กัปตัน ชลธร กับ 7 ปีในวงการบันเทิง ความรัก ความชอบ และก้าวต่อไป
เป็นผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มีโอกาสได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดง จากนั้นมีโอกาสได้ชิมลางทำงานเพลง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความหลงใหล แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ทำอะไรพร้อมกันแล้วจะออกมาไม่ค่อยดีนัก ช่วงที่เป็นนักร้องจึงพักงานแสดงไป แต่ตอนนี้เขาขอกลับมามุ่งมั่นกับงานแสดงแบบเต็มที่อีกครั้ง
“จริงๆ ผมเริ่มจากการแสดงเหมือนผมอยู่กับการแสดงมา 3 ปี ก่อนที่จะมีงานเพลงเข้ามาปีที่ 4 ที่ 5 เราห่างไปนาน 2 ปี เราเลยรู้สึกว่าเราอยากกลับมาจริงจังกับงานแสดงอีกสักที”
ชีวิตตั้งแต่ออกจากเส้นทางนักกีฬา จนมาทำงานในวงการบันเทิงหลายปี กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ ระหว่างทางมากมาย วันนี้เราลองมาพูดคุยกับนักแสดงวัย 23 ปี คนนี้กัน
คุณผ่านงานในวงการมาแล้วหลายอย่าง แต่ละพาร์ทท้าทายต่างกันยังไง
ความต่างกันมันค่อนข้างเยอะเหมือนกัน อย่างชื่อมันก็บอกว่าการแสดงก็คือ การแสดง การที่เราแสดงเป็นคนอื่นเราต้องทำความเข้าใจบทละครต่างๆ ที่เราได้รับ มันก็เหมือนถอดตัวเองออกไป เพื่อไปแสดงเป็นคนอื่น มันต่างจากการ ร้องเพลง การร้องเพลงมันเหมือนการต้องหาความชอบ ความสนใจ อยากจะนำเสนอผลงานออกมาอย่างไร ออกมาแนวไหน ความรู้สึกคืออะไร จะสื่อสารกับคนดูสื่อสารอย่างไร มันเหมือนเป็น 2 พาร์ทที่ค่อนข้างต่างกันมาก
เรื่องงานแสดงจากวันแรกถึงวันนี้คุณมองตัวเองพัฒนาไปอย่างไร
ถามว่าตอนนั้นเริ่มเล่น Love Sick บอกตรงๆ เราไม่เข้าใจหรอกว่าการแสดงมันคืออะไร เหมือนอยู่ดีๆ เราก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์แล้วก็เรียนเวิร์คช็อปแค่ประมาณ 3-4 ครั้ง เราก็เริ่มถ่ายทำแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะยังไม่เข้าใจเลยว่าการแสดงคืออะไร
แต่หลังจากนั้นพอได้เริ่มทำงานไปเรื่อยๆ ได้เริ่มมาอยู่ที่นาดาว ได้รู้จักครูที่สอนแอคติ้งหลายคน เราก็เริ่มกลั่นกรองแล้วว่าการแสดงสำหรับเราคืออะไร มันต่างจากเรื่องแรกอย่างไร ตอนนั้นเล่นไปแบบไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไร แค่ผู้กำกับให้บทมาพูดตามไป แต่ตอนนี้เราต่างจากตอนนั้นแล้ว เราโตขึ้น เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น เริ่มมีความคิดวิเคราะห์ต่างๆ
“การแสดงมันก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ทุกอย่างเป็นเครื่องมือ ความเป็นธรรมชาติ การแสดงมันเหมือนต้องรู้ก่อนว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร ต้องรู้ก่อนว่าร่างจริงๆ ของเราเป็นแบบไหน เป็นคนเก็บตัวไหม เราเป็นคนคิดบวกไหม คิดลบไหม เพราะถ้าเราหาตัวตนไม่เจอ พอเราเล่นจะสับสนมากๆ ว่าเราเป็นตัวละครหรือเป็นตัวเองที่พูดตามบทไป มันจะมีจุดเล็กๆ ที่ต่างกัน”
อะไรบ้างที่คุณมองว่ายังคงต้องพัฒนาต่อไป
ผมว่าหลายอย่าง การแสดงมันไม่มีจุดสิ้นสุด การแสดงมันเป็นศิลปะมันไม่ใช่หลักสูตรที่มีหลักสูตรมาแสดงเราต้องทำตามและสำเร็จตามหลักสูตรนี้ การแสดงมันเหมือนเราจะไปทางไหนก็ได้ จะไปทางซ้าย จะไปทางขวา ล่าง บน ไปได้หมด แค่ทำให้คนที่ได้รับสารของเรา เชื่อกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกไป มันจึงไม่มีอะไรที่ตายตัว
คุณเป็นคนที่เวลาทำอะไรสักอย่าง จริงจังกับมันมากน้อยแค่ไหน
ผมค่อนข้างจริงมาก ถ้าเป็นสิ่งที่ผมสนใจ แต่ผมเป็นคนที่ไม่สามารถทำอะไรพร้อมกันได้หลายๆ อย่าง เพราะมันจะขัดกันไปหมด อย่างเช่น ช่วงหนึ่งผมชอบถ่ายรูปมาก ผมก็จะเรียน เรียนมันจนสุดทาง แล้วถ้ามีสิ่งไหนที่ผมสนใจผมก็จะค่อยๆ เฟดตัวออกไปเรียนสิ่งอื่น ฉะนั้นผมค่อนข้างเป็นคนที่มีทักษะหลากหลาย เพราะเวลาทำอะไรผมทำจนสุดทาง
การแข่งขันในวงการบันเทิงค่อนข้างสูง คุณมีวิธีผลักดันตัวเองยังไง
อย่างแรกเลยเราต้องไม่ยอมแพ้ เดี๋ยวนี้วงการบันเทิงก็มีคนเข้ามาเยอะ ใครๆ ก็สามารถเข้ามาในวงการบันเทิงได้ อย่างผมก็เป็นคนคนนั้นที่เคยเข้ามาในวงการบันเทิง จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบคำว่า วงการบันเทิง มันคือสิ่งที่เรารัก มันคือ การแสดง การเป็นศิลปิน มันคือการที่เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเราชอบมันจริงๆ เรามีความหลงใหลในสิ่งนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่เข้ามาแค่อยากมีเงิน หลายคนอาจจะคิดว่าการมาเป็นนักแสดงมันเป็นอะไรที่สบายกว่าอาชีพอื่นเยอะ สำหรับผมผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย มันมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจเพราะว่ามันไม่มีคำว่าสบายของการทำงานทุกๆ อาชีพ มันจะมีความลำบากหมดอยู่ที่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหน
“ผมว่าสมัยนี้ดีนะได้เห็นตัวตนของแต่ละคนชัดดี อย่างถ้าเราย้อนไปสมัยก่อนเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่เราอยู่ในทีวีกับชีวิตจริงเขาเป็นอย่างไร แต่พอมีโซเชียลเราเห็นมุมอื่นๆ มากขึ้น เช่นความชอบจริงๆ ของเขาคืออะไร ตัวตนของเขาเป็นอย่างไร”
คุณเริ่มชอบเรื่องราวของแฟชั่นมาตั้งแต่ตอนไหน เพราะอะไรถึงชอบ
ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนก็สนใจ เพราะว่าแฟชั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมากับมนุษย์ อย่างของผมเองมันก็เปลี่ยนไปทุกปี โลกมันหมุนอยู่ตลอดเวลาเราไม่สามารถย่ำอยู่กับที่ได้ ตอนเด็กผมก็แต่งตัวไม่เป็น ก็หยิบแค่กางเกงยีนส์ตัวหนึ่ง มีรองเท้า 1 คู่ติดตัว แล้วก็เสื้อยืดอะไรก็ได้
แต่พอเราได้มาทำงานที่เกี่ยวกับแฟชั่นได้ศึกษาเรื่องราวของแฟชั่นมากขึ้น เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเราไม่สามารถมีกางเกงตัวเดียวได้ เราไม่สามารถมีรองเท้าคู่เดียวได้ หรือเราไม่สามารถที่จะมีเสื้อตัวเก่งของเราได้ เพราะว่าเวลาเราไปงานต่างๆ อย่างงานศพ งานแต่งงาน ออกงานอีเวนต์ เดินเล่น ทุกอย่างๆ มันจะต้องมีวัฒนธรรมต่างๆ ในแต่ละโอกาส ทำไมเราไปงานศพต้องใส่สูทดำรองเท้าหนัง เราไม่ควรใส่สูทดำกับรองเท้าผ้าใบ มันเป็นเรื่องตรงนี้ด้วย วัฒนธรรมต่างๆ ในหลายๆ ประเทศมันก็หล่อหลอมเราด้วย พอเราเสพข้อมูลต่างๆ ก็เรียนรู้มากขึ้น
“ผมชอบแต่งตัวแบบยุคเก่า ผมเป็นคนที่ชอบวินเทจ ไม่ว่าจะเป็นใส่ขาม้า ใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์ ผมว่าแฟชั่นมันเปลี่ยนไปทุกปี แล้วมันก็ย้อนกลับมาทุกปี ที่ผ่านมาเป็นกางเกงเอวสูงใช่ไหม สองปีที่แล้วสตรีทโอเวอร์ไซส์ มันก็สนุกตรงนี้ล่ะ ว่าแต่ละปีใครจะคิดว่าเสื้อผ้าเก่ามันจะถูกกลับมาใส่ในปีนี้”
สำหรับผู้ชายที่ไม่กล้าแต่งตัวคุณคิดว่าควรเริ่มยังไง เพิ่มความมั่นใจตรงไหนดี
เราต้องรู้ก่อนว่าเราเป็นคนประเภทไหน เราเป็นสายสตรีทหรือเปล่า หรือว่าเป็นเด็กแคชชวล ประเภทของเสื้อผ้ามันก็บ่งบอกคาแรกเตอร์ของตัวเอง อย่างผมเป็นคนที่ใส่เสื้อทุกอย่างต้องโอเวอร์ไซส์ ทุกวันนี้ผมใส่เสื้อ 2 XL เกือบทุกวัน มันเหมือนกับว่าเรามั่นใจกับการใส่เสื้อตัวใหญ่ พอใส่เสื้อตัวใหญ่คนก็ไม่รู้ว่าเราผอมหรืออ้วน ไม่มีใครมาเปลี่ยนเทียบเวลาขยับร่างกาย ผมถนัดใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์ เพราะว่ามันสบาย ไม่ต้องรัดมาก บ้านเราถ้าใส่เสื้อรัดเหงื่อออกมันก็จะเริ่มเหนียวตัว ฉะนั้นคุณก็ใส่ในแบบที่คุณมั่นใจได้เต็มที่เลย
คุณชอบการถ่ายรูปมาก อยากทราบว่าชอบตั้งแต่ตอนไหน เพราะอะไรที่หลงรัก
คือจริงๆ ผมรู้จักกับการถ่ายรูปมานานแล้วเพราะว่าพ่อผมก็ชอบถ่ายรูป คนรอบตัวผมก็เป็นคนชอบถ่ายรูปหมด เลยซึมซับมาเรื่อยๆ แต่ว่าตอนเด็กๆ เรารู้จักสิ่งพวกนี้เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่า เขาถ่ายเพื่ออะไร ให้รูปสวยอย่างเดียวหรือเปล่า
ฉะนั้นตอนเด็กๆ เราก็ยืมกล้องพ่อไป เราเอาไปใช้ถ่ายๆ ปรับสองสามทีโดยที่เราไม่รู้เลยว่าปุ่มต่างๆ บนกล้อง ปุ่มอื่นๆ มันคืออะไร จนโตได้มารู้จักกับกล้องฟิล์มซึ่งมันน่าสนใจมาก เพราะว่าเวลามองภาพฟิล์มเราค่อนข้างมองว่ามันมีความหมาย เวลาถ่ายรูปดิจิตอล 3-4 ร้อยรูปแล้วมันได้รูปที่ดีออกมา กับการที่เราถ่ายรูป 2-3 ช็อตแล้วมันได้ภาพบางอย่างออกมา ความรู้สึกค่อนข้างแตกต่างกัน ผมก็เลยเริ่มซื้อกล้องฟิล์มตัวแรกเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งมาเริ่มจริงจังมากๆ ประมาณ 2 ปีที่แล้ว
“เรียนทั้งจริงจังและยูทูบ ส่วนมากผมก็จะดูยูทูบว่า มันมีทริกอะไร ประวัติต่างๆ ของช่างภาพ การที่เราเสพช่างภาพทำความรู้จักเขากับผลงานของเขา มันก็สร้างแรงบันดาลใจให้เรา ทำให้เรารู้ว่าเราชอบถ่ายแบบแบบไหน พอตเทจ อาคิเทค หรือเป็นแลนด์สเคป”
คุณมองว่าเสน่ห์ของการถ่ายภาพอยู่ตรงไหน
เป็นสิ่งที่เราอยากจะเก็บโมเมนต์ต่างๆ แต่โลกทุกวันนี้ทุกคนมีอุปกรณ์ถ่ายภาพกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกล้องมือถือ กล้องเล็ก อุปกรณ์เสริมต่างๆ การถ่ายภาพในปัจจุบันบางครั้งมันเหมือนเราทำไปงั้นๆ เหมือนเราแปรงฟัน บางวันเราไม่ได้อยากแปรงฟันสะอาด เราแปรงฟันเพราะมันเป็นกิจวัตรประจำที่เราต้องทำทุกวัน มันก็คล้ายๆ กับกล้องตอนนี้ ใครก็ถ่าย เวลามีอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เวลาที่แต่งตัว มันขาดความหมายที่เราอาจจะสื่อสารให้คนนอกเขารู้สึกถึงความรู้สึกนั้น ผมก็เลยรู้สึกว่าผมอยากจะสื่อสารกับคนที่ดูภาพของผม ถ้าเกิดผมถ่ายเก้าอี้ตัวหนึ่ง มันมีสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันมีโครงสร้าง ที่เขาคิดผ่านมาแล้ว ผมอยากจะสื่อสารให้มากกว่าแต่ภาพนี้สวยจังเลย
วิธีดูแลตัวเองในแบบฉบับของคุณ
จริงๆ ผมเพิ่งมาออกกำลังกายเยอะๆ ช่วง 2 ปีนี้ คือผมพยายามดูแลตัวเองมาตลอดเพราะว่า ต้องทำงาน ต้องใช้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับร่างกาย ไม่ว่าจะกินอาหารที่ดี ดื่มน้ำเยอะๆ นอนไม่ดึก รักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลา เรื่องพื้นฐานแบบนี้เป็นอะไรที่หลายคนละเลยไป แต่มันก็สำคัญมันจะส่งผลไปถึงอนาคต ผมว่าทุกคนควรหันมาดูแลตัวเองเพื่อตอนอายุเยอะจะได้ห่างไกลโรคต่างๆ
เคล็ดลับดูแลผิวพรรณให้ดูเด็ก
ทาครีมต่างๆ ผมว่าผู้ชายหลายคนอาจจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องตรงนี้ หลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่ปัจจุบันมันก็ค่อนข้างพัฒนาไปมากที่ผู้ชายจะมาสนใจเรื่องการทาครีมต่างๆ การทาครีมมันไม่ได้ทำให้หน้าตึงตลอดไป แต่มันช่วยลดผลกระทบต่างๆ เช่น ฝ้า กระ ต่างๆ บางคนที่ไม่เคยดูแลเลย สุดท้ายเมื่อเป็นเยอะคุณก็ต้องกลับไปดูแลรักษาอยู่ดี ทำไมเราไม่ดูแลมันตั้งแต่ตอนแรกเพื่อให้ปัญหามันเบาลง
คุณเคยเป็นนักกีฬาแบดมินตัน กีฬาชนิดนี้ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง
การเป็นกีฬาตอนเด็ก หลายๆ คนอาจจะผ่านตรงนี้มา คนที่เป็นนักกีฬาจะเข้าใจดีว่า เราจะถูกกำหนดในทุกๆ วัน ต้องตื่นกี่โมง ต้องทำอะไรตอนเช้า ต้องทำอะไรตอนเย็น หรือก่อนนอนเราควรทำอะไร เพราะฉะนั้นชีวิตนักกีฬามันจะฝึกพวกวินัยที่เราจะต้องตื่นออกมาทำกิจกรรมที่โค้ชต้องการที่จะฝึกสอน มันเหมือนเป็นโรงเรียนประจำประเภทหนึ่งมั้งที่ทำให้เรา อย่างแรกที่ทุกคนรู้คือ เราแข็งแรงมาก ตอนเด็กผมเป็นหอบ พอผมตีแบตเกือบทุกวัน ผ่านไป 1-2 ปี เราก็เริ่มห่างจากโรคต่าง ๆ มันมีประโยชน์ แต่ว่าทำมากไปก็ไม่ดี ทุกอย่างมีทั้งดีไม่ดี
"ผมใช้ชีวิตกับนักกีฬาไป 5-6 ปี เนี่ย จนวันหนึ่งที่ผมเลิกผมทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะเราโฟกัสตรงนั้นเยอะมากจนเราไม่มีสังคมข้างนอก เราไม่รู้ว่าสังคมภายนอกต้องทำยังไง เราไม่รู้การเข้าสังคมเพราะเราอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมจนเราต้องมาปรับตัวพอสมควร"
อายุเยอะขึ้น มุมมองความรักของคุณตอนนี้เป็นยังไง เปลี่ยนไปไหม
มันต่างมากนะ อย่างตอนเด็กที่ผู้ใหญ่ชอบมาบอกเราว่า นี่มันเป็นป๊อปปี้เลิฟเราแค่ตกหลุมรัก ตอนนั้นเราก็ไม่เชื่อหลายผู้ใหญ่เขาแนะนำ เราก็จะคิดอยู่ตลอดว่าไม่จริงหรอกผู้ใหญ่ชอบกีดกันจากสิ่งที่สนุกต่างๆ มันเป็นเกือบทุกคนแหละ
ทุกคนไม่เข้าใจว่าป๊อปปี้เลิฟคืออะไร เชื่อว่าทุกคนก็ต้องผ่านมาหมด พอโตขึ้น เริ่มรู้ เออ ตอนเด็กๆ เราก็คงตกหลุมรักคนคนหนึ่งที่เขาสวย เขาน่ารัก เขาเป็นที่ชื่นชอบของหลายคน แต่เราไม่รู้เลยว่าการที่เราจะโตขึ้นและใชัชีวิตกับเขา มันมีอีกหลายปัจจัยมากไม่ว่าจะเป็น การอยู่ด้วยกัน การให้เกียรติกัน การใช้จ่าย ทุกอย่างมันเป็นปัจจัยหมด แต่สำหรับบางคู่ที่เป็นป๊อปปี้เลิฟแล้วยังคงสถานะถึงปัจจุบัน เป็นคู่ที่มหัศจรรย์มากๆ สำหรับความคิดผม
โควิด-19 กระทบกับชีวิตและการทำงานของคุณแค่ไหน
มันกระทบทุกคนอยู่แล้วตอนนี้ ผมก็ต้องอดทน และพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป อยู่บ้านทำอะไรได้บ้าง เรียนออนไลน์ ออกกำลังกาย ฝึกทักษะที่พอทำได้ ถามว่ามันอึดอัดไหม ผมว่ามันก็อึดอัด ตื่นมาอยู่ที่เดิม ภาพเดิมๆ ไม่ได้ออกไปไหน อยากให้ทุกคนสู้และผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน
เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของคุณคืออะไร
จริงๆ ถ้าระยะไกลมีภาพเดียวในหัวคือผมอยากไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้มากที่สุด นี่น่าจะเป็นเป้าหมายเดียวในชีวิตผม ผมไม่เคยคิดภาพว่าผมจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ผมจะเป็นคนที่มีเงินหลายล้าน เพราะผมรู้สึกมันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น คือเราไม่รู้ มันเป็นเหมือนความคาดหวัง ผมพยายามจะคัดอะไรหลายๆ อย่างออกไป ผมเลยให้ความสำคัญในแต่ละวัน เราพยายามจะมีความสุขในทุกๆ วัน กับเรื่องง่ายๆ
"ผมเป็นคนที่ชอบไปเที่ยวที่ไม่ซ้ำกัน เพราะว่าเราอยากเปิดรับวัฒนธรรมต่างๆ ที่เราไม่เคยรู้ อย่างไปญี่ปุ่นบางคนก็ไปเพื่อจะไปช้อปปิ้ง เราลองไปในที่ที่คนเที่ยวน้อยหน่อย ลองไปแช่น้ำพุร้อนดีไหม ลองไปฟาร์มวัว ลองไปอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถหาได้ในประเทศไทย คือทุกๆ ที่มันก็จะมีอะไรให้ทำเสมอแค่คุณต้องเปิดใจ อย่างผมได้เห็นรูปจากโซเชียลและผมก็ฝันว่าอยากไปที่นั่นไปดูสิว่าความรู้สึกที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นยังไง ความรู้สึกที่นั่งกินอาหารที่นั้นเป็นอย่างไร"
ด้วยความที่เป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เชื่อว่าผลงานต่อไปของ กัปตัน ชลธร ต้องมาพร้อมความน่าสนใจอย่างแน่นอน