เคล็ดลับแบบวิทยาศาสตร์ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้

เคล็ดลับแบบวิทยาศาสตร์ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้

เคล็ดลับแบบวิทยาศาสตร์ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยากเป็นคนที่ประหยัดขึ้น เป็นคนที่รู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น หรือเลิกเป็นคนเสพติดการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งคนสมัยใหม่ก็มักแสวงหาวิธีในการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยอาศัยพวกหนังสือ How to สักเล่ม คลิปวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจ หรือพอดแคสต์มากมาย เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

แต่จริง ๆ แล้ว หลายคนก็มองว่าวิธีการแบบนั้นดูจะไม่ค่อยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้สักเท่าไร หลายคนจึงยังพยายามดิ้นรนหาวิธีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง Katy Milkman ศาสตราจารย์จาก Wharton และผู้เขียนหนังสือ “How to Change” กล่าวว่า ที่หลาย ๆ คนยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ก็เพราะขาดประเด็นสำคัญในการแสวงหาการเปลี่ยนแปลง นั่นคือความคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือก็คือ ความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนกัน

Milkman เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการร่วมของ Behavior Change for Good Initiative เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพเพื่อค้นคว้าหาวิธีให้ผู้คนสามารถตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ง่ายขึ้น ความผิดพลาดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต คือการพยายามหาทางออกที่ “วิเศษ” ทั้งที่ความจริงไม่ต้องพึ่งวิธีวิเศษใด ๆ เลย เพียงแค่รู้จักใช้แนวคิดเชิงกลยุทธ์ให้มากขึ้นตามอุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่ มุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เราเรียกว่า “อุปสรรค”

นี่คือ 3 วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ ที่สามารถช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณได้อย่างแท้จริง

1. ใช้ประโยชน์จาก “ช่วงเริ่มต้นใหม่”
ความคิด “เริ่มต้นใหม่” สามารถสร้างแรงจูงใจและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากคนเรามักจะถือโอกาสช่วงที่เริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ ในชีวิต เป็นการจุดเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทุกสิ่งอย่างที่เคยผิดพลาด จนกลายเป็นแรงกระตุ้นที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพมาก จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ที่จะใช้ช่วงเวลาของการเริ่มต้นใหม่มาเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่างด้วย

2. รู้ว่าอะไรคืออุปสรรคของตัวเอง
เคล็ดลับข้อหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คืออย่าเพิ่งข้ามขั้นไปที่วิธีการ แต่ให้คิดหรือวิเคราะห์ให้ดีก่อนว่ามีปัญหาอะไรที่เป็นอุปสรรคขวางทางอยู่ เพราะปัญหาคือคนส่วนใหญ่มักจะรีบข้ามไปที่การหาวิธีแก้ปัญหา โดยที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจเลย ว่าอะไรล่ะที่กำลังฉุดรั้งไม่ให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ

จริง ๆ แล้วมีอุปสรรคตั้งแต่ต้นหลายอย่างทีเดียว ที่คอยรั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น คุณต้องการที่จะเริ่มต้นออกกำลังกาย แต่อุปสรรคใหญ่เลยก็คือ คุณเกลียดการออกกำลังกาย! หรือคุณต้องการที่จะเลิกเสพติดโซเชียลมีเดีย แต่อุปสรรคคือคุณยังรู้สึกสนุกในการเล่นโซเชียลมีเดียอยู่นั่นเอง!

ทำไมต้องรู้ก่อนว่าอุปสรรคคืออะไร? เพราะเมื่อรู้อุปสรรคแล้ว ชุดเครื่องมือในการแก้ปัญหาก็จะตามมาเอง วิธีง่าย ๆ ก็คือ เปลี่ยนอุปสรรคที่ว่านั้นให้กลายเป็นเรื่องสนุก ๆ เช่น ถ้าการพยายามพาตัวเองเข้ายิมออกกำลังกายมันยากนัก ก็ลองตั้งเวลาทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบหลังออกกำลังกายเสร็จ บางทีอาจช่วยให้คุณเริ่มตั้งตารอที่จะไปออกกำลังกาย (เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมหลังจากนั้นต่อ) ก็ได้ ถ้าคุณตั้งเป้าหมายในแบบที่คุณชอบหรือรู้สึกสนุก คุณก็จะตั้งใจและจดจ่อกับเป้าหมายได้ง่ายดายขึ้น

3. ให้คำแนะนำกับผู้อื่น
การให้คำแนะนำเรื่องต่าง ๆ กับผู้อื่น ไม่ได้แค่แสดงความเป็นมิตร น้ำใจ หรือความหวังดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษาแก่ผู้อื่น สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ด้วย

เวลาที่เราสวมบทบาทเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ กับผู้อื่นที่พยายามบรรลุเป้าหมายที่คล้ายกัน ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขา และให้พวกเขานำกลับไปคิดไตร่ตรองว่าอะไรคือผลที่เขาจะได้รับหากทำตามคำแนะนำ หรือรู้สึกว่าหลอกตัวเองหากพวกเขาไม่ทำตาม ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังพยายามที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เราก็จะได้เรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่างจากคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ ซึ่งตัวเราจะได้ประโยชน์เพราะพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเอง ให้เป็นคนที่สามารถชี้แนะแนวทางให้คนอื่นได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook