สำหรับผม งานของเขาเป็นสาย ‘แฟชั่น’ แต่ผมอยากเห็น ‘สไตล์’ มากกว่า คือรูปของเขาสวยนะ เต็มไปด้วยภาพคนดังในวงการ แต่สิ่งที่มองหาคือคนที่คูลจริงๆ ในสายตาของผม คนที่ผมอาจไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่อยากจะรู้ต่อไปว่าเขาทำมาหากินอะไรกันแน่ มีเรื่องราวชีวิตอย่างไรบ้าง นอกเหนือ จากลุคสวยๆ กับจังหวะของภาพนั้นๆ”
สัญชาตญาณกับรสนิยมนับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานและทำให้ศิลปินอยู่รอดในวงการแฟชั่น ชายหนุ่มคนนี้ออกตัวกับเราว่าเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับคำว่า ‘แฟชั่น’ เลยด้วยซ้ำไป รสนิยมการแต่งกายอันแปลกตาของเขาเองก็ล้วนเกิดขึ้นจากความชอบเป็นการส่วนตัว โดย ไม่จำเป็นต้องได้รับการนิยามใดๆ ความสนใจใหม่นี้พาให้เขาไปยืนอยู่ตามละแวกต่างๆ รวมถึงใกล้ถิ่นแฟชั่นวีคเอง เพื่อลั่นชัตเตอร์ภาพคนที่แต่งตัว ‘ทำนองเดียวกัน’ กับเขาจนเกิดเป็นลัทธิ Guerreisms ย่อมๆ บนสื่อออนไลน์ “ผมเรียกตัวเองว่าเป็น ‘ตากล้องคนท้ายๆ ของช่างภาพสตรีทสไตล์กลุ่มแรก’ ซึ่งทุกคนมีบทบาทของตัวเองชัดเจน คนนี้ถ่ายคนดัง คนนี้ถ่าย นางแบบเท่านั้น คนนี้ริเริ่มจดรายละเอียดเสื้อผ้า หน้า ผม จนกลายเป็นสารานุกรมคนรักแฟชั่น คนนี้เป็นสายขายของ ตอนแรกทิศทางของผมค่อนข้างสะเปะสะปะ มีครบทุกรส เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี จนมีคนมาทักว่ารูปผู้หญิงของผมสวยดี แต่ภาพผู้ชายเด็ดกว่า”
มิสเตอร์แกร์ในวันนั้นจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองที่ยังหลงใหลการถ่ายภาพสาวๆ อยู่ว่า เขาถ่ายผู้หญิงเพราะพวกเธอหน้าตาสวยเข้าตาแค่นั้น หรือเพราะพวกเธอมีสไตล์โดดเด่นจริงๆ ในขณะที่ความยากที่สุดสำหรับเขาคือ “ผมจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าสองส่วนนั้นแตกต่างกันอย่างไร...ซึ่งกับรูปของพวกผู้ชาย ผมว่าผมรู้!”
งานภาพของแกร์ได้รับการจับตามอง เพราะเขาเป็นต้นแบบของช่างภาพสตรีทยุคบุกเบิก ที่ใส่ใจรายละเอียดของชิ้นเสื้อผ้าและแอ๊กเซสเซอรี่ โดยไม่มัวคำนึงอยู่ตลอดว่าใครเป็นคนสวมใส่ หลายครั้งเราจึงได้เห็นภาพคอลเล็กชั่น ของเขาเต็มไปด้วยรูปผ้าไหมเหน็บกระเป๋าสูทเนื้อดี นาฬิกาที่โผล่พ้นแขนเชิ้ตออกมาอย่างได้ระดับ หรือแม้แต่กระดุมเม็ดจิ๋วซึ่งมีสีสันผิดแผกกว่าเม็ดอื่นๆ หากไม่ปรากฏใบหน้าของเจ้าของชิ้นงานให้ชมแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในโลกยุคเซเลบริตี้ครองเมือง ซึ่งสาวกแฟชั่นคลั่งสไตล์หลายล้านชีวิตล้วนต้องการเห็นภาพตนเองปรากฏอยู่ตามสื่อมีชื่อ จนบรรยากาศหน้าสถานที่จัดแสดงโชว์แฟชั่นจากลอนดอนถึงกรุงเทพฯ แทบจะไม่ต่างกับ ‘คณะละครสัตว์’ คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ เขามีวิธีการคัดกรองบุคคลที่เขาอยากถ่ายอย่างไร “ผมมีกฎข้อหนึ่งคือ ผมจะถ่ายคนที่ผมเหลียวมองเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณทำให้ผมหันกลับไปมองอีกรอบไม่ได้ ผมก็แค่เดินหน้าต่อแล้วช็อตนั้นก็ไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าคุณจะน่ามองก็ตาม ผมเลือกที่จะบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ตามจริง มากกว่าร้องขอให้ใครจัดวางเรือนร่างเพื่อมุมกล้องสวยๆ อันที่จริงคุณมีเวลาประมาณ 3 วินาทีเท่านั้นเพื่อถ่ายภาพที่เป็นธรรมชาติ เกินไปกว่านั้นแต่ละคนจะเริ่มอึกอัก ตั้งใจ แล้วเริ่มคำนวณกลยุทธ์โน่นนี่ คือไม่ใช่ว่ารูปไม่สวยนะ แต่มันขาดความรู้สึกที่แท้จริงน่ะ”
คำกล่าวข้างต้นอธิบายได้ชัดเจนถึงภาพถ่ายภาพหนึ่ง ที่แกร์แอบถ่าย ผู้เขียนครั้งแรกเมื่อหลายฤดูกาลก่อนหน้านี้ ขณะผู้เขียนกำลังหัวเราะเขินๆ ท่ามกลางเหล่าช่างภาพสตรีทหลาย 10 ชีวิตที่หน้าโชว์แบรนด์ Emporio Armani กลางกรุงมิลาน “ผมเลือกถ่ายจากสถานการณ์ในชั่วพริบตานั้น และมันกลายเป็นรูปโปรดของผมรูปหนึ่งเชียวนะ”
อีกหนึ่งจังหวะภาพโปรดของแกร์เกิดขึ้นเมื่อสามีภรรยาคู่หนึ่งร้องขอถ่ายภาพเขาที่นครฟลอเรนซ์ “ผมเลยตอบไปว่าได้ แต่พวกเขาต้องยอมให้ผมถ่ายภาพพวกเขาบ้างนะ” หลังจากนั้นช่างภาพคนจริงรายนี้ตัดสินใจส่งรูปคู่ใบนั้นไปให้สองสามีภรรยา และได้รับจดหมายอันมีค่าตอบกลับในไม่กี่เดือนถัดมา “พวกเขาล้างรูปผม ใส่กรอบ และแขวนไว้ในร้านของพวกเขา แล้วเล่าให้ฟังว่าพวกเขาไปเที่ยวเมืองนั้นเพื่อฉลองครบรอบแต่งงาน 40 ปี ทั้งคู่บอกว่ารูปของผมบันทึกชีวิตคู่ที่ผ่านมาทั้งหมดของพวกเขา เรื่องทำนองนี้มันงดงามมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ในแง่การทำงาน หากไม่นับรวมบล็อกแฟชั่นต่างๆ ซึ่งอาจโชคดีโด่งดัง จนมีเงินจากฝ่ายโฆษณาตกถึงท้อง ช่างภาพสตรีทสไตล์สร้างธุรกิจอย่างเป็นรูปเป็นร่างผ่านสายงาน 2 รูปแบบหลักๆ คือ การขายภาพโดยตรงให้นิตยสารนำไปตีพิมพ์ ไม่ก็ทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้า ซึ่งแบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องคอยติดตามเทรนด์หรือศึกษาความเป็นไปของไลฟ์สไตล์ ตลอดจนรสนิยมที่ผันเปลี่ยนไปของผู้คนและความฮอตฮิตของข้าวของนานาประเภท ช่างภาพแนวนี้เปรียบได้กับด่านหน้าซึ่งมีโอกาสสัมผัส ‘ความเป็นจริงบนท้องถนน’ มากกว่าใครอื่น ด้วยข้อมูลและวิธีการเหล่านี้ทำให้แบรนด์มากมายสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในท้ายที่สุด
“เราอยู่ในโลกโลกาภิวัตน์ ทุกวันนี้มันยากมากนะที่จะชี้ชัดลงไปว่านี่คือสไตล์อิตาเลียน นี่คือสไตล์ฝรั่งเศสหรืออเมริกัน ส่วนหนึ่งของงานผมคือ การเดินทางเพื่อทำความเข้าใจให้ได้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน เป็นไปอย่างไร เพื่อสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงบางอย่าง เพราะหากคุณเป็นแบรนด์แล้วอยากอยู่รอด คุณก็ต้องปรับให้ขายได้ทั่วโลก” เขาเจาะประเด็นที่ลึกลงไปกว่างานตากล้องแบบผิวเผินที่เราคุ้นชินและยึดถือกัน “สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ทั้งจาก ‘แฟชั่น’ และ ‘สไตล์’ คือเราอาจไม่ได้ช่วยผ่าตัดอะไรจริงจังเหมือนที่พวกหมอๆ ทำกัน แต่เรามีส่วนช่วย ‘รักษาชีวิต’ นะ เพราะเมื่อคนเราแต่งตัวสวย เราจะรู้สึกดี บ่อยครั้งที่ผมเห็นคนแต่งตัวสวยจนอดยิ้มให้ไม่ได้ และเขาจะยิ้มตอบกลับมา ช่วงเวลาเหล่านั้นที่พวกเขารู้สึกดีกับตัวเอง มันช่างมีค่ามหาศาลในสายตาของผม...แถมโลกยัง น่าอยู่ขึ้นด้วยนะ”
เราจบบทสนทนา กล่าวคำอำลา ก่อนจะก้าวออกจากร้านสู่แดดแรงจ้าและแยกย้ายกันไปคนละทิศ ซึ่งเชื่อเหลือใจเลยว่าเขาคงไม่รอช้าที่จะคว้ากล้องขึ้นถ่ายรูปใครสักคนบนถนนสายนั้นอย่างเงียบๆ ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมาอย่างที่ทำเป็นประจำ