พิษสงของ “ผงชูรส”

พิษสงของ “ผงชูรส”

พิษสงของ “ผงชูรส”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขอนำข้อมูลจากแพทย์และนักโภชนาการมาตอกย้ำอีกครั้ง ว่าจริงๆ แล้วผงชูรสที่โฆษณากันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง มาดูกันว่าอันตรายจากผงชูรส (ซึ่งบางคนอยากเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ว่า “ผงชูโรค”) นั้นมีอะไรบ้าง

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังระบุว่า อันตรายของผงชูรสนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กับ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรส

สำหรับ “พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม” นั้น เนื่องจากผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายกว่าเกลือแกงตรงที่เกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่เท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่ามีปริมาณโซเดียมสูงเพราะไม่มีรสเค็มให้รับรู้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง-ผงชูรสมีพิษร้ายของโซเดียมแฝงอยู่อย่างมิดชิด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อไปนี้

1.ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องได้ ยิ่งถ้าคนเป็นเอดส์มาทานอาหารที่ใส่ผงชูรสเยอะๆ ยิ่งมีสิทธิตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

2.ทำให้เกิดการตกค้างในสมองเด็ก เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่มีผงชูรสแพร่หลายในประเทศ นอกจากนั้นผงชูรสยังทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ ทำให้รักษาผิดพลาดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ผงชูรสยังเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายบวมและยังเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย

3.ซ้ำเติมผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

นั่นคืออันตรายจากโซเดียมที่อยู่ในผงชูรส ส่วนอันตรายจากตัวผงชูรสแท้ๆ นั้น ยังมีอีกมากมายจนหลายคนคาดไม่ถึง นั่นคือ

1.ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น รู้สึกชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก ฯลฯ จนเป็นที่รู้จักและขนานนามอาการแพ้แบบนี้ว่า “โรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน” (Chinese Restaurant Syndrome)

2.ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลงทั้งขนาดและน้ำหนัก

3.ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือตาบอด โดยเฉพาะในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้าย

4.ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตจาง

5.ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะวิตามินบี 6 ซึ่งแก้โรคแพ้ผงชูรสได้

6.เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

7.ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

8.เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายผิดปกติ เช่น ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ

นี่ขนาดรวบรวมมาไม่ครบ ยังมีพิษภัยให้ตระหนัก 10 กว่าข้อ แสดงว่าผงชูรสนั้นมีอันตรายจริงๆ และอันตรายหลายอย่างเป็นเรื่องของการสั่งสมในร่างกาย อาจไม่เห็นพิษภัยในทันที แต่เชื่อเถอะว่าถ้ากินเข้าไปเยอะๆ กินเข้าไปทุกวัน ผลของมันต้องแสดงออกมาวันใดวันหนึ่งในอนาคต

ทางที่ดี ป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน ลด ละ เลิก ผงชูรสให้ได้มากที่สุด ถ้ากินอาหารนอกบ้าน อย่าอายที่จะบอกคนขายหรือพนักงานเสิร์ฟว่า “ไม่ใส่ผงชูรส” และถ้าทำอาหารกินเอง ขอให้เชื่อรสมือตัวเองมากกว่าเชื่อโฆษณา จงมั่นใจเถอะว่า อาหารที่ปราศจากผงชูรสนั้นดีกว่าแน่นอน โดยเฉพาะดีต่อสุขภาพในระยะยาว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook