จุดเปลี่ยนสู่ความสำเร็จเคล็ดลับในชีวิต ของ ดีเจภูมิ-ภูมิใจ ตั้งสง่า
หนุ่มมาดกวน อารมณ์ดี ดีกรีนักเรียนนอก ผู้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ดีเจภูมิ-ภูมิใจ ตั้งสง่า” พิธีกรฝีปากกล้า และอดีตดีเจคลื่นวิทยุชื่อดังแห่ง Virgin Hitz ถือว่าเป็นหนุ่มหัวสมัยใหม่ วิสัยทัศน์กว้างไกล สร้างจุดขายของตนเองจนมีชื่อเสียง มาเปิดอกพูดคุยแบบ Exclusive ถึงเรื่องราว ตัวตนและทัศนคติส่วนหนึ่งในชีวิต ของผู้ชายมากความสามารถคนนี้ ว่าทำไมทิศทางชีวิตของเขาต้องถึงจุดเปลี่ยน
ดีเจภูมิย้อนให้เราฟังว่าก่อนเข้าวงการ ว่าก่อนหน้านี้เป็นเด็กตัวอ้วนตัวใหญ่มาตลอด ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความรัก อยู่เมืองนอกก็จะออกกำลังกาย ยกเวท เรียนหนังสือ เป็นเด็กเนิร์ด เรียนได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาตลอด จบเกียรตินิยม (จาก University of Leeds) หลังจากนั้นก็มาทำงานกับคุณแม่ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และทำ รีครูทเม้น ชักชวนครูฝรั่งมาสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทย โดยทำอยู่ประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะมีโอกาสเขามาในวงการบันเทิง
ซึ่งจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิงของดีเจภูมิในวันนี้ เขาเล่าแบบอารมณ์ดีว่า "ตอนนั้นผมแอบตกหลุมรักเด็กเล้าจน์นะ ไปเที่ยวค็อกเทลเลาจน์ครั้งแรกเลย คือเราไม่เคยเจอผู้หญิง แบบนั่งคุยกับเรา ตั้งใจฟังเรา ก็คิดว่าเค้าชอบเรา ตอนนั้นเป็นเด็กโง่ไร้เดียงสา ไม่เคยมีแฟน คือมันเป็นอาชีพเค้าว่างั้นเถอะ มันเป็นหน้าที่ของเค้าที่จะดูแลเทคแคร์ เราก็หลงรักหัวปักหัวปำเลย แต่สุดท้ายแล้วก็มีปัญหาเยอะ พอตาสว่างเราก็เลิกกัน เลยบอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า อยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมไม่ได้เป็นเด็กไร้สาระ
ช่วงนั้นหลงตัวเองเหมือนกัน มีตังค์เยอะ ขับรถสปอร์ต จบมาจากอังกฤษ แต่จริงๆแล้ว เรามีทุกอย่างในฐานะเด็กคนนึง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรของผู้หญิงคนนี้ได้เลย คือในฐานะลูกผู้ชายคนนึงเราไม่มีอะไรเลย รถก็รถของที่บ้าน การศึกษา ทุกอย่าง เงินทอง ตังค์ที่ใช้ทุกวันก็เงินของพ่อแม่ พอดีตอนนั้นแชนแนลวีกำลังมีดีวีเจเซิร์ช เลยบอกเขาว่าจะลองเข้าไปประกวดแข่งกับคน 2,000 – 3,000 คน เราจะไปได้ไกลสักขนาดไหน ก็ประกวดเข้าไปได้ถึง 20 คนสุดท้าย แต่ตกรอบ
จำได้ว่าคณะกรรมการของแชนแนลวีถามว่าทำไมเราเขียนใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็บอกเขียนภาษาไทยไม่เป็น เพราะไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ 7 ขวบ แต่แชนแนลวีเราทำงานทุกอย่างเป็นภาษาไทยนะ ไหนลองอ่านชื่อ วีเจ คนนี้ซิ ตอนนั้นจำได้ว่าชี้รูปจ๋า แล้วชื่อยัยจ๋า อ่านโคตรยากเลย!! (หัวเราะ) ผมอ่านไม่ออก แล้วก็ถามอะไรหลายอย่าง ซึ่งผมก็ตอบไปในสไตล์ของผม ในสไตล์ของเด็กคนนึงที่ไม่เข้าใจตัวเองแล้วก็ตกรอบไป
