สมองตื้อ หัวตัน คิดงานไม่ออก จัดการตัวเองเดี๋ยวนี้!
สำหรับคนวัยทำงาน จะต้องมีสักครั้งที่รู้สึกว่าตนเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในหัวมีแต่งาน งาน งาน แล้วก็งาน! แต่กลับไม่มีไอเดียสุดบรรเจิดอะไรที่จะนำมาใช้กับงานที่กองอยู่ท่วมหัวให้เสร็จเลย รู้สึกสมองตื้อ หัวตัน คิดงานไม่ออก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเองก็ไม่เคยมีอาการหนักขนาดนี้มาก่อน
สถานการณ์ที่คิดงานไม่ออก หัวไม่แล่น ไม่มีวัตถุดิบอะไรจะนำมาปรุงแต่งงานของตน และงานก็จำเป็นต้องทำให้เสร็จเป็นเหตุให้เกิดความเครียด ความกดดัน ความรู้สึกในด้านลบกับตัวเอง หลายคนรู้สึกโทษตัวเองว่าทำไมถึงแย่ได้ขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาเคยทำออกมาได้ดีกว่านี้ ซ้ำร้ายมันยังมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำ หากสมองยังคิดอะไรไม่ออกอยู่แบบนี้
ก่อนที่อะไร ๆ จะพังไปมากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าปล่อยให้ภาวะสมองตื้อ หัวตัน คิดงานไม่ออกรังควาญเราต่อไป ต้องรีบจัดการตัวเอง เดี๋ยวนี้เลย!
ออกไปข้างนอกเพื่อค้นหาวัตถุดิบใหม่ ๆ
สำหรับคนที่ทำงานสายที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สงสัยอะไรก็เปิดอินเทอร์เน็ตหาคำตอบ หันมองไปทางไหนก็เจอแค่ผนังกับเพดาน มันก็เหมือนเรากำลังติดอยู่ในกล่องที่ไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่ง อยู่ในบรรยากาศเดิม ๆ ไม่ได้พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้ทักทายผู้คน ทำให้ความคิดเราตีบตัน ใครที่ Work from Home มานานยิ่งแย่ การที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลย ทำให้เราขาดประสบการณ์ ขาดแรงบันดาลใจ และขาดแรงขับเคลื่อนชีวิต จงออกไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบนอกห้องสี่เหลี่ยมบ้าง สมองจะได้ลื่นไหลมากขึ้น
พูดคุยกับคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น
นอกจากจะพาตัวเองออกไปพบเจอกับบรรยากาศใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ แล้ว การเข้าไปพูดคุยกับคนอื่น ๆ ก็ช่วยจุดประกายความคิดได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะการพูดคุยที่เน้นรับฟังข้อเสนอ ความคิดเห็น ทัศนคติจากคนที่คิดเห็นต่างจากเรา มันจะทำให้เราได้เห็นโลกในอีกด้านหนึ่งที่ตัวเราไม่เคยเข้าไปสัมผัส ต้องยอมรับว่าการอยู่กับเองนาน ๆ ข้อเสียก็คือมันก็ทำให้โลกของเราแคบ เราอยู่แต่กับสิ่งที่คุ้นเคย คนที่คิดเห็นแต่แบบเดียวกัน มันก็ไม่มีอะไรใหม่ ๆ ให้รู้สึกเอ๊ะ! หรือสงสัย หรือแปลกใจ ลองเปิดใจให้กว้าง ละอคติ ลดอีโก้ ไม่มีพวกฉันพวกเธอ จะได้ได้ยินเสียงคนอื่นชัดเจนขึ้น
นึกอะไรออกก็เขียนฉบับร่างไว้ก่อนอย่าคิดเยอะ
เวลาที่เราไม่มีสมาธิ คิดอะไรไม่ค่อยออก สมองตื้อไปหมด นั่นแปลว่าประสิทธิภาพการทำงานของสมองของเรานั้นไม่ได้พร้อมที่จะทำงานหนัก ๆ ไม่พร้อมที่จะจัดระเบียบความคิดของตนเอง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรให้เป็นระบบในเวลานี้ ปล่อยให้ทุกความคิดไหลผ่านสมองอย่างเป็นธรรมชาติ มีไอเดียอะไรก็เขียนเป็นฉบับร่างไว้ ยังไม่ต้องสนใจว่ามันจะดีหรือไม่ดี ใช้ได้ใช้ไม่ได้ นึกอะไรออกก็ลิสต์ไว้เลยไม่ต้องคิดเยอะ เมื่อรวบรวมสมาธิและสติปัญญาได้ครบถ้วนแล้ว เวลานั้นค่อยมาทบทวน กลั่นกรอง จัดระเบียบความคิดใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้
หยุดที่จะดิ้นรน
ในบางกรณี ถ้ามันถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว ก็อย่าพยายามดิ้นรนที่จะทำต่อเลย ตัวเองหมดพลังแล้วแต่ยังคงดันทุรังที่จะฝืนสู้ต่อ บอกเลยว่าไม่มีอะไรดีขึ้นมา คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก งานที่พยายามทำอยู่ก็ไม่สามารถเดินต่อได้หรอกเพราะไอเดียมันไม่มี ต่อให้ฝืนได้งานก็ไม่มีคุณภาพ ฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือเลิกกดดันตัวเอง หยุดพักก่อนเพื่อเติมพลัง ยอมรับให้ได้ว่าตัวเองกำลังมีปัญหาที่คิดงานไม่ออก จากนั้นปล่อยวาง ผละออกจากงานชิ้นนั้นมาเลย ค่อยหาทางออกอื่นที่ดีกว่านี้จะดีกว่า อย่าพยายามจะทำซ้ำ ๆ จนรู้สึกกดดัน เครียด มันจะเป็นทุกข์มากกว่าที่เป็นอยู่
ลองฝึกสมาธิ
เมื่อพูดถึงการฝึกสมาธิ อย่าเพิ่งนึกถึงภาพการนั่งสวดมนต์ ประนมมือเป็นดอกบัว ฟังเสียงระฆัง หรือต้องมานั่งเพ่งสมาธิกับดวงตาที่สาม มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น แต่มันคือการปฏิบัติที่จะช่วยให้เรากลับมามีจิตใจ อารมณ์ และร่างกายที่มั่นคงอีกครั้ง การทำสมาธิจะช่วยให้เราผ่อนคลายจากความเครียดและความวิตกกังวล ดังนั้น หากรู้สึกว่าตัวเองคิดงานไม่ออก สมองมันตื้อไปหมด ลองนั่งเงียบ ๆ ทำตัวเองให้สมองโล่ง ๆ จดจ่ออยู่กับลมหายใจของตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น จะช่วยให้รู้สึกสงบขึ้น และบรรเทาความรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแข่งขัน
คู่หูมีไว้ช่วยคิด
คู่หูที่ดีในการทำงานก็มีไว้เพื่อการนี้นี่แหละ เวลาที่เรารู้สึกสมองตื้อ หัวตัน คิดงานไม่ออก ไม่มีไอเดียอะไรจะมาสร้างสรรค์งาน ก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรือเรื่องน่าเกลียดนักหรอกที่จะขอให้เพื่อนร่วมงานที่เรียกกันเป็นคู่หูคู่คิดช่วยเหลือ ยิ่งกับคนที่ทำงานด้วยกันมานานนั้น หากคุณกล้าจะขอให้พวกเขาช่วยคิดช่วยเสนอไอเดียบางอย่างในยามที่คุณคิดไม่ออก พวกเขาจะรู้สึกอึดอัดน้อยกว่าการเฝ้ามองว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องงานแต่ไม่ยอมขอความช่วยเหลือ สังเกตว่าประสิทธิภาพในการทำงานของคุณต่ำลง ทว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะคุณไม่ได้ถามและคุณกลัวคุณรู้สึกไม่ดี