'ค่า pH Balance' คืออะไร แล้วทำไมผู้ชายอย่างเราต้องสนใจด้วย?

'ค่า pH Balance' คืออะไร แล้วทำไมผู้ชายอย่างเราต้องสนใจด้วย?

'ค่า pH Balance' คืออะไร แล้วทำไมผู้ชายอย่างเราต้องสนใจด้วย?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อใดก็ตามที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับเส้นผมหรือสกินแคร์ คุณมักจะเจอศัพท์คำว่า “pH Balance" หรือความสมดุลของค่า pH อยู่บ่อยๆ และหลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ถ้าเราใช้คำว่า 'ค่า pH' อาจจะฟังดูคุ้นเคยกว่า เพราะคุณเคยเรียนเรื่องนี้ตอนอยู่มัธยมปลายในวิชาเคมีนั่นเอง และกลายเป็นว่า ทั้งเส้นผมและผิวของคุณต่างก็มีระดับค่า pH ตามธรรมชาติ ซึ่งหากไม่สมดุลก็อาจจะนำไปสู่ความแห้งกร้านและการระคายเคืองได้

และเราจะพูดถึงเรื่องนั้นกันต่อ แต่ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับค่า pH "มันหมายถึง 'ศักยภาพของไฮโดรเจน' ซิปโปรา เชนเฮ้าส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง อธิบายว่า "มันหมายถึงอัตราส่วนกรดพื้นฐานของสาร ยิ่งมีไอออนไฮโดรเจนมากเท่าไรก็จะยิ่งมีความเป็นกรดมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายถึงมีค่า pH ที่ต่ำด้วย" ซึ่งจะแบ่งการวัดค่า pH เป็นระดับตั้งแต่ 0-14 ที่จะแสดงว่าตัวไหนเป็นด่าง (ซึ่งค่า pH จะสูงมาก) หรือเป็นกรด (ค่า pH ต่ำ) ระดับ 7 ตรงกลางคือของเหล่านั้นจะมีสภาพเป็นกลาง และอะไรก็ตามที่น้อยกว่านั้นจะมีความเป็นกรด ในขณะที่อะไรก็ตามที่อยู่เหนือระดับ 7 จะมีสภาพเป็นด่าง องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันก็จะมีระดับค่าความเป็นกลางแตกต่างกันไป และค่า pH ที่เท่ากับ 7 นั้นก็จะไม่ใช่ค่าที่สมดุลเสมอไปด้วย

การรักษาระดับค่า pH ที่ดีต่อสุขภาพ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวของคุณ โดยเฉพาะผิวหน้า เพราะสามารถช่วยป้องกันริ้วรอยแห่งวัยและจะทำให้ผิวหน้าของคุณไม่ระคายเคือง GQ วันนี้จึงขอเสนอวิธีดูแลผิวหน้าโดยพิจารณาจากค่า pH ในแบบที่ง่ายสำหรับคุณ

รู้ระดับค่า pH ที่เป็นกลางของผิวตัวเอง

ตามธรรมชาติของผิวจะมีสภาพเป็นกรด ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 5-6 อย่างไรก็ตาม การศึกษาบางชิ้นได้พิสูจน์ว่าระดับค่าความเป็นกลางของผิว ที่ยังไม่ได้รับการบำรุงจะมีค่า pH ต่ำประมาณ 4.7 "ตัว Acid Mantle หรือ Skin Barrier คือเกราะป้องกันผิวจากแบคทีเรียก่อโรค ประกอบด้วยไขมัน แล็กทิก (Lactic) และกรดอะมิโน และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผิวสามารถรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันเชื้อโรค ป้องกันความเสียหายจากรังสียูวี สิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ เช่นเดียวกับการป้องกันผิวจากการระคายเคืองโดยสารเคมีและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในชีวิตประจำวัน" เธอกล่าว ไม่มีวิธีที่ง่ายในการเช็กค่าความสมดุล pH ของผิว แต่ก็ยังมีวิธีอื่นที่ใช้ตรวจสอบได้อยู่เช่นกัน

คอยระวังและสังเกตสัญญาณที่บอกว่าค่า pH ของคุณกำลังมีปัญหา

ถ้าผิวของคุณอักเสบบวม แห้ง ระคายเคืองและเซนซิทีฟอย่างรุนแรง มันอาจจะบ่งบอกถึงการที่ผิวกำลังประสบปัญหาค่า pH สูงจนเกินไป เชนเฮ้าส์ กล่าวว่า "สภาพความเป็นด่างจะลอกทำลายคุณสมบัติที่ปกป้องผิวออกไป มันสามารถนำไปสู่ปัญหาริ้วรอยก่อนวัยและรอยย่นต่างๆได้"

ค่า pH ของผิวที่ต่ำ หรือจะเรียกว่ามีสภาวะเป็นกรดสูงก็ได้ จะแสดงออกมาผ่านอาการเห่อแดง การระคายเคือง ความมันส่วนเกิน หรือแม้กระทั่งมีสิวเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวส่วนใหญ่มีส่วนผสมของค่าความกรดและสามารถช่วยรักษาสิวบางชนิดได้ แต่การใช้มากเกินไปจะทำลายชั้นที่ปกป้องผิวออกไปได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเซนซิทีฟมาก" เชนเฮ้าส์ เสริม "ผิวสุขภาพดีที่มาพร้อมกับค่า pH ที่ปกติ จะมีความเรียบลื่น นุ่ม ไม่แห้งตึง ไม่แตกลอก ไม่ระคายเคืองและไม่ทำให้คัน" เธอกล่าว "มันจะไม่ตอบสนองหรือไวต่อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คุณใช้เป็นประจำ"

ดังนั้นพยายามรักษาสมดุลค่า pH ของคุณไว้

สิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรก คือค่า pH ของน้ำที่คุณอาบสามารถส่งผลกระทบต่อผิว รวมถึงหนังศีรษะของคุณได้ "คุณจะต้องการน้ำที่นุ่มอ่อนโยน ไม่เป็นด่างและไม่ใช่น้ำแร่สำหรับการอาบน้ำ" เชนเฮ้าส์ กล่าว เธอแนะนำให้ใช้น้ำอ่อนๆ หรือน้ำที่กรองความกระด้างออกไปแล้ว (Water Softener) ในกรณีที่ผิวและผมของคุณนั้นแห้งเกินไป

สบู่หลายชนิดที่คุณใช้มักทำมาจาก น้ำด่าง (Lye) ซึ่งมีสภาวะเป็นด่างสูงมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้ง หรือในกรณีที่แย่ที่สุดจะทำให้เกิดแผลไหม้จากสารเคมี ( Chemical burns) ได้ ยาสระผมและสบู่ที่มีส่วนผสมของซัลเฟต (Sulfate) ที่ทำให้เกิดฟองต่างๆ อาจจะทำให้ผิวระคายเคือง ดังนั้น เชนเฮ้าส์ จึงแนะนำว่าให้ใช้ยาสระผมและสบู่ที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น และมีสภาวะเป็นกรดสักนิด แบบ AHA (Alpha-Hydroxy Acids) และ BHA (Beta-Hydroxy Acids) เพื่อรักษาระดับกรดที่เหมาะสมเอาไว้นั่นเอง

โทนเนอร์บำรุงผิวนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกำหนดค่า pH - พวกมันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับระดับค่าเหล่านี้ในผิว "ทั้งโทนเนอร์ (Toners) และไมเซล่า วอเตอร์ (Micellar Water) สามารถให้ส่วนผสมเฉพาะ รวมถึงกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) สำหรับผิวที่เป็นสิวง่าย หรือชาเขียวหรือดอกคาโมมายล์ที่ช่วยในการปลอบประโลมผิวด้วย" เชนเฮ้าส์ กล่าว

บางทีสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำเพื่อปกป้องผมได้ก็คือการใช้ครีมบำรุงผมหรือคอนดิชันเนอร์ "จริงๆ แล้วครีมบำรุงผมก็ทำหน้าที่เหมือนโทนเนอร์นั่นแหละ เพราะมันมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลค่า pH ให้กับผมหลังจากที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะน้ำก็อกธรรมดาที่ใช้อาบ หรือความแห้งจากการใช้แชมพูนั่นเอง" เชนเฮ้าส์ อธิบาย

สุดท้ายนี้ เชนเฮ้าส์ กล่าวว่า มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเพิ่มระดับความชุ่มชื้นที่ช่วยให้ผิวมีความสมดุล ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรที่ช่วยซ่อมแซมอย่างเซราไมด์ (Ceramide Acid) หรือไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) จะช่วยปิดซีลตัวป้องกันผิวที่เคยถูกทำลายได้ เพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคืองนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook