บุคลิกภายนอก บ่งบอกแรงจูงใจ

บุคลิกภายนอก บ่งบอกแรงจูงใจ

บุคลิกภายนอก บ่งบอกแรงจูงใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คนที่มีเป้าหมายในชีวิตและงาน หรือคนที่มีความคาดหวังถึงความสำเร็จ ย่อมเป็นคนที่มีแรงจูงใจสูงในการมีชีวิตและในการทำงาน ความคาดหวังหรือสิ่งที่หวังนั้นไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยก็ตาม ต่างก็มีคุณค่าเพราะมันคือความหวังที่ต้องการหรือความปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง
ความคิดจากความคาดหวังทำให้คุณมีแรงจูงใจกำหนดพฤติกรรมของคุณให้ปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งปรารถนามันจึงเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ผลักดันให้คุณทำบางสิ่งบางอย่างอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้สิ่งที่หวังและปรารถนา นั่นก็คือ "ความสำเร็จ"

การมีเป้าหมายทำให้มีแรงจูงใจที่จะบรรลุเป้าหมายให้จงได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้การมีชีวิตและการทำงานของบุคคลเหล่านั้นมีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา ชีวิตเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ บุคลิกท่าทางภายนอกของเขาจึงบ่งบอกความคิดและพฤติกรรมภายในด้วย ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไม่ได้ตั้งความหวังหรือความปรารถนาใด ๆ ในชีวิตและงาน คงอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ไม่มีแรงจูงใจผลักดันให้คิดอยากทำโน่นทำนี่ พวกเขาจึงมีท่าทีเฉื่อยชา ไม่มีชีวิตชีวา ขาดความกระตือรือร้น

ด้วยเหตุนี้เมื่อเราดูจากภายนอกก็จะรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ที่มีแรงจูงใจในการทำงาน มีชีวิตที่ดี และมีประสิทธิภาพ

ลักษณะของคนที่มีแรงจูงใจ
คนที่เต็มไปด้วยแรงจูงใจนั้นสามารถสังเกตได้ชัดเจนจากบุคลิกภายนอกของพวกเขา โดยสังเกตได้ดังนี้


1.รูปร่างภายนอกที่ดูดี

จุดแรกที่คุณสามารถเห็นได้ชัดเจนในตัวของเขาคือรูปร่างหน้าตาที่สดใส การแต่งกายที่ดูดี ทรงผมที่เรียบร้อย เสื้อผ้าที่ดูประณีตเรียบร้อย รองเท้าขัดเป็นเงา รูปลักษณ์ที่ดูดีที่ทำให้เห็นถึงความใส่ใจและดูแลตัวเองของคน ๆ นั้น
ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เป็นคนที่มีแรงจูงใจในการทำให้ตัวเองดูดี เขามีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ซึ่งจะสะท้อนไปถึงการเอาใจใส่ในสิ่งที่ทำและจะเต็มที่กับสิ่งที่ต้องทำอยู่เสมอ เหมือนกับการที่เขาเอาใจใส่กับตัวเองนั่นเอง เขาจึงดูดีไปหมด


2.ท่าทางการเดิน

การเดินของคนเราเป็นเรื่องที่ดูได้ง่ายเพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดข้างในของเขา ถ้าหากคุณจะรับใครเข้าทำงานสักคน ท่าทางการเดินของเขาก็ควรจะเป็นสิ่งที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย
เพราะคนที่มีความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานและการใช้ชีวิต มีพลังในการทำงานและมีแรงจูงใจที่อยากจะทำงาน ท่าทางเดินของเขาจะเต็มไปด้วยพลังที่คุณอาจจะสัมผัสได้ เพราะเขาจะเดินด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ดูมีความมุ่งมั่น อกผายไหล่ผึ่ง
ต่างกับคนที่มีแรงจูงใจน้อยหรือไม่มีเลย เขาจะเดินอ้อยสร้อย ไหล่ตก หลังค่อม หรือเดินตัวงอ ขาดความกระฉับกระเฉง ดูไม่เชื่อมั่นในตนเอง แบบนี้คุณคงไม่อยากรับไว้ทำงานอย่างแน่นอน


3.ภาษาบนใบหน้า

คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดวงตามีประกายสดใส ใบหน้าที่เบิกบานมีความสุข ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขามีเป้าหมายในชีวิตการทำงาน ปรารถนาความสำเร็จ มีแรงจูงใจ เป็นสิ่งผลักดันให้เขาไปสู่ความสำเร็จ จึงเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น มีความหวังในความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมาย
ต่างกับคนที่มีใบหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา นั่นแสดงว่าเขาไม่มีแรงจูงใจแต่อย่างใด ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตและงาน จึงเหมือนคนที่อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร
หลายคนคิดว่าคนอื่นคงไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดภายในของตนได้ แต่ความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะคนดูจากบุคลิกภายนอกก็พอจะคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน


4.ภาษาท่าทางแสดงออกได้มากกว่าภาษาพูด

ถ้าหากคุณสังเกตท่าทางของคนที่อยู่รอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานของคุณให้ดี คุณจะเห็นว่าท่าทางของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในของพวกเขาได้มากกว่าภาษาพูดเสียอีก เราเรียกภาษาท่าทางที่แสดงออกของบุคคลว่า "ภาษากาย" ภาษากายสามารถสื่อความหมายหรือความรู้สึกข้างในของมนุษย์ได้ถูกต้องมากกว่าภาษาพูด

เพราะภาษาพูดนั้นคนเราสามารถควบคุมให้ออกมาอย่างที่ต้องการให้เป็นได้ ส่วนภาษากายนั้นควบคุมได้ยากมาก เพราะหากเจ้าตัวมีความรู้สึกภายในอย่างไรภาษากายก็จะสื่อออกมาตรงตามนั้น และข้อสำคัญก็คือ เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอากัปกิริยาที่แสดงออกมานั้นผู้อื่นเห็นและอ่านได้ออกว่าเจ้าตัวคิด/รู้สึกข้างในอย่างไร เช่น คุณเห็นท่าทางของเพื่อนดูไม่ปรกตินักจึงถามว่าไม่สบายหรือเปล่า แต่คำตอบของเขาก็คือ ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ยังปรกติดีสบายดี แต่สิ่งที่คุณเห็นจากท่าทางของเขาก็คือ ใบหน้าที่อิดโรย ดวงตาที่หมองเศร้า ไหล่ห่อเหี่ยว คุณจะรู้ได้ทันทีว่า "เขาไม่สบาย" ไม่เหมือนที่ปากพูดว่า "เขาปรกติสบายดี"


5.ความกระตือรือร้น
สิ่งที่จะสังเกตุได้อย่างชัดเจนที่จะดูว่าบุคคลใดมีแรงจูงใจมากน้อยแค่ไหน หรือไร้แรงจูงใจทั้งในการทำงานและแม้กระทั่งชีวิต ก็ดูจากความกระตือรือร้นของพวกเขานั่นเองเพราะคนที่มีแรงจูงใจอย่างมาก จะมีท่าทางที่กระตือรือร้น มีพลังในการพูด การคิด และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่เขาต้องการหรือตั้งเป้าหมายไว้ พวกเขาจะมองไปยังอนาคต มีแผนการอยู่ในสมอง มีลำดับขั้นตอนในการทำงาน ที่สำคัญก็คือพวกเขามีความพร้อมเสมอในทุกเวลา
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังใช้อดีตเป็นตัวขับเคลื่อนความตั้งใจในปัจจุบัน ไม่ใช่ใช้อดีตมาเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจ อย่างมีคนจำนวนหนึ่งมักมีชีวิตอยู่ด้วยความท้อแท้และการทำงาน เพราะพวกเขาเก็บอดีตสะสมมาคิดด้วยความท้อแท้เหนื่อยหน่ายเพราะชีวิตและการทำงานที่ผ่านมาพวกเขาได้เคยผิดพลาด จึงขยาดกับปัจจุบัน แถมยังวิตกกังวลกับอนาคตอีกต่างหาก ถ้ามัวแต่คิดเช่นนี้อยู่ย่อมมีผลกระทบในปัจจุบันกับทำการงานและมีชีวิตอยู่ด้วยความอ่อนล้า สิ้นหวัง มองไม่เห็นอนาคตที่สดใส


ความจริงแล้วอดีตก็คืออดีต ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ และทุกคนก็ล้วนเคยผิดพลาดผิดหวังมาด้วยกันทั้งนั้น แต่ความผิดพลาดควรเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับจดจำที่จะไม่มีการผิดพลาดซ้ำเดิมอีก มิใช่จะให้อดีตเป็นตัวป่วนทำลายปัจจุบันและอนาคตของเขามิใช่หรือ ทุกอย่างเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป ดังนั้น ชีวิตและงานจะเป็นอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับวิธีคิดของตัวคุณเองนั่นแหละ สิ่งที่เราควรต้องทำและทำให้ดีที่สุดก็คือปัจจุบันเท่านั้น ปัจจุบันคิดดีทำดี อดีตและอนาคตก็ย่อมต้องคิดดีอย่างแน่นอน


คุณจะดูออกได้อย่างไรว่าใครมีความกระตือรือร้นอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากเลย โดยคุณดูจากความมีชีวิตชีวาของพวกเขาสิ คุณดูรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา ท่าทางของพวกเขาดูมีความสุข ทั้งหมดนี้เป็นภาษากายของพวกเขาที่จะบอกคุณได้เลยว่า พวกเขามีความกระตือรือร้นและมีแรงจูงใจมากแค่ไหน

ดังนั้น หากคุณดูออกเช่นนั้น คนไหนไม่มีแรงจูงใจ คุณก็จะได้ช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับพวกเขา ส่วนคนที่มีแรงจูงใจอยู่แล้ว คุณก็ทำให้พวกเขามีแรงจูงใจที่สูงขึ้นอีก

ข้อสำคัญก็คือ คุณจงอย่าลืมสร้างแรงจูงใจให้กับตัวคุณเองด้วยก็แล้วกัน เพื่อเพิ่มความสุขและความสำเร็จในชีวิตและงาน

 

ติดตามทุกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชาย รวบรวมข้อมูลเรื่อง แฟชั่นผู้ชาย ทรงผมผู้ชาย น้ำหอมผู้ชาย
พร้อมด้วยหลากหลายบทความเกี่ยวกับ สุขภาพ สาวสวย และที่เที่ยวกลางคืนได้ที่นี่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook