ฉลากเตือนก่อนกินเรื่องการใช้พลังงานจะช่วยลดการบริโภคได้เฉลี่ย 200 แคลอรี่ต่อวัน
โดยปกติแล้วผู้ชายต้องการค่าพลังงานประมาณ 2,500 กิโลแคลอรีต่อวันและราว 2,000 กิโลแคลอรีต่อวันสำหรับผู้หญิงสำหรับการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่การหายใจไปจนถึงการเคลื่อนไหว แต่เนื่องจากอาหารทุกอย่างที่เราทานมีต้นทุนด้านพลังงานแตกต่างกัน ดังนั้นข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเราทานมากเกินไปและใช้น้อยกว่าที่ทาน ค่าพลังงานส่วนเกินนี้จะเหลือสะสมทีละเล็กทีละน้อยทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวเกินและความอ้วนขึ้นได้
แต่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Loughborough ของอังกฤษผู้ศึกษารายงาน 14 ชิ้นได้เสนอว่าถ้ามีการติดป้ายฉลากกำกับอาหารแต่ละประเภทโดยไม่ได้บอกเฉพาะค่าแคลอรี่เท่านั้น แต่ระบุด้วยว่าอาหารซึ่งมีค่าแคลอรีจำนวนนี้จะต้องใช้เวลากี่นาทีกับกิจกรรมอะไรบ้าง เช่น การเดินหรือการวิ่งเพื่อกำจัดให้หมดสิ้น เรื่องนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจและความตื่นตัวสำหรับผู้บริโภคได้มาก
นักวิจัยยกตัวอย่างว่าเครื่องดื่มประเภทซอฟ์ทดริ๊งค์ผสมน้ำตาลหนึ่งกระป๋องที่มีค่าแคลอรี่ 138 หน่วยต้องใช้เวลาวิ่ง 13 นาทีหรือเดิน 26 นาทีในการกำจัด ขนมขบเคี้ยวหนึ่งถุงที่มีค่าแคลอรี่ 171 หน่วยต้องใช้เวลาวิ่ง 16 นาทีหรือเดิน 31 นาที ซีเรียลหนึ่งถ้วยที่ทานตอนเช้ามีแคลอรี่ 172 หน่วยและต้องวิ่ง 16 นาทีหรือเดิน 31 นาทีจึงจะใช้หมดเช่นกัน ส่วนช็อกโกแลตแผ่นซึ่งประกอบด้วยค่าพลังงาน 229 แคลอรี่ ผู้ทานต้องวิ่งถึง 22 นาทีหรือเดิน 42 นาทีเพื่อกำจัด เช่นเดียวกับมัฟฟินบลูเบอรี่หนึ่งชิ้นที่มี 265 แคลอรี่ การจะใช้ค่าพลังงานนี้ให้เหลือศูนย์ต้องอาศัยการวิ่ง 25 นาทีหรือเดิน 48 นาที เป็นต้น ส่วนแซนด์วิชไก่ที่ใส่เบคอนซึ่งมีแคลอรี่สูงถึง 445 หน่วยนั้น ผู้ทานต้องวิ่งถึง 42 นาทีหรือเดินนานถึง 1 ชั่วโมง 22 นาทีเพื่อกำจัดให้หมดไปเช่นกัน
นักวิจัยเชื่อว่าการปิดป้ายฉลากแบบนี้เพื่อให้ผู้บริโภคทราบและเข้าใจว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วจะต้องใช้พลังงานออกไปอย่างไรและนานเท่าใดเพื่อไม่ให้เหลือสะสมในร่างกายจะช่วยลดการบริโภคเกินความจำเป็นได้เฉลี่ยถึง 200 แคลอรี่ต่อคนต่อวัน