เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนเราเลือกที่จะ “เท” ไม่ตกลงคบหา
อันว่าถึง “ความรัก” นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่ม “น้ำต้มผักก็ว่าหวาน” แต่พอนานวันไป ความรักก็กลายเป็น “ยาพิษ” เข้าเสียนี่ ทั้งสองเป็นการเปรียบเปรยที่ใช้ได้กับความรักในทุกยุคทุกสมัย หลายคู่ตอนเปิดตัวว่าคบกันนั้นหวานจนมดขึ้น ทำคนอิจฉาได้ทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ตอนแยกทางดันกลายเป็นหนังคนละเรื่องไปเลย แบบที่ว่าไม่ใช่แค่รักขม แต่กลายเป็นเกลียดกันเข้าไส้ ชนิดที่ว่าไม่ต้องมาเผาผีกัน
ส่วนคู่ที่ยังไม่ได้ตกลงใช้สถานะแฟน ยังไม่ได้เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นคนรัก ในช่วงที่ยังดู ๆ คุย ๆ กันอยู่ ถือเป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างต้องเร่งทำแต้ม เพื่อลุ้นว่าสุดท้ายจะวินได้ไปต่อหรือไม่ คู่ไหนที่ได้ไปต่อก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ได้เปลี่ยนจากสถานะโสดเข้าสู่โหมดมีความรักเสียที แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยุติความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังไม่ได้ใช้คำว่าแฟน เลือกที่จะ “เท” อีกฝ่ายก่อนได้คบกับ
ส่วนการเทที่ว่านี้บางคนมีมารยาทพอที่จะบอกอีกฝ่ายตรง ๆ คุยกันดี ๆ ว่าเราไปกันไม่ได้ จบแยกย้าย แต่บางคนกลับเลือกที่จะเทโดยการหายไปดื้อ ๆ โทรไม่รับไลน์ไม่อ่าน แบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่แฟร์และไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเลย
เมื่อพูดถึงการเท ย่อมมีฝ่ายหนึ่งเป็น “คนเท” และอีกฝ่ายเป็น “คนโดนเท” คุยกันมาดี ๆ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะเทแทนที่จะคบกัน Tonkit360 มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะเทคนคุยหรือคนที่ดู ๆ กันอยู่มาให้ลองพิจารณาว่าตรงหรือไม่ ส่วนคนที่โดนเทแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ลองอ่านดูผื่อว่าจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิดหรือรู้สึกให้มากขึ้น
รู้สึกว่าตัวเองเลือกได้และมีได้ดีกว่านี้
ตอนแรกที่ยังไม่ได้รู้จักกันดีเท่าไรนัก เราก็อาจจะรู้สึกว่าคนคนนี้แหละคือคนที่ใช่ เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ศึกษากันมาได้สักระยะ จนได้เห็นตัวตน เห็นธาตุแท้ เห็นอดีต เห็นไลฟ์สไตล์ เห็นทัศนคติ ความหน่วง ๆ หนืด ๆ ว่ามันเริ่มไม่ใช่แล้วเริ่มเกิดขึ้นในใจ แบบที่ว่าเราเองน่าจะหาหรือมีแฟนที่ดีได้มากกว่านี้ ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก เรามีสิทธิ์เลือกไง ตอนนี้ยังแค่คุย ๆ กันอยู่ มันก็ยังตกลงแยกย้ายได้ง่าย ให้มันจบซะตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนที่เริ่มรู้ว่าไม่ใช่แบบนี้แหละดีแล้ว
ต่างคนต่างเป็นตัวเองมากเกินไปและไม่ยอมปรับเข้าหากัน
การเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด จริง ๆ แล้วมันทำให้คนทั้งคู่มีความสุขในความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ เมื่อต่างฝ่ายต่างยอมรับตัวตนกันได้ และก็ไม่ต้องมีใครทนทุกข์ทรมานเพราะต้องสูญเสียตัวตนไป แต่การที่ต่างฝ่ายต่างมีความเป็นตัวเองสูงมาก อีโก้ก็สูง โดยที่ไม่มีใครยอมจะปรับเข้าหาอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของความรัก แบบนี้ไม่มีทางไปกันได้รอดหรอก คนสองคนอาจจะเคยคุยกันแล้วว่าอะไรที่เข้ากันไม่ได้บ้าง มันก็ควรจะลดตัวตนตัวเองลงมาเจอกันครึ่งทาง เราสะดวกใจ เขาหรือเธอสบายใจ แต่ถ้าปรับไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่กับตัวเองดีที่สุดแล้ว
คาดหวังสูงและไม่ได้ตามนั้น
ตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ในใจ เราก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองตามปกติ ทำทุกอย่างได้เอง กินข้าวคนเดียวได้ ไปไหนมาไหนได้เองไม่หวังพึ่งใคร แต่พอมีใครสักคนเข้ามาอีกหนึ่งตัวแปร ความคาดหวังก็เริ่มมา อาจจะคาดหวังให้เขาหรือเธอมารับไปส่ง อยากให้เขาหรือเธอทำนั่นทำนี่ให้ พอไม่ได้อย่างที่คาดหวัง ความผิดหวังก็จะทำให้เรารู้สึกไม่ดี หงุดหงิดที่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ดั่งใจ น้อยอกน้อยใจ มีคนที่ดู ๆ กันอยู่ก็จริงแต่ไม่เห็นต่างอะไรกับการโสดสนิท เอ้า! สถานะยังไม่ไปถึงไหนเลย อย่าเพิ่งคาดหวังขนาดนั้นสิ อีกอย่าง เขาหรือเธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะ
รู้สึกไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจ
อย่างที่บอกว่าสถานะในเวลานี้ยังไม่ไปถึงไหน อยู่ในขั้นคุย ๆ ดู ๆ กันอยู่ การที่สถานะยังไม่ชัดเจนแบบนี้ หมายความว่าต่างฝ่ายก็ยังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ซึ่งการที่ยังไม่ได้ใช้สถานะ “แฟน” กับใครจริง ๆ จัง ๆ ดู ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราหรือเขาหรือเธอจะคุยกับใครหลายคนในเวลาเดียวกัน (ของแบบนี้อยู่ที่มารยาทและการให้เกียรติกันมากกว่า) แบบดู ๆ ไปก่อน รู้สึกใช่กับใครก็ค่อยเลือกแล้วปฏิเสธคนอื่นเอาทีหลัง ตรงนี้นี่เองที่อาจทำให้เรารู้สึกไม่เชื่อใจหรือไม่มั่นใจอีกฝ่าย (อาจไม่มั่นใจตัวเองด้วย) กลัวว่าจะต้องผิดหวังถ้าเขาหรือเธอไม่เลือก ฉะนั้น เทก่อนเลยแล้วกัน
มาจากสังคมที่ต่างกันมากจนเกินไป
เรื่องพื้นเพเดิมของแต่ละฝ่ายใครว่าไม่สำคัญ จริง ๆ แล้วออกจะเป็นเรื่องใหญ่เลยด้วยซ้ำ แรกพบที่ได้เริ่มรู้จักกัน ใคร ๆ ก็มองว่ามันเป็นแค่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น แท้จริงแล้วมันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้คนสองคนเข้ากันไม่ได้ แม้ว่าจะรักกันแค่ไหนก็ตาม อาจเป็นเรื่องของพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันมาก (ส่งผลถึงภูมิหลังการเติบโตของแต่ละคนอีกต่างหาก) ฐานะ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ที่มันต่างกันมาก ๆ ราวฟ้ากับเหว มันต้องใช้เวลา ความเข้าใจ และความอดทนอย่างมากในการปรับตัวเข้าหากัน ดังนั้น จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าจะมีคนเหนื่อยจนไม่อยากไปต่อ
ยิ่งสนิทยิ่งอึดอัดหรือลำบากใจ
อ้าว! ไหงเป็นงั้นล่ะ แทนที่ยิ่งสนิทกัน ก็ยิ่งรู้สึกดีที่ได้รู้จัก ได้เข้าถึงตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น กลับกลายเป็นว่ายิ่งรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจไปเสียนี่ สาเหตุมันอาจเป็นเพราะเราเกิดรับไม่ได้กับนิสัย พฤติกรรม หรือตัวตนบางอย่างของเขาหรือเธอที่มันผิดคาดมากเกินไปหน่อย ขณะเดียวกัน สถานะที่เป็นอยู่ก็อยู่ในช่วงทำคะแนน เขาหรือเธออาจจะพยายามทำตัวติดเรามากจนเรารู้สึกไม่มีที่ว่างให้หายใจ ทำอะไรก็ยาก เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบ ไม่พอใจ จะพยายามแยกตัวออกมาก็อาจจะดูน่าเกลียดไป เราเลยจำทนอยู่กับสถานการณ์หรือความรู้สึกแบบนี้ทั้งที่ไม่สะดวกใจเลยจริง ๆ
สูญเสียตัวตนของตัวเอง
ความรู้สึกไม่ดีขั้นสุดในความสัมพันธ์ คือการที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (หรือจริง ๆ ทั้งสองฝ่าย) พยายามเป็นนสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองมากจนเกินไป หลาย ๆ คู่คุยกันแล้วตกลงว่าจะ “ปรับ” เข้าหากัน แต่มีหลายคนเข้าใจผิด กลายเป็น “เปลี่ยน” ไป โดยเฉพาะในช่วงคลั่งรักหรือพยายามทำคะแนน เขาหรือเธอมีผลต่อความรู้สึก ทำให้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น อยากเป็นคนใหม่ อยากเป็นคนแบบที่เขาหรือเธอชอบ แล้วทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นตัวเองทุกอย่าง ในที่สุด ก็จะรู้ว่ามันเหนื่อยและฝืนตัวเองมากเกินไป หลายคนเพิ่งเริ่มมาคิดได้ตอนหลังว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำมากขนาดนั้น