หลังจากนั้น 4 - 5 เดือน เอ็มทีวีหาวีเจฮันต์พอดี ครั้งนี้เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ตอนสัมภาษณ์คำถามทุกอย่างเหมือนกับแชนแนลวีหมดเลย แต่ครั้งนี้เรามีประสบการณ์เราแก้ไขทุกอย่างเลยชนะการประกวดเข้ามาอยู่ในวงการ เรารู้ว่าเราพลาดตรงไหนเราก็แก้หมดเลยทุกอย่างที่เราพลาด ”
มีชื่อเสียง มีคนรู้จักชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง …….. “ ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองดังเลย ตอนที่อยู่เอ็มทีวีเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เพราะว่าตอนนั้นเราไม่มีสปอนเซอร์ เราไม่ต้องไปตามใจใคร ไม่มีโปรดิวเซอร์ เหมือนกับเด็กๆทำงานด้วยกัน เราก็ทำงานตามใจเราเอง พอเริ่มเรตติ้งมาประสบความสำเร็จมากขึ้น กรอบเกณฑ์ก็จะมามากขึ้น เอ็มทีวีเป็นที่ซึ่งผมรักมากที่สุด เป็นตัวผลักดันผมสร้างชื่อเสียงให้ผมในระดับนึง แต่มาพีคตอนที่เป็นดีเจเวอร์จิ้นฮิตส์ ที่เวอร์จิ้นฮิตส์ทำให้ผมรู้สึกว่าถึงระดับที่โอเคพีคสุดในการทำงานของผม"
"แต่ช่วงหลังรู้สึกว่าทิศทางชีวิตของผมมันมาเปลี่ยนอีก ในการทำงานกับ VRZO ก่อนหน้านี้ผมเชื่อในเรื่องของทีวีเยอะ แล้วมีช่วงนึงผมเริ่มหมดความเชื่อในทีวี ไม่ได้หมดในตัวเองนะ แต่เราก็เป็นคนนึงที่ไม่ค่อยได้ดูทีวีแล้ว เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็ไม่ค่อยมีใครดูทีวีหรอก ดูย้อนหลัง ดูในเน็ต ดูในมือถือ ในยูทูบกัน วิทยุเองก็น้อย เดี๋ยวนี้จะฟังในเน็ตกันเยอะ โลกมันเริ่มย้าย ตอนนี้ผมก็เลยมาทางอินเทอร์เน็ตเยอะ รายการทีวีก็ลาออกเกือบหมด ”
คุณหลงตัวเองบ้างไหม พอมีคนรู้จัก ชื่อเสียงมากขึ้น………. “ ไม่เคยเลยครับ เพราะว่าการเป็นพิธีกร ไม่เคยเป็นจุดโฟกัสของงานใดงานหนึ่ง เป็นเหมือนกับการเชื่อมต่อทุกอย่างระหว่าง Sound Engineer , Lighting , Staff , ดนตรี แต่ว่าคุณไม่ได้เป็นจุดเด่น จุดเด่นคือนักร้อง หรือ นักแสดงที่มาโชว์ตัว แต่พิธีกรจะไม่เคยเด่น แต่พิธีกรเป็นอาชีพที่ดีตรงที่ว่า คุณจะมีชีวิตส่วนตัวเยอะ ไปข้างนอกไม่มีใครวิ่งเข้ามากรี๊ดกร๊าดไม่มีหรอก เราไม่เคยรู้สึกว่าเราดังหรือโดดเด่นเลย มีแต่ดีใจด้วยซ้ำเวลามีคนมาขอถ่ายรูป
แต่พิธีกรเป็นอาชีพที่ยิงยาวและหาเงินได้เยอะที่สุด พิธีกรเบอร์หนึ่งของโลกทุกปีมีรายได้มากกว่า บริตนีย์ สเปียร์ สิบเท่า นั่นคือ โอปราห์ วินฟรีย์ และบ้านเราผมเชื่อว่า คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา , คุณปัญญา นิรันดร์กุล ไม่ได้แพ้ซุปเปอร์สตาร์อะไรเลย คุณได้เกียรติ ได้ทรัพย์ แต่ว่าคุณจะไม่ได้ชื่อเสียง ความหลงในชื่อเสียงจึงไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับผม ”
