ชงกาแฟด้วยตัวเอง อยากให้อร่อย ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ชงกาแฟด้วยตัวเอง อยากให้อร่อย ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ชงกาแฟด้วยตัวเอง อยากให้อร่อย ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากคุณเป็นคนวัยทำงานธรรมดาที่ต้องดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 แก้ว 2 แก้ว หรือ 3 แก้วก็ตามแต่ คุณเคยคำนวณค่ากาแฟที่ต้องจ่ายบ้างหรือไม่ ว่าในแต่ละเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายในการดื่มกาแฟเท่าไร ยิ่งถ้าคุณดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้วล่ะก็ พอหันกลับไปมองกาแฟที่ซื้อมากับราคาที่จ่ายไป คุณอาจจะไม่กล้าเอามันมาบวกลบคูณหารเลยก็ได้

เพราะปกติคุณเข้าร้านกาแฟ สั่ง จ่าย และดื่ม จะมีสักกี่คนที่จะมาสรุปค่ากาแฟรายเดือนว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ถ้าลองคำนวณดูแล้ว คุณกำลัง “รู้สึกช็อก” กับค่ากาแฟในแต่ละเดือน และมีความคิดอยากจะลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงแล้วล่ะก็ การชงกาแฟกินเองก็เป็นวิธีที่ไม่เลวเลยว่าไหม ในเมื่อคุณดื่มกาแฟทุกวัน ลงทุนซื้อเครื่องชงกาแฟครั้งเดียว แต่ได้ดื่มกาแฟอร่อย ๆ ไปยาว ๆ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายรายเดือนไปได้อีกหลายบาทเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นมาดูกันหน่อยว่าถ้าอยากจะชงกาแฟให้อร่อยด้วยตัวเอง คุณต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

1. วัตถุดิบ
แน่นอนว่ากาแฟแก้วโปรดนี้จะอร่อยหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบอย่างกาแฟ จริง ๆ แล้ว เมล็ดกาแฟที่ดีมีคุณภาพ กลิ่นหอม อร่อย ไม่จำเป็นต้องแพงกระเป๋าฉีกเสมอไป ซึ่งการเลือกซื้อกาแฟแบบเมล็ดมีเทคนิคในการเลือกง่าย ๆ คือ ให้เลือกกาแฟที่คั่วใหม่ อายุไม่เกิน 2 เดือนนับจากวันผลิต รู้ได้จากข้อมูลหน้าห่อกาแฟ หรือจะลองดมกลิ่นดูก็ได้ ว่ายังหอมกลมกล่อมแบบกาแฟคั่วใหม่หรือเปล่า กาแฟคั่วใหม่จะมีกลิ่นหอม ถ้าลองดมแล้วได้กลิ่นอับ เหม็นหืน ก็อย่าหยิบมา ซึ่งก็คล้ายกับการเลือกซื้ออาหารทั่ว ๆ ไป ที่ต้องเลือกซื้อของที่สดใหม่ที่สุดนั่นเอง

2. คุณภาพของน้ำ
น้ำ เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่จะทำให้กาแฟอร่อยหรือไม่อร่อย คุณภาพของน้ำต้องเลือกใช้น้ำกรองสะอาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นมาต้ม อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 90-96 องศาเซลเซียส หากเราใช้น้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จะทำให้รสชาติของกาแฟขมเกินไป ส่วนน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 90 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้กาแฟที่สกัดออกมาเจือจางและรสอ่อนเกินไป

3. การชงกาแฟ
ถ้าอยากได้กาแฟที่หอม อร่อย ให้ได้ดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟอย่างที่สุดแล้วล่ะก็ ควรบดกาแฟใหม่ทุกครั้งที่จะชงพูดง่าย ๆ ก็คือ บดมันแก้วต่อแก้วนั่นเอง เพราะกาแฟที่บดทิ้งไว้ คุณภาพก็จะลดลง กลิ่นหอมเริ่มหายไป เนื่องจากสัมผัสกับความชื้นในอากาศ รสชาติก็เลยไม่อร่อยอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนปริมาณกาแฟที่ใช้ชงในแต่ละครั้งก็สำคัญ หากเรามีเครื่องชงกาแฟ เครื่องบางรุ่นจะคำนวณปริมาณที่เหมาะสมต่อการดื่มอยู่แล้ว คือ 1 ช็อต หรือประมาณ 8-10 กรัม ปริมาณน้ำก็ควรเติมในปริมาณที่เหมาะสม หากเป็นเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติก็จะถูกตั้งโปรแกรมกะปริมาณมาแล้ว แต่ถ้าชงกินเองโดยการเติมน้ำร้อน ก็ใช้ปริมาณที่อร่อยสำหรับตัวเอง บางคนชอบเข้ม ๆ บางคนชอบอ่อน ๆ ไม่เหมือนกัน

4. การเลือกเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ
ถ้าคุณจำเป็นต้องดื่มกาแฟทุกวัน ก็ลงทุนซื้อเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติหน่อยเป็นไร ราคาปกติที่ไม่ใช่แบบร้านกาแฟ ราคาเครื่องละไม่ถึง 1,000 บาท ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบตามความชอบและรสนิยม ที่เป็นที่นิยมก็อย่างเช่นเครื่องกาแฟแบบหยด หรือที่เรียกว่าแบบดิป เครื่องนี้ใช้งานง่าย เพียงใส่น้ำลงในหม้อของเครื่อง เมื่อน้ำได้อุณหภูมิที่พอดี น้ำจะถูกจ่ายไปที่ด้านบนของผงกาแฟ เครื่องจำทำการกรอง แล้วหยดออกมาเป็นกาแฟ

เครื่องชงกาแฟแบบเฟรนซ์เพรส หลักการทำงานคือ มีลักษณะเป็นลูกสูบ มีกระบอกแก้วและก้านโลหะอยู่ตรงกลางแค่ใส่กาแฟลงในกระบอกแก้ว รินน้ำร้อนใส่กระบอกให้ท่วมผงกาแฟ รอให้ผงกาแฟชุ่มน้ำ ก็กดก้านโลหะลง ระบบลูกสูบจะคั้นเอาน้ำกาแฟออกมา ส่วนที่เหลืออยู่ด้านล่างเครื่องก็คือกากกาแฟ

เครื่องชงกาแฟแบบเอสเปรสโซ เป็นเครื่องชงกาแฟแบบที่เรามักเห็นตามร้านกาแฟ ใช้พลังงานไอน้ำกลั่นเอารสชาติกาแฟออกมา ใช้น้ำน้อย ทำให้รสชาติที่ได้เข้มข้นและมีกลิ่นหอม

5. การดื่มกาแฟ
กาแฟก็เหมือนอาหารทั่วไปนั่นแหละ ที่คุณควรจะดื่มตอนที่มันยังร้อนหรืออุ่น ๆ อยู่ เพราะกาแฟที่ถูกวางทิ้งไว้ในอุณหภูมิปกติก็จะเริ่มเย็น ยกแก้วดื่มอีกทีคือเย็นชืด กร่อย เสียรสชาติกาแฟไปจนหมด เหมือนดื่มน้ำเปล่าที่มีกลิ่นกาแฟอย่างไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าชงเสร็จแล้วก็ควรรีบดื่มให้หมดภายใน 15 นาที ซึ่งจะเป็นช่วงที่กาแฟรสชาติดีที่สุด และถ้ากาแฟเย็นหมดแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย อย่าคิดจะเอากาแฟแก้วเก่าไปอุ่นให้ร้อนเชียวนะ นอกจากจะไม่อร่อยสุด ๆ แล้ว ยังทำให้กาแฟมีรสกระด้างขึ้นด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook