วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรฝีปากกล้าแห่งยุค Digital Age
โดย วรรษชล คัวดรี้
วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา เริ่มต้นอาชีพพิธีกรและเป็นที่รู้จักจากรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย เมื่อปี พ.ศ. 2551 ในฐานะพิธีกรฝีปากกล้าที่กล้าหยิบเรื่องในกระแสที่หลายคนอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม มานำเสนอในรูปแบบรายการทอล์กโชว์ กว่า 10 ปีในวงการวู้ดดี้มากับหลากหลายรายการ ออกอากาศผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม แสดงให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแค่ไหน เขาก็คือพิธีกรคนหนึ่งที่สามารถก้าวไปพร้อมกับมัน และการควบคุมนำเทคโนโลยีมาใช้ก็ทำให้เขายังครองความเป็นผู้นำในฐานะพิธีกรแห่งยุค Digital Age ได้อย่างง่ายดาย
เทคโนโลยีมือถือที่มีในปัจจุบันสำคัญกับการทำงานอย่างไรบ้าง
มันสำคัญต่อชีวิตการทำงานของผมในทุกวันมากนะ มันอยู่กับเราตลอดตั้งแต่ตื่นมาจนนอนหลับ อย่างแรกเลยคือการถ่ายโอนข้อมูล เมื่อก่อนต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ เลยนะกว่าจะไปหาแหล่งข้อมูล ไปคุยกับคน แล้วยังจะต้องมากรองข้อมูลอีก แต่เดี๋ยวนี้มือถือสามารถกรองข้อมูลให้เราเสร็จสรรพเลย ทุกวันนี้โลกและทุกอย่างอยู่ที่ปลายนิ้วของเรา ข้อมูลทุกอย่างเลยไปไวมาก คนสามารถรู้ข้อมูลต่างๆ ได้ในวินาทีนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นกำไรสุทธิของบริษัท เพื่อนคุณโสดอยู่มั้ย หรืออะไรที่กำลังฮิตติดเทรนด์อยู่ตอนนี้ มันเหมือนกับว่าทุกอย่างสามารถเนรมิตขึ้นมาได้ด้วยเทคโนโลยีมือถือ
ถ้าไม่เกี่ยวกับงาน คุณติดมือถือมากแค่ไหน
เป็นคนที่ติดมือถือมากครับ โดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งวันผมใช้เวลากับมือถืออยู่ที่ 2 ชั่วโมง อันนี้คือนับรวมการใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ทุกแอปฯ แล้วนะ
ทวิตเตอร์หรืออินสตาแกรม
อินสตาแกรมครับ เพราะผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ผมมองว่าอินสตาแกรมเป็นเหมือนด่านแรกของเรา เดี๋ยวนี้ผมเข้ามาแชตในอินสตาแกรมมากขึ้น เมื่อก่อนอินสตาแกรมมีไว้ดูภาพสวย แต่เดี๋ยวนี้เราสามารถติดตามข่าวสารต่างๆ ตามฟีดของอินสตาแกรมได้ สมัยก่อนคนเราอาจจะใช้เฟซบุ๊กเยอะกว่า แต่เดี๋ยวนี้เทรนด์มันเปลี่ยน คนหันมาใช้อินสตาแกรมมากกว่า แต่ถ้ามีเวลาเหลือ หรือผมต้องการข้อมูลอะไรที่ด่วนมากๆ ก็จะเข้าทวิตเตอร์ อย่างเช่น พอมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เราก็หาแฮชแท็กที่มันเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเข้าไปตามอ่านเรื่องราวจากในฟีดนั้นๆ หรือเวลาที่ผมอยากฟังความคิดเห็นจากกลุ่มคนที่มีความหลากหลายในเรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่ๆ เรื่องหนึ่ง ผมก็จะเข้าทวิตเตอร์
คุณเริ่มทำงานในยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างทีวีกับดิจิตอล การเปลี่ยนแปลงทำให้การทำงานยากขึ้นมั้ย หรือง่ายกว่าเดิม?
สมัยที่ยังเป็นรายการทางช่องทีวี เราต้องรายงานผลงานของรายการให้กับทางช่องที่เป็นคู่ค้ากับเรา แต่ทุกวันนี้คู่ค้าของเราเป็นมากกว่าช่องแล้ว คือเป็นโซเชียลมีเดีย มันเหมือนกับเราทำงานให้กับหลายช่องที่เป็นออนไลน์ ซึ่งในตัวคอนเทนต์ของรายการเองก็เปลี่ยนแปลงตามแพลตฟอร์มที่ไม่เหมือนเดิม จากสมัยก่อนที่ทำรายการให้กับทางช่องทีวี คอนเทนต์จะยาวสัก 45 นาที แต่เดี๋ยวนี้คอนเทนต์ถูกปรับเปลี่ยนให้สั้นลง มีแบบ 2 - 3 นาที บางชิ้นยาวแค่ 15 วินาทีก็มี หรือบางชิ้นมาเป็นซีรีส์ในสตอรี่ฟีเจอร์ที่ลงในโซเชียลมีเดียเลย พูดง่ายๆ ก็คือคอนเทนต์ของเรายังเหมือนเดิม เพียงแต่เราใช้อุปกรณ์และทีมงานน้อยลง การเล่าเรื่องของเรามีความกระชับขึ้น เรายังผลิตสื่อ ผลิตคอนเทนต์เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าตัวแพลตฟอร์มมันเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง
แปลว่าเมื่อมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามา (อย่างไอจีสตอรี่) คุณก็ต้องอัปเดตข่าวลงฟีเจอร์นั้นๆ
มันก็เป็นอุปาทานหมู่เหมือนกันนะ ไอจีสตอรี่มันเป็นเพียงแค่ฟังก์ชั่นพิเศษของอินสตาแกรม แต่ถามว่า จำเป็นมั้ยที่ต้องรายงานคอนเทนต์ของคุณผ่านฟีเจอร์ตัวนี้? ก็ไม่นะ คุณไม่จำเป็นต้องเล่นไอจีสตอรี่หรืออินสตาแกรม คุณสามารถเลือกที่จะอยู่คนเดียว ถ่ายรูปสวยๆ ไปวันๆ ก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่งที่คนอื่นทำ เพียงแต่ทุกวันนี้คนเราอยู่ในโลกแห่งความอุปาทานหมู่อยู่ เราต้องเป็นนายของเทคโนโลยี ต้องคุมสื่อและโซเชียลมีเดียต่างๆ ให้ได้ เราต้องแยกแยะให้ได้ครับ
คนที่ใช้โซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกเหนื่อย รู้สึกหดหู่ คือคนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะใช้โซเชียลมีเดีย คุณต้องตั้งสติและคิดว่าเรื่องที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคุณ ไม่ต้องไปใส่อารมณ์กับมัน ผมรู้สึกว่าบางทีเราดูโซเชียลมีเดียมากเกินจนเกิดการเปรียบเทียบชีวิตของเรากับชีวิตของคนอื่น อย่างของผม ผมก็อัปฯ สตอรี่ลงไอจีนะ เพราะมีความคิดที่ว่าถ้าเราทำคอนเทนต์ของเราให้ดีและมีประโยชน์ นอกจากเราจะสนุกไปกับมันแล้ว คนอื่นยังได้ประโยชน์อีกด้วย ผมยึดหลักที่ว่าเราจะทำคอนเทนต์ยังไงให้ดีกว่าเมื่อวาน อะไรที่พอโพสต์ลงไปในฟีดแล้วจะเป็นประโยชน์กว่าเมื่อวาน
ที่ทำนี่ไม่ใช่ทำเพียงเพราะว่ามีช่องทางให้ทำ
ไม่ใช่ ที่ทำเพราะผมคิดแล้วว่า การทำคอนเทนต์แบบไหนจะเป็นประโยชน์ต่อคนเรามากกว่า สมัยก่อนคนเราฮิตที่จะต้องเช็กอินเวลาไปที่ต่างๆ หรือทำอะไร เช่น ไปต่างประเทศหรือกินข้าว แต่เดี๋ยวนี้คนเราเช็กอินจนเบื่อกันแล้ว เราเช็กอินกันทุกวันจนรู้สึกว่า ทำไมเราถึงต้องคอยบอกคนอื่นว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไร หรือกินอะไรอยู่ สังเกตมั้ยครับว่าหลังๆ มานี้คนไม่ค่อยอัปฯ รูป หรือเช็กอินเวลากินข้าวแล้ว ที่เขาเลิกทำแบบนั้นเพราะอะไรที่มันมากเกินไป คนเราก็เบื่อครับ ทุกอย่างมันมาแล้วก็ไป ผมมองว่าเทคโนโลยีทำให้เราใช้ชีวิตแบบเร่งรีบขึ้น มีเวลาที่จำกัดมากขึ้น บางทีการถ่ายภาพอาหารอาจจะทำให้เราเสียเวลา สู้เราเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ดังนั้นเราต้องปรับตัวเราให้เข้ากับเทคโนโลยีหรือโซเชียลมีเดียที่เราใช้ด้วย
สมัยนี้การใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเป็นแบบ Two - way Communication มีคนมาคอมเมนต์ตลอด คุณอ่านคอมเมนต์บ้างมั้ย
อ่านครับ แต่ผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกดาวน์นะ เพราะเราต้องแยกแยะให้ได้ เราต้องมองว่าการที่มีคนมาคอมเมนต์ และการที่บางคอมเมนต์อาจจะเห็นต่างจากเรา หรือวิจารณ์เรานั้นเป็นเรื่องปกติ ตัวเรายังคอมเมนต์การทำงานของคนอื่นได้เลย แล้วทำไมคนอื่นถึงจะมาคอมเมนต์การทำงานของเราบ้างไม่ได้ คอมเมนต์ที่ว่านี้มีทั้งคอมเมนต์ที่ชมและวิจารณ์นะ ดังนั้นเราก็ต้องนำคอมเมนต์ที่แนะนำและวิจารณ์เรามาคิดต่อยอด เพื่อปรับปรุงตัวเราเองต่อไป ทุกวันนี้ผมอ่านคอมเมนต์ต่างๆ จนไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็เป็นปกติของมนุษย์นะครับ เวลาที่มีคอมเมนต์แรงๆ มา เราก็ต้องรู้สึกบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ต้องปล่อยวางให้เป็น ซึ่งต้องอาศัยเวลาฝึกฝนเป็นปีๆ ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้วจะสามารถปล่อยวางกันได้ง่ายๆ
แสดงว่าช่วงแรกๆ ก็มีบ้างที่รู้สึกดาวน์กับคอมเมนต์ที่วิจารณ์เราแรงๆ
ก็มีบ้างนะช่วงแรกๆ แต่เราก็คิดได้ว่ารู้สึกดาวน์ไปมันก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเรา เพราะเราก็จะทำงานต่อไปไม่ได้ ถ้าคุณเลือกที่จะหนี ปิดตา หรือทำเป็นไม่ได้ยินคำวิจารณ์แรงๆ แบบนั้น คุณก็จะเป็นคนที่ไม่มีภูมิต้านทาน ดังนั้นที่เราทำได้คือเรียนรู้ที่จะอยู่ไปกับมัน ให้คิดเสียว่ามันเป็นเพียงแค่ตัวอักษรที่คนพิมพ์มา ซึ่งมันไม่ควรมาเปลี่ยนชีวิตเรา หรือมาทำร้ายชีวิตเรา แต่ถ้าคอมเมนต์ไหนที่เขาวิจารณ์มา แล้วมันเป็นเรื่องจริง เราก็น้อมรับและนำมาปรับปรุงตัวเองแค่นั้นเอง ผมมองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะการที่ยังมีคนมาคอมเมนต์เราอยู่ แสดงว่าเราเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเรายิ่งต้องน้อมรับคำติชม
มีนโยบายในการคอมเมนต์ตอบคนทางโซเชียลมีเดียมั้ย
ผมและทีมงานก็ไลก์และคอมเมนต์ตอบทุกคนนะ เราทำงานกันเป็นทีม โดยยึดหลักว่า ทุกคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในหน้าเพจของเราจะได้รับสัญญาณการตอบกลับทุกคน
จะไม่ทิ้งคอมเมนต์ไหนให้ไม่ได้รับการคอมเมนต์ตอบกลับเลย
ไม่ครับ ก็เหมือนเวลาที่มีคนมาบ้านเราแล้วเขาพูดทักทายสวัสดี แต่ไม่มีใครตอบกลับเลย เขาก็คงรู้สึกไม่ดีใช่มั้ยครับ ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์เข้ามาในบ้านเราแล้ว ถ้าผมเห็นข้อความไหนในเพจของผมที่ยังไม่มีการกดไลก์หรือคอมเมนต์กลับ ผมก็จะรู้สึกไม่ดี เวลาผมว่างจากการทำงานก็จะเข้าไปในเพจของตัวเอง แล้วไปกดไลก์หรือคอมเมนต์ให้กับคอมเมนต์ที่ยังไม่มีการตอบกลับจากทีมงานของผม
คนไทยชอบข่าวที่ขุดล้วงลึกในเรื่องที่เป็นส่วนตัว คุณมีการวางตัวยังไงในการสัมภาษณ์คนไม่ให้ล้ำเส้น
หลักๆ คือเราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องครับ เราไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อ Production คนดู หรือตัวเรา ดังนั้นเวลาเราสัมภาษณ์ใคร หรือทำคอนเทนต์อะไร ก็ต้องมั่นใจว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเรา รวมถึงคนที่มาให้สัมภาษณ์หรือร่วมรายการ และคนที่ติดตามสื่อด้วย
เคยรู้สึกมั้ยว่า ที่เราทำรายการสัมภาษณ์คนมามันเป็นการแสดงอยู่ตลอดเวลา
เคยครับ สมัยก่อนสัก 15 ปีที่แล้ว เวลาที่เราอยากให้การสัมภาษณ์นั้นๆ ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้การทำรายการของเรามันเป็นเหมือนการมาคุยกันมากกว่าการสัมภาษณ์ เราเพียงแค่เอาตัวเราเข้าไปพูดคุยกับคนที่มาร่วมรายการเท่านั้น ยิ่งคุยไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งรู้มากขึ้นว่าเขาต้องการจะสื่อสารอะไร บางทีคำถามหรือสิ่งที่เราเตรียมมาก่อนการสัมภาษณ์อาจจะไม่เป็นประโยชน์เท่ากับสิ่งที่เราได้จากการคุยกับคนที่มาร่วมรายการ เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินจากการนั่งคุยกันมันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เราเตรียมมาถามเขาอีก เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่ค่อยเตรียมโพยเท่าไหร่แล้วครับ เวลาจะสัมภาษณ์ใคร ผมจะมีเรื่องเดียวในใจคือเขาต้องการจะคุยอะไรกับเรา เพราะถ้าเขาอยากคุยกับเราปุ๊บ มันจะเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจมาก แต่หากเขาไม่อยากคุยกับเรา บทสนทนานั้นมันก็จะกร่อยเลย ถ้าเราใช้เพียงโพยในการสัมภาษณ์คน ทุกอย่างมันจะแข็งกระด้าง เพราะทุกอย่างมันเหมือนกับเราได้เตรียม หรือเราได้เห็นมันผ่านตามาหมดแล้ว แต่ถ้าเราใช้ใจ ใช้ฟีลลิ่งในการสัมภาษณ์ ในการคุยกับคน ทุกอย่างมันจะ Flow และจะออกมาดีมาก
ชอบเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์มั้ย
เอาจริงๆ ผมชอบให้สัมภาษณ์มากกว่าการสัมภาษณ์คนอื่นนะ เพราะบางทีก็รู้สึกว่า เราทำมันเยอะแล้ว ก็อยากเปลี่ยนบ้าง พวกนี้มันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งนะ อย่างการสัมภาษณ์คนมันเป็นการที่เราจะทำยังไงให้สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของคนคนหนึ่งออกมาให้ดีที่สุด แต่การให้สัมภาษณ์นี่เป็นการพูดถึงว่า ชีวิตเราต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดๆ หนึ่งได้ มันเป็นเหมือนการ Recheck สะท้อนมุมมองตัวเองแบบหนึ่ง มันทำให้เห็น Marker ของชีวิตเราว่า ตอนนี้ชีวิตเราเดินมาถึงจุดนี้แล้วนะ หรือเรามีสิ่งนี้แล้วนะ อย่างเช่น คำถามที่ว่า “คุณรู้สึกว่าคุณประสบความสำเร็จหรือยัง?” คำถามแบบนี้มันทำให้เราได้ทบทวนชีวิตของเรา
มีการเปลี่ยนแปลงมุมมองในเรื่องความสำเร็จในวันแรกที่ทำงานกับความสำเร็จในวันนี้บ้างมั้ย
มีครับ ความสำเร็จในวันแรกของการทำงาน คือชื่อเสียง เงินทอง แต่ความสำเร็จในวันนี้คือการที่เราทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นประโยชน์ ในอดีตที่เคยมีความคิดว่า ความสำเร็จคือเรื่องชื่อเสียง เงินทอง เพราะว่าทุกคนได้รับการหล่อหลอมสั่งสอนมาว่า จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องเป็นคนที่มีเงิน มีชื่อเสียง ยศ ตำแหน่ง แต่พอเราใช้ชีวิตผ่านมาสักระยะ เราก็กลับมานั่งย้อนคิดว่า แต่มันไม่มีหน้าตาของความสุขอยู่ในความสำเร็จนั้นเลยนะ ความสำเร็จที่แท้จริงคือการที่เราได้ตื่นมาทำในสิ่งที่เรารักมากในแต่ละวัน และสิ่งที่เรารักมันก็เป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คนที่ได้ดู ได้ใช้ชีวิต
อะไรเป็นแรงผลักดันให้หันมาออกกำลังกาย
เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ออกกำลังกายน้อยมาก แทบจะออกเดือนละไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ จนกระทั่งเราถามตัวเองว่า ก่อนเราตาย เราไม่อยากเห็นร่างที่สมบูรณ์แบบของเราเลยเหรอ?
ตอนผมเด็กๆ มอส ปฏิภาณ (ปฏิภาณ ปฐวีกานต์) นั้นดังมาก ผมจำได้ว่าเขาจะออกมาพูดรณรงค์ตลอดว่า “อย่าติดยาเสพติดนะครับ หันมาเสพติดกีฬาดีกว่า” ตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงให้เสพติดกีฬา กีฬามันดียังไง? แต่พอเราเริ่มออกกำลังกายแล้ว เรารู้สึกได้เลยว่าการออกกำลังกายมันเสริมสร้างความมั่นใจ มันให้พลังกับเรา เวลาคนที่รู้สึกเศร้า รู้สึกนอยด์กับชีวิต มันเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกว่าตัวเขานั้นแอ็กทีฟไปกับชีวิตเขา ถ้าคุณกินอาหารขยะ แล้วไม่กำจัดมันออกมา ชีวิตคุณมันจะไปกระชุ่มกระชวยได้ยังไง? แต่ถ้าคุณออกกำลังกาย ร่างกายคุณจะเผาผลาญตลอดเวลา เหงื่อไหล เลือดมีการหมุนเวียนอยู่เสมอ คุณจะรู้สึกเฟรช และสามารถคิดไอเดียเจ๋งๆ ออกมาให้คุณใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างสนุกมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ดังนั้นการออกกำลังกายไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำต่อเมื่อคุณว่าง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพียงแต่เราไม่รู้ตัว เพราะว่าเราเกิดมาในโลกที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เต็มไปหมด แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว คนรู้แล้วว่าการออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกิน การนอน และการเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ผมมองว่าการออกกำลังกายนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิตคนเรา
จัดเวลาการใช้ชีวิตในหนึ่งวันอย่างไรบ้าง
ผมต้องทำหลายๆ อย่างในหนึ่งวัน เลยพยายามที่จะทำสิ่งต่าง โปรเจ็กต์ต่างๆ ให้เสร็จภายในวันนั้นเลย ผมคิดว่าผมแบ่งเวลาได้ดีพอสมควร เพราะงานของผมมันชนกันชั่วโมงต่อชั่วโมง แต่สิ่งที่ผมคิดว่า พอแล้ว มากเกินไปแล้วในแต่ละวัน คือการประชุม เพราะถ้าเราประชุมเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน ข้อมูลทุกอย่างมันจะเยอะเกิน เราต้องใช้สมองมากจนเกินไปจนเราเบลอ เราล้า
ในปีที่ผ่านมาอะไรที่ถือว่าเป็น Of the Year ของคุณวู้ดดี้
การที่ผมได้รับเชิญให้เป็นตัวแทนประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปพูดในงาน One Young World ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คิดดูบนเวทีนั้นจะมีคนอย่าง แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard), จอห์น เมเยอร์ (John Mayer), นายกรัฐมนตรี และโคฟี อันนัน (Kofi Annan) ที่มาพูดคุยในเรื่องการช่วยเหลือคนบนโลกที่เขาคุ้นเคยกันดี ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม แต่ที่ผมได้รับเชิญให้ไปพูด คือเรื่องของ LGBT ซึ่งผมก็ได้แชร์เรื่องราวให้ผู้คนที่มางานนั้นฟังว่า “ผู้คนไม่ว่าจากส่วนไหนบนโลกล้วนต้องการความรักทั้งสิ้น ดังนั้นคุณก็ควรบอกคนที่คุณรักว่า คุณรักเขาในสิ่งที่เขาเป็น แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว มันสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาและชีวิตตัวคุณเองด้วย โลกมันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย เพียงแค่คุณพูดประโยคนั้นออกไปให้คนที่คุณอาจมองว่าเขาแตกต่าง ไม่เหมือนกับคุณฟัง” พอผมพูดจบและลงจากเวที ก็มีคนในงานจากหลายประเทศเข้ามาแชร์ให้ผมฟังว่า ที่ประเทศเขายังไม่มีเสรีภาพทาง LGBT มากนัก ผมเลยคิดได้สองสิ่งคือ เรานี่โชคดีนะ ที่เกิดมาอยู่ในประเทศที่มีเสรีภาพทาง LGBT ในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และสองคือการที่เราได้รู้ว่าสิ่งที่เราพูดไปสามารถช่วยคนได้อีกมากมาย มันเป็นไฮไลต์หนึ่งของชีวิตเราเลยนะ