ผู้ชายเลี้ยงลูก : อยากให้ลูกสำเร็จ ลองบอกว่า “ลูกอาจจะล้มเหลวก็ได้”

ผู้ชายเลี้ยงลูก : อยากให้ลูกสำเร็จ ลองบอกว่า “ลูกอาจจะล้มเหลวก็ได้”

ผู้ชายเลี้ยงลูก : อยากให้ลูกสำเร็จ ลองบอกว่า “ลูกอาจจะล้มเหลวก็ได้”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สิ่งหนึ่งทำให้ชีวิตของคนที่เป็นพ่อ-แม่รู้สึกว่าชีวิตมีความสมดุลย์และน่าภูมิใจคือความรู้สึกที่ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้เติบโตมาอย่างเข้มแข็งและเผชิญหน้ากับปัญหาได้อย่างกล้าหาญ

จากงานวิจัยและข้อมูลจากหนังสือ “Mindset” ของ Carol Dweck นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เกี่ยวกับความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายในชีวิตบอกว่าเราทุกคนนั้นจะตกอยู่ในหนึ่งในสองกลุ่มในเรื่องของแนวคิดเกี่ยวกับพรสวรรค์และความสามารถ

1. Fixed Mindset : แนวคิดที่ว่าความสามารถ ความฉลาด ฝีมือ หรือ พรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ฝังมากับบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้วตั้งแต่อยู่ในท้องแม่และไม่สามารถมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ “ฉันไม่ฉลาด” “ฉันเข้ากับคนไม่ค่อยเก่ง” “ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง” พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเราเกิดมายังไงก็เป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิต

2. Growth Mindset : แนวคิดที่ว่าความสามารถ ความฉลาด ฝีมือ หรือ พรสวรรค์นั้นสามารถถูกพัฒนาได้ด้วยความฝึกฝนและพยายาม เราสามารถฉลาดขึ้นได้ เป็นผู้นำที่ดีได้ เราสามารถที่จะเรียนรู้ในการเสี่ยงแบบฉลาด ๆ ได้ พูดอีกอย่างหนึ่งคือเราสามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ถ้าเราทุ่มเทให้กับการฝึกฝนและลงมือทำ

ความแตกต่างระหว่างสองแนวคิดนี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นตอนที่เรายังเป็นเด็กจากฟีดแบคที่เราได้รับในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นเอง  (แต่สำหรับผู้ใหญ่ก็อย่าเพิ่งกังวลไป เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เช่นกัน อาจจะไม่ง่ายเหมือนเด็ก ๆ แต่ไม่มีสายเกินแก้ครับ)​ 

การ ‘เอ่ยชม’ หรือ ‘ตำหนิ’ ผลลัพธ์ มักจะนำไปสู่ Fixed Mindset ที่เชื่อว่าเราเก่ง/ไม่เก่งเรื่องไหนบ้าง ถูกตำหนิว่าทำโจทย์คณิตศาสตร์ไม่ได้เรื่อง ไม่เก่งเลย ก็จะเชื่อว่าเราคงได้แค่นี้แหละ เรียนไปก็ไม่มีความหวัง ชมว่าวาดรูปเก่งสวย ก็จะเริ่มเชื่อว่านั้นคือพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

การ ‘เอ่ยชม’ ความพยายามหรือการทดลองทำ มักนำไปสู่ Growth Mindset ที่เชื่อว่าเราสามารถพัฒนาขึ้นได้หากลงมือทำและพยายาม ชมความพยายามและความอดทนแม้จะผิดพลาดและไม่สำเร็จในตอนแรก เด็กจะเริ่มเชื่อว่าถ้าเขามุมานะและพยายามต่อไป เป้าหมายที่วางเอาไว้ก็สามารถเป็นจริงได้ ชมเรื่องความกล้าหาญแลพจิตใจที่เข้มแข็ง เด็กก็จะเห็นแล้วว่าการลองทำอะไรใหม่ ๆ โดยเฉพาะสิ่งที่พวกเขาอาจจะไม่เชี่ยวชาญ (อย่างตอนเริ่มหัดปั่นจักรยาน)​ เป็นเพียงก้าวหนึ่งของการพัฒนาตัวเองเพื่อให้ไปถึงความสำเร็จเท่านั้น

เพราะฉะนั้นการ ‘เอ่ยชม’ ที่ถูกต้องนั้นสร้างความแตกต่างอย่างมากเลยทีเดียว (ใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยในกรณีนี้)

แต่นอกจากการเอ่ยชมถึงความพยายามและการลองทำที่ถูกต้องแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำเพิ่มเข้าไปด้วยคือการอธิบายให้ลูก ๆ ฟังด้วยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำนั้น ‘ไม่ง่าย’ และพวกเขาก็อาจจะล้มเหลวได้ด้วย

ในการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร “The American Journal of Clinical Nutrition” พบว่าการอธิบายถึงความยากลำบากและอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทางก่อนจะไปถึงเป้าหมายนั้นจะช่วย ‘เพิ่ม’ ระดับการควบคุมสภาพจิตใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้หรืออุปสรรคระหว่างทางได้ด้วย

มันอาจจะดูเป็นเรื่องที่แปลกสักนิดหนึ่งในการมานั่งอธิบายให้ลูกหรือเด็ก ๆ ฟังว่าพวกเขาจะ “ลำบาก” จะต้องเผชิญปัญหาและ “อาจจะล้มเหลว” ได้ระหว่างที่ลองทำอะไรสักอย่าง ห่างไกลจากการพูดให้แรงบันดาลใจหรือกระตุ้นความฮึกเหิมเลยทีเดียว แต่ถึงมันจะดูแปลกประหลาดแค่ไหน มันกลับช่วยทำให้คนที่ได้ยินนั้นพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ดีมากกว่าคำเชียร์แบบหน้ามืดไม่ลืมหูลืมตา

ในการศึกษาเกี่ยวกับกระทบภายนอกต่อการลดน้ำหนักในระยะยาวชิ้นนี้ อาสาสมัครจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับการพูดสนับสนุนปลุกใจประมาณว่า “คุณทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ นะ ลุยเลย” กับอีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับการบอกว่าการลดน้ำหนักนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขา บางคนถึงขั้นถูกบอกว่าพวกเขามีพันธุกรรมที่จะทำให้เรื่องการลดน้ำหนักยากมากกว่าคนอื่น ๆ ประมาณว่า “มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากนะ”

ผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นว่ากลุ่มที่สองนั้นส่วนใหญ่ลดน้ำหนักได้มากกว่าคนกลุ่มแรก

บางคนอาจจะคิดว่าเป็นความไม่ยอมแพ้ในตัวมนุษย์ที่พยายาม “พิสูจน์” ให้เห็นว่าพวกเขาทำได้ หรืออาจจะรู้สึกโกรธและพยายามแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถทำได้เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขารู้และเข้าใจแล้วว่าความท้าทายจริง ๆ ที่ต้องเผชิญหน้าคืออะไรมากกว่า

เมื่อมีคนบอกเราว่า ‘ทำได้สิ’ แต่พอมาเจอจริง ๆ กลายเป็นว่ามันยากกว่านั้นมาก มันเลยเป็นเรื่องง่ายมากที่จะล้มเลิกกลางทาง

แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ต้องเผชิญเป็นเรื่องยาก? รู้ว่าต่อไปจะต้องเจออุปสรรคที่หนักมาก? รู้ว่าอาจจะล้มเหลว? เมื่อเราทราบดีว่ามันจะมีสิ่งกีดขวางที่ต้องก้าวผ่าน มีถนนขรุขระที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน เราจะหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นเมื่อต้องเจอกับมันจริง ๆ

ในรายงานเขียนเอาไว้ว่า “แทนที่จะทำตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้คำสนับสนุนแบบพร่ำเพรื่อ ผู้นำอาจจะช่วยคนอื่นได้มากกว่าโดยการอธิบายถึงความท้าทายอย่างมีเหตุผล”

สมมุติว่าลูกอยากลงแข่งวิ่งร้อยเมตรเพราะชื่นชมความเร็วเหนือมนุษย์ของ Usain Bolt เราอาจจะพูดว่า “เยี่ยมไปเลยนะลูก” แต่ต่อจากนั้นก็ต้องอธิบายให้ฟังต่อว่าหนทางข้างหน้าจะไม่ง่ายเลย ลูกจะต้องฝึกฝนเยอะมาก และถึงแม้จะฝึกมากขนาดไหน เมื่อลงแข่งก็อาจจะแพ้ได้ แต่ความพ่ายแพ้ก็มาพร้อมโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก เพื่อจะทำได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป เรียนรู้เทคนิคที่จะทำเวลาได้ดีกว่านี้ ทานอาหารที่ดีกว่านี้ เตรียมตัวได้ดีกว่านี้

การทุ่มเทเวลาและความพยายามจะส่งผลให้เราก้าวหน้าและการเติบโต

เมื่อมีคนบอกเราว่า ‘ทำได้อยู่แล้ว’ แต่พอลองทำจริงๆกลับล้มไม่เป็นท่า โอกาสที่เราจะถอดใจแล้วเลิกทำไปก็มีสูง  แต่เมื่อเรารู้และเตรียมตัวสำหรับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า การตัดสินใจอย่างแน่วแน่เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นก็ทำได้ง่ายขึ้น (ไม่ได้หมายความว่าง่ายนะ แค่ง่ายขึ้น) 

สำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ มันคงเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย มันมีเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างการบอกลูกให้คาดหวังผลลัพธ์ตามความเป็นจริงกับการมองลบบั่นทอนจิตใจดวงน้อย ๆ ที่กำลังพยายามทำอะไรบางอย่างอย่างเต็มที่ เวลาพูดก็ต้องคอยระมัดระวังเรื่องโทนเสียงและแนวทางการคุยด้วยเพราะมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่พอจะช่วยได้คือคุณต้องอธิบายต่อด้วยว่าคุณจะคอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ เสมอ คอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อจะผลักดันให้ลูกไปถึงเป้าหมายหรืออย่างน้อย ๆ ได้ทำตามความฝันของตัวเอง

”มันเป็นเรื่องที่ท้าทาย และไม่ง่ายเลยนะ ลูกอาจจะล้มเหลวได้ แต่พ่อกับแม่ก็อยู่ตรงนี้เสมอ พยายามให้เต็มที่เลย”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook