เคล็ดลับ “ลดอ้วน” ให้เห็นผล “ไม่ต้อง” อดอาหาร
หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้น คือ การลดไขมันที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ และอย่าอดอาหาร แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องรู้จักเลือกกินอาหาร และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จึงจะสามารถลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หากมีวินัยเช่นนี้ ก็ไม่ต้องอดอาหารเลยแม้แต่มื้อเดียว
1. เลือกกินให้มากขึ้น คุมแป้งไขมัน และน้ำตาล
ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน รู้จักเลือกกินให้มากขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์ส่วนที่ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงส่วนหนัง งดกินเค็ม ของมันของทอด และเปลี่ยนมากินอาหารที่ใช้วิธีทำด้วยการต้มหรือนึ่งแทน รวมไปถึงจำกัดปริมาณการกินอาหารที่อุดมด้วยแป้ง ไขมัน และน้ำตาล ที่สำคัญควรกินอาหารหลักให้ครบ 3 มื้อ มีผักผลไม้ทุกวัน ถ้าหากดื่มนมเป็นประจำ ควรเลือกดื่มรสธรรมชาติ สูตรพร่องไขมันหรือไขมัน 0% หลีกเลี่ยงนมที่มีรสหวาน
2. กินข้าวเท่ากับเนื้อ กินผักมากกว่าข้าว
ใน 1 มื้อ ใช้สูตรการกินแบบ 2:1:1:1 (ผัก 2 ส่วน / คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน / โปรตีน 1 ส่วน / ผลไม้ 1 ส่วน) จะได้พลังงานประมาณ 400 กิโลแคลอรี ช่วยลดพลังงานในแต่ละวันลงได้ 500 กิโลแคลอรี ใน 1 สัปดาห์สามารถลดน้ำหนักลงได้ครึ่งกิโลกรัม
ซึ่งการกินแบบนี้เราจะได้ปริมาณผักใน 1 มื้อ ประมาณ 100-200 กรัม และหากกิน 3 มื้อควบคู่กับผลไม้ จะได้รับปริมาณรวมไม่น้อยกว่า 400 กิโลกรัม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้
3. ออกกำลังกายควบคู่
ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกาย ให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที ด้วยการออกกำลังกายทั้ง 3 แบบ คือ คาร์ดิโอ การใช้แรงต้าน และการยืดเหยียด
สำหรับคาร์ดิโอจะเน้นการขยับเขยื้อนร่างกายเป็นหลัก ส่วนแรงต้านจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หน้าอก เกร็งโดยใช้น้ำหนัก และแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เช่น บอดี้เวท เวทเทรนนิ่ง เป็นต้น สุดท้ายคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อลดการบาดเจ็บและทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวดีขึ้น
4. ลดการกินอาหารบุฟเฟ่ต์
ปัจจุบันอาหารบุฟเฟ่ต์กลายเป็นอาหารยอดนิยมของกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา แล้วการกินส่วนใหญ่ก็มักจะคิดถึงความคุ้มทุน โดยพยายามกินอาหารให้ได้ในปริมาณที่มาก แต่ทั้งนี้หากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินนั้นไปเก็บสะสมในรูปไขมันเป็นพลังงานสำรอง
การที่ร่างกายสะสมไขมันมากจนเกินไป ก็จะนำไปสู่โรคอ้วนและโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้นการลดอาหารบุฟเฟ่ต์ลงบ้าง จึงเป็นเหมือนตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกทางหนึ่งนั่นเอง
5. กินอาหารเช้าให้เต็มที่ กินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น (ไม่เกิน 18.00 น.)
การลดน้ำหนักให้ได้ผล นอกจากจะต้องอาศัยวินัยในการออกกำลังกายแล้ว การรับประทานอาหารก็มีผลอย่างมากเช่นกัน ก่อนหน้านี้เราได้ยินกันมาว่า กินน้อย ๆ แต่ให้บ่อยมื้อ จะช่วยเรื่องระบบการเผาผลาญในร่างกายได้ดีขึ้น
แต่จากผลการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัย Loma Linda University School of Public Health ในสหรัฐอเมริกา กลับพบว่าการกินอาหารมื้อเช้าให้เต็มที่ และกินมื้อเย็นให้เร็วขึ้น (ไม่เกิน 18.00 น.) เพื่อให้มีระยะเวลาที่ท้องว่างนาน 18 ชั่วโมง คือ กุญแจสู่การลดน้ำหนักที่ได้ผลอย่างแท้จริง