หัวใจสำคัญของการเป็นพิธีกร คือ……. “ รักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณไม่รักในสิ่งที่ทำคุณมีปัญหาแล้ว ถ้าคุณไม่รักคุณจะทำมันออกมาดีได้ยังไง นี่คือกับดักของโลก และเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตคนเราทุกคนต้องเจออุปสรรค เจอความผิดพลาด เจอคนมากมายที่ไม่เชื่อว่าเราทำได้ แต่ขอให้คุณเองมีความเชื่อและความขยัน คุณจะเจอศักยภาพที่ไร้ขอบเขตของตัวคุณเอง
ผมเคยกลัวเช้าวันจันทร์ มีความสุขเย็นวันศุกร์ เชื่อว่าทุกคนเป็น ทุกวันนี้ผมไม่รู้เลยว่าวันไหนคือวันหยุด วันไหนคือวันจันทร์ อังคาร ทุกวันมันเป็นวันที่มีความสุขของผม และผมรู้เลยว่า ถ้าคุณรักในสิ่งที่คุณทำมันจะเหมือนกับว่าคุณไม่ต้องทำงานอีกแล้วในชีวิตนี้ ”
ประโยคเด็ดนี้ ดีเจภูมิ กล่าวว่ามันคือความจริงของสังคมโดยแท้........ “ เชื่อไหมว่าแต่ก่อนผมมีเงินสดในบัญชี 20 กว่าล้าน ไม่มีใครสนใจผมหรอก เค้ามองว่าเป็นดีเจธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่วันที่ผมจ่ายค่าบ้านไป 10 กว่าล้าน และค่ารถ Lamborghini ไป 10 กว่าล้าน โดยที่ผมเหลือเงินในบัญชีเพียงแค่ 50,000 ทุกคนมองว่า พี่ภูมิหล่อ พี่ภูมิดี
จากเคยลงรูปใน IG มีคนกดไลค์พันกว่า หลังจากผมมีรถคันนี้มีคนกดไลท์ 8-9 พันไลค์ ทุกคนบอกวิถีชีวิตดี เคยเขียนเรื่องชีวิตผมลงใน IG ไม่มีคนอ่าน ไม่มีใครชม คบกับน้องเนย ก็มีแต่คนว่า พอหลังจากมีรถคันนี้ เชียร์กันจัง พอมีรถคันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนเลย งานก็เข้ามาราคาก็เปลี่ยน คนเรามองกันที่ภายนอกจริงๆ
ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงที่เรียกว่าค้นหาตัวเอง อยู่ในช่วงอินดี้ของชีวิต ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนรวยนะ แต่ผมถึงจุดพอ มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างที่ผมต้องการ และผมก็ไม่ได้มีหนี้สินอะไร และหาเงินได้เยอะกว่าที่ตัวเองใช้ มันก็เลยตั้งคำถามว่าเมื่อเงินไม่ใช่ประเด็นแล้วในชีวิต คุณจะทำงานเพื่ออะไร
เมื่อมีคำถามแบบนี้แล้วคำตอบที่ผมได้ก็คือทำเพราะสนุก มันเลยเป็นทิศทางใหม่ มีช่วงนึงเคยทำงานหนักมากเลยคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมมีค่าที่สุดเลยคือเวลา ผมมีเงินเยอะ แต่ผมไม่มีเวลา แล้วพอผมไม่ต้องการเงินแล้วผมต้องการเวลา ผมก็เลยลาออกหมดเลย
เงินมันหามายาก แต่เงินมันสามารถหาเงินให้เราได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราบริหารเงินเป็นง่ายมากเลย ทุกคนพอเข้ามาวงการใหม่ๆต้องซื้อรถ ต้องหล่อก่อนครับ แต่ผมไม่ ผมซื้อคอนโดก่อน แล้วสักพักก็ซื้ออีกหลังนึง และซื้อบ้านอีกหลังด้วยเงินสด การลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถเลือกซื้อหลายๆอย่างได้ เราต้องฉลาดซื้อ เพราะทุกอย่างที่เราซื้อมันสามารถหาเงินให้เราได้ ยกตัวอย่าง เช่น พอซื้อคอนโดมา สักพักให้คนเช่าไม่กี่ปี ก็เหมือนเค้าซื้อให้เราแล้ว เราเอามาขายอีกสัก 6 ปีก็ได้กำไรอีก 2 เท่า ถ้าเราฉลาดซื้อเงินของเราจะไม่หายไปไหนเลย ”
นอกจากจะเป็นพิธีกรที่เก่งแล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายที่รักสุขภาพออกกำลังกายอีกด้วย ฟิตหุ่น อยู่เสมอ มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไร…….“ เป็นคนออกกำลังกายมานานแล้วเล่นเวทตลอด ที่ไม่กลับมาอ้วนอีก สำคัญที่สุดคือการกิน เหมือนที่ฝรั่งเค้าเคยบอกว่า Six pack in the kitchen คือซิกแพคสามารถสร้างได้ในห้องครัว….แต่อย่าโง่ไปซิทอัพข้างตู้เย็นนะครับ (หัวเราะ)
ทุกวันนี้เราเข้าใจผิดเน้นออกกำลังกาย กินยา กินอะไรช่วยเยอะ แต่สำหรับผมถ้ากินอาหารที่ไม่ดีไขมันสูงๆ เหมือนกับกินพิษเข้าไป แล้วเอาออกโดยการไปวิ่ง กินยานั่นนี่ มันไม่ได้แก้ปัญหา ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณสุขภาพดีได้เท่ากับการกินที่ดี เพราะร่างกายเราเป็นเหมือนเครื่องจักร แต่เราไม่รู้ว่าเชื้อเพลิงที่ใช้คืออะไร
ผมเพิ่งไปซื้อออนไลน์โค้ทจากอเมริกา 2 หรือ 3 ปี ที่แล้ว เลยได้เทคนิคการกินมา ในการกินทุกวันเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย คือมันอเมซิ่งขนาดนั้น น้ำหนักลง ซิกแพคขึ้นยังกับตั๊กแตนตำข้าว ถ้าเรากินอาหารที่คลีน ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ ความมั่นใจเปลี่ยน สิ่งที่สังคมมองเราเปลี่ยน เพราะเป็นเด็กอ้วนมาก่อน ไม่เคยมีความมั่นใจ ไม่เคยออกสังคม น้ำหนักลงชีวิตเปลี่ยนเลย กลายเป็นอย่างทุกวันนี้เพราะเริ่มจากสุขภาพ ”
อัพเดตผลงานในปัจจุบัน…….. “ ผลงานการเป็นพิธีกรของผมตอนนี้มี รายการชูรักชูรส , Max มวยไทย , Keep Your Light Shining Season 2 , และ VRZO น่าจะออนแอร์เร็วๆนี้ครับ เพิ่งถ่ายไป 4 เทป ตอนนี้มีเปิดร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และต่อจากนี้จะทำธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพอีก อยากทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับสุภาพ เราชอบ เรารัก เราเชื่อ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม ทุกคนควรได้รับสิ่งที่ดี”
เชื่อได้ว่าหลายคนคงมองภาพผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไป ถ้าอยากได้อะไรต้องอย่าไปยอมแพ้ ชายหนุ่มผู้เดินตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ มุมมองในการการทำงาน และการบริหารจัดการชีวิต และแง่คิดที่สะท้อนถึงสังคมไทยในปัจจุบัน สามารถเป็นแรงบันดาลและกำลังใจให้กับหลายๆคน สู่การเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็น Version ที่ดีที่สุดที่เราเป็นได้