ไม้สุดท้ายตระกูล "คุณปลื้ม" "ตุ้ย-ณรงค์ชัย" ลูกเจ้าพ่อภาคตะวันออก

ไม้สุดท้ายตระกูล "คุณปลื้ม" "ตุ้ย-ณรงค์ชัย" ลูกเจ้าพ่อภาคตะวันออก

ไม้สุดท้ายตระกูล "คุณปลื้ม" "ตุ้ย-ณรงค์ชัย" ลูกเจ้าพ่อภาคตะวันออก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สุชาฎา ประพันธ์วงศ์ : เรื่อง

"ถ้าจะเปรียบว่าบ้านผมเป็นครอบครัวหมาดุ ผมก็เป็นพันธุ์ "ปอมเมอเรเนียน" แต่เป็นหมาปอมใครจะไปกลัว"

ทะเลบางแสน ผืนทรายและเกลียวคลื่นแห่งภาคตะวันออก แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวตลอดกาล วันนี้ถูกกล่าวขวัญถึงมากเป็นพิเศษหลังจากถูกจัดระเบียบใหม่ กวาดเก็บขยะหมดจด สีน้ำสดใสท้องฟ้าคราม เต็นท์ เตียงผ้าใบเรียงกันเป็นระเบียบไม่แออัดเหมือนแต่ก่อน มีพื้นที่ว่างให้มองเห็นทะเลจากท้องถนน

ทั้งหมดนี้เป็นผลงานการจัดระเบียบระดับประเทศ และความร่วมมือกันของคนในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองแสนสุข จ.ชลบุรี ที่มีนายกเล็ก ทายาทคนเล็กของตระกูลคุณปลื้ม "ณรงค์ชัย คุณปลื้ม" หรือ "นายกตุ้ย" เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ดาหน้าชนแบบไม่ห่วงฐานเสียงในพื้นที่หด ลุยขอปันพื้นที่คืนจากชาวบ้าน เพื่อปรับภูมิทัศน์บางแสนโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่าเก่า ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เรียกว่าฝีไม้ลายมือของนายกเทศบาลเมืองแสนสุข (สมัยที่ 2) ไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับนักบริหารหนุ่มวัย 38 ปี ที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจลงมือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงฝืนแรงต้าน "ยอมเจ็บไม่ยอมจำนน" ยึดหลักขอทำเพื่อส่วนรวม เป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ยอมเฉือนคะแนนนิยมจากคนในพื้นที่ทิ้ง แต่มองภาพรวม ทำงานแบบดับเครื่องชนเพื่อให้ได้ตามเป้าที่วางไว้

"ทุกวันนี้ผมก็ยังเจ็บ เพราะเราทำขนาดนี้ก็ยังโดนด่าแต่ก็ต้องทำ เพราะวันหนึ่งผมไม่อยากกลับไปนั่งเสียดายอดีตที่ผ่านมา ว่าทำไมไม่ยอมทำ แต่ผมอยากเป็นคนที่ลงจากเก้าอี้แล้วภูมิใจกับผลงานของเราที่ทำให้บ้านเมืองไม่สูญเปล่า"

นี่คือความคิดของลูกชายคนสุดท้องของอดีตเจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก "กำนันเป๊าะ (สมชาย คุณปลื้ม)" เคยเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ทำความดีความชอบและไม่ชอบไว้มาก

เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนชัง ชีวิตเจ้าพ่อบูรพาทิศ ปิดฉากลงหลังถูกตำรวจเข้าจับกุมในข้อหาเอี่ยวกับ 2 คดีดัง คือ คดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว และคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร

วันนี้ "ณรงค์ชัย" ทายาทไม้สุดท้ายที่ก้าวเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมืองท้องถิ่น ได้รับคะแนนโหวตให้เข้ามาดูแลเมืองแสนสุขต่อจากบิดา แม้เจ้าตัวจะพยายามปฏิเสธหลีกห่างจากการเมืองด้วยเหตุผลส่วนตัว คือ "ไม่ชอบ" แต่ก็ไม่อาจจะเลี่ยงได้ เมื่อสถานการณ์การเมืองและครอบครัวเปลี่ยนไปเขาจึงต้องกระโดดเข้ามาในเวทีการเมืองที่ร้อนฉ่า

