มิโด (Mido) เปิดตัวนาฬิการะดับตำนาน Ocean Star Decompression Timer 1961
หากพูดถึงแบรนด์นาฬิกาที่เหล่านักสะสมต้องมีเก็บไว้ในครอบครอง จะต้องมีชื่อของแบรนด์ “มิโด” (Mido) อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะนาฬิกาดำน้ำ “โอเชียน สตาร์ สกิน ไดเวอร์” (Ocean Star Skin Diver) ที่มีต้นกำเนิดในปี 1961 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในรุ่น “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) ซึ่งหลังจากที่ทางแบรนด์ได้นำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2020 ก็ได้การตอบรับจากเหล่านักสะสมนาฬิกาอย่างท่วมท้น ล่าสุด “มิโด” (Mido) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ได้ประกาศการกลับมาของเรือนเวลาย้อนยุคสุดหายากอีกครั้ง ซึ่งถูกผลิตออกมาเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นเพียง 1,961 เรือนเท่านั้น
“มิโด” (Mido) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท Mido G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน
สำหรับ “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) เป็นนาฬิกาดำน้ำที่ทางแบรนด์ได้นำเอาเอกลักษณ์แห่งสีสันอันสดใสของหน้าปัดรุ่นเดิม มาสร้างสรรค์ใหม่ลงบนหน้าปัดสีขาวเงิน และมีกรอบหน้าปัดเป็นสีเขียวเทอร์ควอยซ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงชิ้นงานสไตล์วินเทจ บนตัวเรือนสเตนเลสขัดเงาขนาด 40.5 มิลลิเมตร ด้วยกระจกแซฟไฟร์ คริสตัล (Sapphire Crystal) และตัวกรอบแบบหมุนได้ อีกทั้งยังใช้โลโก้แบรนด์ในดีไซน์ดั้งเดิมที่มีปรากฏอยู่บริเวณหน้าปัดของนาฬิกา ตัวล็อคเม็ดมะยม สายรัด และยังสลักไว้ที่บริเวณด้านหลังของตัวเรือนควบคู่กับลวดลายปลาดาว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านการทำนาฬิกากันน้ำของช่างชาวสวิสอีกด้วย
โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในความหลากหลายเรือนเวลารุ่นนี้ยังถูกดีไซน์มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่สามารถเปลี่ยนสายได้ถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สายถักสเตนเลสสตีล สายหนังเคลือบในโทนสีน้ำตาลสุดสีคลาสสิก และสายผ้าสีเขียวเทอร์ควอยซ์สไตล์สปอร์ตที่เย็บจากด้ายเฉดสีเดียวกันกับกรอบหน้าปัด ซึ่งมาพร้อมกับระบบเดือยที่ทำให้สามารถเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
ด้านฟังก์ชั่นการใช้งานแน่นอนว่า “มิโด” (Mido) ยังคงประสิทธิภาพสูงพิเศษด้านความแม่นยำ และเที่ยงตรง ด้วยกลไก Calibre 80 อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานยาวนานกว่า 80 ชั่วโมง และเพื่อความสะดวกในการคำนวณระยะเวลาขณะดำน้ำ เรือนเวลานี้ยังสามารถระบุเวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ (Decompression) ได้ลึกถึง 6 เมตร อีกทั้งยังมีเครื่องหมายเวลาหลากหลายสีสันเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวก และง่ายต่อการอ่านค่า โดยสีเหลืองใช้สำหรับดำน้ำที่ความลึกระหว่าง 25-29 เมตร สีเขียวใช้สำหรับความลึกที่ 30-34 เมตร สีชมพูใช้สำหรับความลึก 35-39 และสีน้ำเงินใช้สำหรับความลึก 40-44 เมตร เพียงแค่หมุนเข็มนาทีไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาก่อนดำน้ำ ก็สามารถอ่านข้อมูลได้ในขณะที่อยู่ใต้น้ำ และยังมีกรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เพื่อช่วยคำนวณเวลาขณะดำน้ำ หรือเวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ
ส่วนการแสดงความลึกของรุ่นนี้จะอยู่บนเลขที่ 12 ของนาฬิกาในหน่วยเมตร และฟุต อีกทั้งยังเคลือบด้วยสารเรืองแสงแบบซูเปอร์ ลูมิโนวา (Super-LumiNova) บริเวณตัวเลข เข็มชั่วโมง และเข็มนาที ซึ่งช่วยในการมองเห็นใต้น้ำที่มืดสนิทได้ยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์ที่มีความวินเทจ และฟังก์ชั่นที่เที่ยงตรง แม่นยำ “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) จึงเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อเหล่านักสะสม
และนอกจากนี้ “มิโด” (Mido) ยังได้แนะนำเคล็บลับการดูแลเก็บรักษาเรือนเวลาหรูสำหรับนักสะสมให้ดูใหม่อยู่เสมอ โดยเริ่มจากการดูแลรักษาสายนาฬิกา หากเป็นสายหนังก็ไม่ควรโดนน้ำเป็นอันขาด เว้นแต่จะถูกเคลือบมาเป็นอย่างดี เพราะอาจทำให้ขึ้นรา และชำรุดได้ง่าย แต่หากเป็นสายโลหะควรนำมาเช็ดอย่างสม่ำเสมอ และใช้แปรงขนนุ่มปัดฝุ่นตามซอกของนาฬิกา ส่วนสายผ้าสามารถซักมือเได้ แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ซักที่เป็นสูตรอ่อนโยนเท่านั้น และที่สำคัญคือควรเก็บนาฬิกาทุกเรือนไว้ในกล่องที่ใส่เฉพาะ เพื่อป้องกันการกระแทกและรอยขีดข่วน ห่างไกลจากแสงแดด ความร้อน และความชื้น เพราะหากไม่ดูแลถนอมไว้ให้ดีก็จะยิ่งดูเก่า และเสื่อมสภาพเร็วได้
สำหรับ “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) นั้นถูกผลิตขึ้นมาเพียง 1,961 เรือน โดยสำหรับเหล่านักสะสมสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่ Mido Official Store ใน Shopee ทาง https://shopee.co.th/midoofficialstore ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ และจะวางจำหน่ายหน้าร้านอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (Mido) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