ส่องข้อคิดนอกสังเวียนของ "ชาตรี ศิษย์ยอดธง" และบทเรียนชีวิตที่ได้จากมวยไทย
ชาตรี ศิษย์ยอดธง คือนักธุรกิจชาวไทยที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่ง จากประสบการณ์และงานบริหารสายงานต่างๆ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ "วัน แชมเปียนชิพ" องค์กรศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์เอเชีย แต่แน่นอนว่า ชาตรี จะไม่มีทางเดินมาถึงเส้นชัยแห่งความสำเร็จ หากชีวิตวัยหนุ่มของเขาไม่ได้รู้จักกับศิลปะการป้องกันตัวอย่าง "มวยไทย"
บิ๊กบอสแห่งรายการศิลปะป้องกันตัว "วัน แชมเปียนชิพ" ฝึกฝนวิชาป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์การป้องกันตัวแขนงต่างๆ เขายังนำสิ่งที่ได้จากการร่ำเรียนในช่วงเวลาดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต รวมถึงการบริหารธุรกิจ
สมัยเด็ก ชาตรี ฝึกฝนวิชาป้องกันตัวกับ ยอดธง เสนานันท์ หรือ "ครูยอด" แห่งค่ายศิษย์ยอดธงที่พัทยา ทุกวิชาและคำสอนที่ได้จากครูยอด โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น กล้าลงมือทำ คือสิ่งที่ชาตรีจดจำไว้ในใจเสมอมา ตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มที่มีชีวิตยากจนข้นแค้นในอดีต ก่อนได้โอกาสศึกษาต่อที่โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด จนประสบความสำเร็จในการทำงานที่วอลล์ สตรีท และปลุกปั้นรายการศิลปะป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียให้โด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วโลก
วันนี้ ชาตรี ศิษย์ยอดธง ในวัย 48 ปี ยังคงฝึกซ้อมมวยไทย รวมถึงศิลปะการป้องกันตัวแขนงอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง และนี่คือการเปิดใจของผู้บริหาร วัน แชมเปียนชิพ ครั้งล่าสุด ที่จะมอบข้อคิดและหลักการดำเนินชีวิตที่ดีแก่ผู้อ่านได้รับทราบกัน
1. อายุก็แค่ตัวเลข
หนุ่มสาวหลายคนฝึกฝนมวยไทยกันตั้งแต่เด็ก นั่นคือวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของชาวไทย ขณะเดียวกัน ชาตรีที่มีความรักต่อกีฬามวยไทยและมองว่ามวยไทยคือส่วนหนึ่งของชีวิต เชื่อมั่นว่าผู้ใหญ่และผู้สูงวัยก็สามารถฝึกฝนวิชาศิลปะการป้องกันตัวได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แขนงใดก็ตาม เพราะสิ่งที่ได้จากการฝึกซ้อมนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งในเรื่องการบริหารร่างกาย จิตใจ สมาธิ ความแข็งแรง และสุขภาพที่ดี
"ผมตกหลุมรักเสน่ห์ของมวยไทยที่เต็มไปด้วยพลังและความสวยงามเป็นอย่างมาก" ชาตรีกล่าวต่อ "ในชีวิตเรา มันไม่ง่ายที่จะเลือกสิ่งที่เรารัก แต่ความรักในกีฬามวยไทยสำหรับผมมันเกิดขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ราวกับโชคชะตา ตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัวหรอกแต่หลังจากได้ฝึกมวยไทยวันแรก มันช่วยจุดประกายให้กับวิญญาณของผม และนั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมตลอดกาล"
2. มวยไทยคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
หนึ่งในสิ่งสำคัญของการเป็นนักกีฬาศิลปะการป้องกันตัวที่ดี คุณต้องรู้จักพัฒนาตัวเองในทุกๆวัน รวมถึงการพยายามทำตนเองให้ดีที่สุดอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่ชาตรีได้จากการร่ำเรียนมวยไทยกับศิลปะการป้องกันตัวต่างๆมานานหลายปี พร้อมกับบอกตนเองทุกครั้งให้พัฒนาฝีมือตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่ยังมีลมหายใจ
"ความรักที่แท้จริงคือสิ่งที่น่าตลกเหมือนกัน เพราะผ่านมาแล้ว 30 กว่าปี ผมก็ยังซ้อมมวยไทยทุกวันอยู่เลย" ชาตรีเล่าอย่างอารมณ์ดี และบอกด้วยว่าการฝึกซ้อมศิลปะการป้องกันตัวอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น โดยเฉพาะมวยไทยที่มีทักษะให้ร่ำเรียนหลายรูปแบบ และต้องฝึกฝนในสิ่งที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ
3. ค้นหาความสามารถที่มีอยู่ในตนเอง
มนุษย์เรานั้นมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์แฝงอยู่ในตัวทุกคน แต่หลายครั้งกลับไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เพราะส่วนหนึ่งคือขาดความมั่นใจ หรือยังนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการฝึกซ้อมมวยไทยนั้นสามารถทำลายความไม่มั่นใจเหล่านั้นไปสู่การเรียนรู้ใหม่ๆให้แก่ชีวิต
ช่วงชีวิตของ ชาตรี ศิษย์ยอดธง เขาผ่านประสบการณ์ต่างๆมากมาย และเผชิญกับความท้าทายหลายรูปแบบที่เคยคิดว่าไม่มีวันเอาชนะได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เขาเป็นนักมวยไทยซึ่งต้องฝึกซ้อมอย่างหนักจนแทบหมดสภาพ หรือกระทั่งพาตัวเองให้พ้นจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และเมื่อเขาประสบความสำเร็จ ความลำบากในอดีตช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมันทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้"
"ผมเคยเตะกระสอบทรายที่บรรจุทรายไว้ข้างในจนแน่น ทุกครั้งที่ยกขาฟาดกระสอบทรายรู้สึกเหมือนขาตัวเองลุกเป็นไฟ" ชาตรีเล่าย้อนความหลัง "สมัยนั้นผมซ้อมหนักมากและเจอแต่ความรุนแรง ปอดของผมแทบไม่เหลือออกซิเจน ซ้อมจนต้องหนีไปอาเจียนที่ห้องน้ำอยู่ 2-3 รอบ"
"ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังต้องวิ่งอีก 12 กม., ซัดกระสอบทราย 15 ยก, ซิทอัพ 500 ครั้ง นั่นแค่วันแรกเองนะ ไม่รู้เลยว่าผมเอาตัวรอดมาจากตรงนั้นได้ยังไง พอซ้อมเสร็จทั้งขาและหน้าแข้งมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด ร่างกายผมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่จิตใจของผมกลับมีความสุขมากกว่าที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ"
4. เรียนรู้ที่จะยอมรับความล้มเหลว
หลายคนมักกลัวที่จะต้องเจอกับความล้มเหลว ไม่กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือกังวลกับสายตาของคนอื่นมากเกินไป กลายเป็นว่าเราไม่กล้าพอที่จะพาตัวเองออกไปสิ่งอื่นเพราะกลัวว่าจะล้มเหลวไม่เป็นไปตามที่ฝัน แต่สำหรับชาตรี ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของการเดินทางไปสู่ความสำเร็จ มันเป็นแค่จุดพักทางให้เราได้คิดหาทางอื่น และปลดปล่อยตนเองไปสู่ความสำเร็จในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบนโลกใบนี้ทุกคนย่อมมีโอกาสเจอกับความล้มเหลวทั้งสิ้น ทั้งค่ายมวย, บ้าน, โรงเรียน หรือที่ทำงาน กระนั้นเราควรมองว่าความล้มเหลวคือโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ขณะเดียวกัน ถึงอุปสรรคจะใหญ่โตสักเพียงใด ชาตรีก็พิสูจน์แล้วว่าเขาสามารถก้าวผ่านมันมาได้ เขาทำให้ครอบครัวของตนเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะมวยไทยสอนให้เขาเผชิญหน้ากับความกลัวและความไม่มั่นใจในตนเอง จนทำให้ฝันที่วาดไว้เป็นจริง
"ตอนผมอายุ 13-14 ปี ผลการเรียนของผมอยู่ระดับกลางๆของชั้นเรียนเพราะไม่ค่อยเรียนหนังสือ เอาแต่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อนในโรงอาหารจนถูกกักบริเวณ ผมจำไม่ได้หรอกว่ากี่ครั้งที่ถูกส่งตัวไปที่ฝ่ายปกครองเพราะผมก่อเรื่องบ่อยมาก"
"สิ่งที่แย่ที่สุดคือเวลามีปัญหาคือผมมักจะเอาแต่โทษคนอื่น โทษสังคม ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด แต่โชคดีที่วันหนึ่งผมมีสติพอจนคิดได้ว่าตัวเองนั่นแหละคือคนที่สร้างปัญหาทั้งหมด เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็พยายามเปิดตามองโลกใหม่ เรียนรู้จากความผิดพลาด ความล้มเหลว และปัญหาต่างๆ เพื่อแก้ไขและเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น" ชาตรีทิ้งท้าย