"ทุกคนจะทราบว่าผมไม่ชอบเล่นการเมืองแม้จะมาจากครอบครัวการเมืองก็ตาม ที่บ้านค่อนข้างให้อิสระทำตามความคิดของตัวเอง แต่ด้วยสถานการณ์เราต้องเป็นตัวแทนคนในครอบครัว ซึ่งครอบครัวเราดูแลเมืองนี้อย่างดีมาตลอด ผมเป็นไม้สุดท้ายของครอบครัว ฉะนั้น ทุกคนคาดหวังว่าต้องมีตัวแทนจากคนในตระกูลมาแทนอดีตนายกก็คือ คุณพ่อ (กำนันเป๊าะ) ผมพอมีความรู้ มีหน่วยก้านที่ดี พอจะทำได้ ที่บ้านก็ผลักดันให้เข้ามา รวมระยะเวลา 8 ปี ตั้งแต่เป็นสมาชิกสภาเทศบาล จนมาเป็นรองนายก และได้เป็นนายกจบไปแล้ว 1 สมัย ตอนนี้เป็นสมัยที่ 2"

ในฐานะที่มาจากครอบครัวนักการเมือง นายกตุ้ยมองไม่เห็นข้อดีของการเล่นการเมืองเลย บอกว่าพ่อและพี่ของเขาต้องสูญเสียความสัมพันธ์ สูญเสียเงินทอง บางครั้งต้องขายสมบัติเพื่อลงมาเล่นการเมือง เงินหมดไปกับป้ายหาเสียง และหมดไปกับซองที่ต้องไปช่วยงานสังคมอีกจิปาถะ และเกิดคำถามตลอดเวลา "ทำไม" ต้องเหนื่อย ต้องเจ็บตัว

"ทุกวันนี้มานั่งมองว่าครอบครัวเราไม่เป็นครอบครัวเลย มัวแต่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่บ้านเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แล้ว เราก็ยังต้องทำต่อ แต่ละคนก็ต้องปรับตัวกันเอาเอง โดยยึดหลักที่ว่า ทุกคนก็ย่อมมีทั้งคนรักและคนเกลียด แต่ขอให้มีคนรักมากกว่าคนเกลียดนิดหนึ่งก็พอใจแล้วในฐานะนักการเมือง"

นายกหนุ่มไม่ว่าจะมองมุมไหน บุคลิกก็ไม่เหมาะกับการแต่งเครื่องแบบสีกากี ดูจะเหมาะกับการเป็นนักธุรกิจมากกว่า อย่างที่เจ้าตัวบอกว่า ถ้าเลือกได้จะขอทำธุรกิจโรงแรมดีกว่า ส่วนงานสาธารณประโยชน์ขอเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเขาชอบแบบโนบอดี้ ไม่อยากเป็นที่เพ่งเล็งของคนทั่วไป อยากเป็นคนธรรมดา

แต่เมื่อต้องมาทำงานในฐานะนักการเมือง แม้จะเป็นการฝืนต้องทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ก็ทำมาได้หลายปี

"ผมต้องฝืนทุกวัน ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ผมก็ทำมาได้หลายปี แต่ผมฝืนได้ดีเพราะผมมีวิธีคิด ซึ่งคนเราต้องทำในสิ่งที่ชอบถึงจะมีความสุข แต่ผมทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้ แต่มีความสุข ผมถือว่าโคตรเก่ง แต่ถ้าตอนนี้มีสะพานให้ผมลงที่สวยงามผมอยากกระโดดลงไปเลยนะ ผมอยากลงมาก"

นายกเล็กบอกถึงความฝืนใจที่สร้างสุขได้จากหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่บอกว่า "ให้เรารู้ตัวว่าเราทำอะไร เราต้องทำให้ดีที่สุด ผลออกมาอย่างไร เรารู้ตัวดีทำได้แค่ไหนได้แค่นั้น" ด้วยประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย เหมือนปลดแอกที่แบกมาตลอดระยะเวลา 8 เดือน ที่เข้ามาทำงานในตำแหน่งนายกใหม่ ดูคล้ายจะปล่อยวางได้มาก ทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัวและเรื่องงาน ส่วนหนึ่งคงเพราะนายกตุ้ยเป็นคนที่จริงจังกับทุกอย่าง

"คือผมไม่ได้อยากชมตัวเองนะ แต่ผมเป็นคนที่รับผิดชอบอะไรแล้วต้องใส่ใจเต็มที่ วงเล็บถ้าเรารู้ จะแก้ให้หมด ถ้าผมนึกได้ผมจะตามหมด จะไม่เหลืออะไรให้ค้างคา"

เมื่อต้องอยู่ในเก้าอี้เป็นสมัยที่ 2 แม้จะยืนอยู่บนพื้นฐานความไม่ชอบ แต่นายกตุ้ยก็จะสู้ไม่ถอย หากจำเป็นต้องลงแข่งเป็นสมัยที่ 3 เพื่อสานต่องานที่เขาวางไว้ให้สำเร็จ ก่อนจะพักเบรกไปทำธุรกิจโรงแรมที่ตัวเองชอบ แล้วจะกลับลงมาอีกหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องอนาคต ดังที่ทราบกันดีว่างานการเมืองเป็นงานที่ผลาญเวลาส่วนตัวมาก ดังนั้น เมื่อนายกหนุ่มกลับเข้าบ้านเขาจึงปิดสวิตช์ทุกอย่าง หาเวลาส่วนตัวออกกำลังกาย เล่นกับหมา และดูหนัง เพื่อผ่อนคลายในแต่ละวันซึ่งไม่สามารถทำได้ทุกวัน

ก่อนจะออกมาปั่นจักรยานตอนเช้าตรู่เพื่อออกกำลังกาย และถือโอกาสตรวจตราพื้นที่ไปในตัว ถ่ายภาพส่งเข้าไลน์กรุ๊ปเพื่อให้เจ้าหน้าที่รับทราบและมาแก้ไข เรื่องกองขยะและไฟส่องสว่างดูจะเป็นงานนอกเวลาที่นายกเล็กมีความสุขที่ได้ทำ เพราะส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบนั่งโต๊ะเซ็นเอกสารอย่างเดียว จึงมีภาพนายกลงพื้นที่ตรวจงานด้วยตัวเองเป็นปกติ

"ผมไม่ชอบเป็นนักการเมือง ผมถึงต้องบาลานซ์งานและเวลาพัก ผมจะมีโครงการเยอะแล้วจะทำให้จบเร็วที่สุด แล้วจากนั้นก็ไปรีแลกซ์ในจุดแบบที่เราชอบ ผมชอบท่องเที่ยว ชอบดำน้ำ เมื่ออัดเวลาทำงานเต็มที่ ผมก็จัดเวลาไปเที่ยวเต็มที่เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็จะไม่มีความสุข"

ดูจากลักษณะนิสัยของลูกชายเจ้าพ่อบ้านนี้ ใครที่ได้สัมผัสแทบจะมองไม่เห็นเงาเจ้าพ่อทาบทับเลย เป็นลูกผู้มีอิทธิพลที่อยู่กันอย่างเงียบ ๆ ไม่ทำตัวโด่งดัง ทั้งก่อนและหลังพ่อโดนคดีก็แทบไม่ได้ยินข่าวไม่ดีของลูกบ้านนี้

ลูกชายคนเล็กของกำนันบอกว่า พ่อสอนเสมอ "อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ต้องทำโดยที่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อน และเป็นสิ่งที่ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่นด้วย แค่นี้ก็พอแล้ว ครอบคลุมอาณาจักร จบ"

นี่เองที่ทำให้ลูกเจ้าพ่อตระกูลนี้ไม่มีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงมาถึงครอบครัวให้เดือดร้อนรำคาญใจเพราะมีคำเตือน (ขู่) จากพ่อย้ำกับลูกอยู่ตลอดเวลา แม้จะได้รับฉายาลูกเจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก พอจะบทโหดก็โหดไม่จริง

"คือถ้าจะเปรียบว่าเป็นครอบครัวหมาดุ ผมก็เป็นพันธุ์ "ปอมเมอเรเนียน" แต่เป็นหมาปอม ใครจะไปกลัว (หัวเราะ)"

แม้จะเป็นลูกคนเล็กแต่นายกเมืองแสนสุขก็ดูจะรับผิดชอบหลายอย่างเกินตัว โดยเฉพาะเรื่องในบ้านเขาคือพี่ใหญ่ที่ดูแลทุกอย่าง โดยบรรดาพี่ชาย (สนธยา, วิทยา, อิทธิพล) และพี่สาว (จิราภรณ์) ต่างโยนความรับผิดชอบนั้นมาให้เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะทุกคนต่างก็ยุ่งเรื่องงานกันหมด เขาจึงมีหน้าที่เป็นพ่อบ้านและดูแลแม่ (นางสติล คุณปลื้ม) วัย 77 ปี แทนกำนันเป๊าะอีกด้วย

ทายาทคนเล็กของตระกูลคุณปลื้ม ที่ได้นิสัย "ใจดี" ของแม่มาแบบเต็ม ๆ เหมือนกับพี่ชาย "สนธยา" เล่าถึงความเสียหายจากความใจดีที่พี่ชายต้องประสบปัญหาหลายอย่าง แต่ก็มีข้อดีในข้อเสียเหมือนจะทำให้คนเกลียดไม่ลง แม้จะถูกพักจากงานการเมือง แต่ก็ไม่เคยร้างราจากการถูกเชิญออกงาน

เช่นเดียวกับแม่สติล ที่ยังคงออกงานตามคำเชิญไม่ใช่แค่ในเทศบาลแต่เป็นการไปทั่วทั้งจังหวัด บางครั้งก็ขับรถไปเอง ดูเหมือนคนวัย 60 ต้น ๆ มากกว่าจะ 70 ปลาย ๆ นั่นเพราะแม่สติลออกกำลังกายอย่างหนัก "ว่ายน้ำทุกเช้า" ความแข็งแกร่งระดับที่ลูกชายคนเล็กยังต้องพ่ายความอึดของนาง

"แม่ได้ออกไปนอกบ้านก็ยังดีกว่าเหงาอยู่บ้าน เพราะพ่อก็ไม่อยู่"

นายกหนุ่มเริ่มเล่าถึงครอบครัว โดยย้อนกลับไปในช่วงวัยเยาว์กับความทรงจำที่เขาชาชินเมื่อตอน ป.3 ในคืนที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถีบประตู "ปัง" เข้ามารื้อค้น

"เราโดนอะไรมาเยอะตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยก่อนเราเข้าใจว่าพ่อก็ต้องมีศัตรู และตำรวจก็เล็งมานานแต่ทำอะไรพ่อไม่ได้สักที เขาจะมาเล็งว่าเราค้าอาวุธเถื่อน ค้ายา ซึ่งพ่อเราไม่ทำอยู่แล้วร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรตำรวจ แต่บางทีเราก็ไม่ชอบเพราะว่าทำอะไรเกินเหตุ ตอนผมกลับมาทำงานใหม่ ที่เข้ามาบุกบ้านล้อมรั้ว และเหลือเราแค่คนเดียว ผมก็บอกว่าค้นไปเลย ค้นให้ตายก็ไม่เจอเพราะเราไม่ได้ทำ รู้สึกว่าบ้านเราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ แต่ละคนที่มาหาที่บ้านก็เอาปัญหามาให้เราอยู่แล้ว เรื่องส่วนตัวเราถึงได้ประคองอย่าให้เป็นปัญหาอีกเลย ส่วนตัวผมก็เป็นคนคิดเยอะ นอนไม่หลับ และบางทีก็คิดดราม่าบ้าง"

ดังนั้น การที่กำนันเป๊าะถูกจับกุม ลูกชายคนเล็กก็ต้องปรับตัวไม่น้อย

"ตอนแรก ๆ ไปไหนไม่ได้เลย ก็มีอายนะ เพราะแคร์ว่าคนจะคิดอย่างไรกับครอบครัวของเรา แต่หลัง ๆ เราก็เชิดหน้าทำประโยชน์ต่อ แต่เรื่องนี้เราไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไร เพราะเราก็ไม่อยากไปตอบแทน เราไม่ใช่คนที่ไปตัดสิน เราต้องรับความจริงรับสภาพ คือ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย อย่างพ่อผมโดนคดี ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร พ่อบอกว่าสิ่งที่เขาโดนเหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่มันก็มีข้อมูลมาของเขา เราเคารพฝ่ายยุติธรรม พ่อก็ต้องชดใช้กรรมเขาป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล

แม้เขาจะเป็นนักโทษ เราก็ต้องรับสภาพ แต่ในสายตาเราพ่อเราเป็นคนดี เขาไม่เคยสอนให้เราทำความเสียหายให้แก่คนอื่น พ่อทำประโยชน์ให้กับบ้านกับเมืองเยอะแยะ แต่วิถีชีวิตเขาเป็นแบบนี้ ในสมัยก่อน ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าคดีที่เกิดขึ้นมันจริงเท็จแค่ไหน แต่เราก็รู้อย่างเดียวว่าเราต้องรับสภาพ ผมไม่มีสิทธิ์ไปเกลียดตำรวจหรือคนตัดสินพ่อเรา เราเข้าใจกระบวนการทั้งหมด เราคาดหวังว่าอย่างบุญที่พ่อได้ทำมาอยากให้เขาออกมาอยู่บ้านในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ไม่ใช่ในฐานะนักโทษ"

นายกตุ้ยถือว่าเป็นหนุ่มสังคมที่ไม่ค่อยได้ออกสังคมมากนักแต่เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก นอกจากดีกรีหนุ่มนักเรียนนอกจบปริญญาโทเกี่ยวกับธุรกิจบริการจากสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังมีเพื่อนมัธยมสมัยเรียนที่สวนกุหลาบวิทยาลัย และชั้นประถมศึกษาที่อัสสัมชัญ ศรีราชา ลูกชายคนเล็กของตระกูลยังเลือกใช้ชีวิตแบบพี่สาว

"การใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามแบบแผน พี่สาวเป็นคนสันโดษก็มีคนรัก แต่ไม่แต่งงาน เราก็เลือกที่จะโสด ชีวิตเราแฮปปี้แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องทำตามครรลอง เราก็เจอมวยถูกคู่ เราก็เลือกที่จะเป็นแบบนี้ ชีวิตมีแต่งาน คู่ชีวิตยังไม่คิดเพราะผมเป็นคนลัลล้า เพื่อนเยอะ"

ติดตามกันต่อไปว่า "ไม้สุดท้าย" ของตระกูลคุณปลื้ม จะรักษาฐานที่มั่นของครอบครัว และพัฒนาบางแสนไปถึงขั้นไหน

บนสนามประลองระดับท้องถิ่นที่จะทดสอบฝีมือนายกเล็ก ผู้สั่งปิดเมืองจัดแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับเอเชียต่อเนื่องกันหลายปีแล้ว

"แคร์ให้น้อยทำให้มาก" น่าจะเป็นหลักการทำงานของนายกเล็กผู้เปลี่ยนแปลงเมืองแสนสุข ให้มีมากกว่าทะเลบางแสน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook