บอตเกิดเกมเปลี่ยน : เมื่อ NIKE เปิดช่องให้ NEW BALANCE กลายเป็นสนีกเกอร์ร้อนแรงที่สุดในปี 2021

บอตเกิดเกมเปลี่ยน : เมื่อ NIKE เปิดช่องให้ NEW BALANCE กลายเป็นสนีกเกอร์ร้อนแรงที่สุดในปี 2021

บอตเกิดเกมเปลี่ยน : เมื่อ NIKE เปิดช่องให้ NEW BALANCE กลายเป็นสนีกเกอร์ร้อนแรงที่สุดในปี 2021
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เรากำลังเสี่ยงที่จะสูญเสียกลุ่มลูกค้าที่คลั่งไคล้รองเท้าสนีกเกอร์ … เพราะความต้องการที่มากจนเกินไป ความไฮป์กำลังจะทำลายวัฒนธรรม และพวกเขากำลังจะย้ายไปอยู่กับแบรนด์อย่าง NEW BALANCE"

ข้อความนี้เกิดขึ้นในห้องประชุมผู้บริหาร Nike ฝั่งรองเท้าสนีกเกอร์ กับความกังวลที่แบรนด์เบอร์ 1 ของโลก กำลังหวาดกลัวที่จะเสียฐานตลาด ให้กับ New Balance แบรนด์ที่เคยถูกมองข้ามมานานหลายปี แต่บัดนี้คือหนึ่งในแบรนด์ที่พุ่งแรงที่สุดของวงการสนีกเกอร์

จากรองเท้าของคุณลุง New Balance เปลี่ยนแปลงการตลาดของตัวเองให้กลับไปได้รับความสนใจจากเหล่าสนีกเกอร์เฮดอีกครั้ง และช่องว่างทางธุรกิจของ Nike ก็เปิดโอกาสให้พวกเขาพบกับคู่แข่งรายใหม่ที่แบรนด์ดังเจ้าของโลโก้ Swoosh จะมองข้ามไม่ได้ เพราะ New Balance กลายมาเป็นแบรนด์สนีกเกอร์ที่ร้อนแรงและน่าจับตาที่สุดในปีที่ผ่านมา

ติดตามเรื่องราวไปกับ Main Stand ได้ที่นี่

เบอร์ 1 วงการสนีกเกอร์
Nike ไม่ใช่แค่บริษัทรองเท้าที่หาวิธีดึงดูดลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นสุดยอดด้านการตลาดที่หลายบริษัทต้องมาลอกเลียนแนวทางของแบรนด์ดังไปใช้ในการขายสินค้าของตัวเอง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Nike ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการหาวิธีให้คนมาซื้อรองเท้าสนีกเกอร์ หนึ่งในวิธีการสำคัญคือการหาสตอรี่ให้กับรองเท้า นำหน้ามาก่อนการชูจุดเด่นไปที่นวัตกรรมใหม่ ๆ หรือศักยภาพในการใช้จริงของรองเท้า

วิธีการสร้างสตอรี่ของ Nike คือการจับมือกับเซเลบริตี้ชื่อดัง เพื่อนำชื่อเสียงและไอเดียที่แตกต่างของกลุ่มคนเหล่านั้นมาใช้ในการเพิ่มเรื่องราวจากรองเท้าธรรมดาคู่หนึ่งให้กลายเป็นรองเท้าอันมีที่มาที่ไปและมีสตอรี่ที่น่าสนใจซึ่งถูกถ่ายทอดลงไปในตัวสินค้า


Photo : soldoutservice

ยกตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับ เวอร์จิล อาโบลห์ (Virgil Abloh) ดีไซน์เนอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ชื่อดังอย่าง Off-White ผู้ล่วงลับ ซึ่งเวอร์จิลคือบุคคลสำคัญที่ทำให้รองเท้าหลายต่อหลายรุ่นของ Nike ได้รับความนิยมถึงขีดสุด

ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Dunk, Air Jordan 1, Nike Air Presto และอีกมากมายนับไม่ถ้วน เพราะทุกคู่ที่เวอร์จิลเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบ เขาจะหาเรื่องราวมาใส่ในรองเท้าเสมอ

รวมถึง จี ดราก้อน (G-Dragon) แรปเปอร์หนุ่มชื่อดังชาวเกาหลีใต้ ที่ใช้ตัวตนของตัวเองใส่ลงไปในรองเท้า Air Force 1 Low x Peaceminusone Para-noise ทั้งสองรุ่น จนกลายเป็นของฮิตติดตลาด โดยไม่ใช่แค่ในหมู่คนรักรองเท้า

รวมถึงการออกแบบรองเท้า Kwondo 1 ซึ่งแรปเปอร์ชาวเกาหลีใต้ใช้ไอเดียจากรองเท้าเทควันโด ผสมกับรองเท้ากอล์ฟ และสตั๊ดฟุตบอลจากรุ่น Nike Tiempo มาผสมกันให้กลายเป็นรองเท้าคู่ใหม่ ซึ่งออกแบบมาในลักษณะของ Dress Shoes หรือรองเท้าที่ใส่ออกงานหรู ซึ่งปกติจะยืนอยู่ตรงข้ามกับสนีกเกอร์ แต่รองเท้าคู่นี้กลับกลายเป็นสนีกเกอร์ที่มีรูปร่างเหมือน Dress Shoes ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและกลายเป็นที่สนใจของผู้คน

นี่เป็นตัวอย่างเพียงส่วนน้อยมาก ๆ เท่านั้นกับการพยายามสร้างสตอรี่ให้กับรองเท้าของ Nike ถึงจะมีบางรุ่นที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างที่แบรนด์คาดหวัง แต่ส่วนใหญ่ก็ฮิตติดตลาดขายดีเทน้ำเทท่า และทำให้ราคารีเซลล์หรือราคาขายต่อของรองเท้าพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว บางรุ่นพุ่งในระดับ 3-4 เท่า หรือมากกว่านั้นก็มีเช่นกัน

Photo : instagram.com/xxxibgdrgn

สรุปหลักการง่าย ๆ ของ Nike คือพวกเขาไม่ได้ขายรองเท้าที่รองเท้าแต่ขายรองเท้าที่เรื่องราวของรองเท้า มีคนมากมายที่อยากได้สนีกเกอร์ของ Nike เพราะสตอรี่ของรองเท้าไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ของมัน และสตอรี่เหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ดึงดูดคนที่ไม่ได้เป็นคนรักสนีกเกอร์ให้เข้ามาสนใจอยากจับจองเป็นเจ้าของรองเท้าสักคู่

ด้วยเหตุนี้ Nike จึงมีสาวกของแบรนด์จำนวนมากที่ชื่นชอบในรองเท้าและต้องการเป็นเจ้าของสนีกเกอร์ในดวงใจ นี่เป็นเหตุผลให้แบรนด์จากรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ยึดตำแหน่งเบอร์ 1 ของวงการสนีกเกอร์มายาวนานหลายปี รองเท้าส่วนใหญ่ที่ปล่อยออกมาจะขายหมดไม่มีเหลือจนเป็นเรื่องปกติ

Nike มีการตลาดมากมายที่ส่งผลให้แบรนด์ได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ แต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ Nike ได้ประโยชน์มากมายจากแผนการตลาดของตัวเองก็จริง แต่มันได้นำมาซึ่งผลเสียของแบรนด์ด้วยเช่นกัน

ดังเกินไปก็ไม่ดี
คนมากมายต้องการมีรองเท้าสนีกเกอร์รุ่นเด็ดของ Nike แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มาไว้ในครอบครอง ท่ามกลางความต้องการที่สูงมาก ๆ แบรนด์ดังเจ้าของโลโก้ Swoosh กลับผลิตรองเท้าออกมาในจำนวนที่จำกัด บางรุ่นน้อยมากอยู่ในระดับแค่พันคู่

เหตุผลเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายในหลักการตลาด เพราะถ้ารองเท้าผลิตออกมาเป็นจำนวนมากจนทุกคนที่ต้องการสามารถหาซื้อมาใส่ได้ รองเท้าคู่นั้นก็ไม่มีความพิเศษอะไรและกลายเป็นรองเท้าดาด ๆ ธรรมดาทั่วไป พอเป็นแบบนั้นความน่าสนใจของรองเท้าก็จะลดลงไปและความต้องการในการบริโภคสินค้านั้น ๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย

Nike จึงปล่อยรองเท้าออกมาในจำนวนจำกัด เพื่อให้มีคนจำนวนน้อยได้ครอบครอง ขณะที่คนจำนวนมากอดเป็นเจ้าของ เพื่อรักษา "ความอยากได้" ของเหล่าสนีกเกอร์เฮดเอาไว้


Photo : highsnobiety.com

เมื่อครั้งหน้าที่รองเท้ารุ่นที่พวกเขาเคยพลาดในอดีตถูกนำกลับมาขายใหม่ เหล่าคนรักรองเท้าที่เคยอยากได้เมื่อหลายปีก่อนก็จะแห่กันมารอซื้อรองเท้าคู่ที่ตัวเองเคยพลาดในอดีต บ่มเพาะความอยากได้จนเติบโตมาเป็นเวลานับปีหรือหลายปี (บางคู่ก็หลายสิบปี) จนรองเท้าของ Nike ขายหมดไม่มีเหลือ

วิธีการนี้ของ Nike เคยได้ผลดีมาตลอดหลายปี จนกระทั่งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา Nike เจอปัญหาหนักโจมตีนั่นคือคนที่อยากได้รองเท้าของ Nike ไม่มีโอกาสได้ซื้อรองเท้าของ Nike เพราะรองเท้าไปอยู่กับกลุ่มคนที่ขายรองเท้าต่อ หรือที่เรียกว่า "รีเซลเลอร์" กันหมด

ปัญหาสำคัญที่ทำให้เหล่ารีเซลเลอร์กวาดซื้อรองเท้าไปจนเกลี้ยง ส่วนสนีกเกอร์เฮดธรรมดาได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ คือการที่เหล่าคนขายต่อใช้ "บอต" หรือโปรแกรมอัตโนมัติในการกวาดซื้อรองเท้าได้รวดเร็วฉับไว ทันทีที่มีการเปิดจำหน่ายในเว็บไซต์ของ Nike

ขณะที่คนธรรมดามัวแต่นั่งกรอกข้อมูลเพื่อซื้อรองเท้า บอตของเหล่ารีเซลเลอร์ก็ได้กวาดสนีกเกอร์ที่ผู้คนอยากได้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือรองเท้าพวกนี้ถูกนำมาจำหน่ายอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในราคาป้ายตามที่ Nike ตั้งไว้ตอนแรก แต่ราคาจะแพงขึ้นเป็นเท่าตัว เพื่อสร้างกำไรให้เหล่ารีเซลเลอร์

เบื้องหลังจริง ๆ ที่นำมาสู่ปัญหานี้คือความนิยมที่พุ่งทะลุฟ้าของ Nike เป็นเรื่องปกติของโลกทุนนิยม ที่ต้องมีคนคิดหากำไรในสิ่งที่ผู้คนนิยม และกลุ่มคนรีเซลเลอร์เองก็ใช้ช่องวางจากการตลาดของ Nike มาสร้างรายได้เข้าสู่กระเป๋าของตัวเอง


Photo : instagram.com/xxxibgdrgn

การเป็นรีเซลเลอร์ไม่ใช่ปัญหาเพราะมันอยู่คู่กับวงการสนีกเกอร์มานาน แต่ที่เป็นปัญหาคือการใช้บอต เพราะยิ่งนับวันผ่านไปคนที่อยากได้รองเท้าจริง ๆ คนที่หลงรักสนีกเกอร์ด้วยหัวใจกลับไม่เคยได้เป็นเจ้าของรองเท้าในราคาป้าย เพราะรองเท้าไปอยู่ที่รีเซลเลอร์กันหมด ทำให้คนที่อยากได้จริง ๆ ต้องยอมกัดฟันจ่ายเงินราคาแพงเป็นเท่าตัว เพื่อซื้อมันมาไว้ในครอบครอง ส่วนคนที่งบไม่ถึงก็ได้แต่ฝันที่จะเป็นเจ้าของ

Nike ไม่เคยแก้ปัญหาเรื่องการป้องกันบอตมาซื้อรองเท้าในเว็บไซต์ของตัวเองได้เลย หรือพวกเขาไม่คิดจะแก้ปัญหาก็ไม่อาจทราบได้ เพราะสุดท้ายจะขายให้สนีกเกอร์เฮดหรือขายให้รีเซลเลอร์ Nike ก็ได้เงินจากการขายรองเท้าอยู่ดี

ปัญหาที่คาราคาซังมาหลายปีนี้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาเบื่อที่จะเล่นเกมกับ Nike และเริ่มไม่อยากได้รองเท้าของแบรนด์ Swoosh อีกต่อไป ซึ่งเปิดโอกาสให้อีกหนึ่งแบรนด์จากสหรัฐอเมริกาได้ออกโรงมาประกาศศักดาในเวทีสนีกเกอร์

RISE OF NEW BALANCE
New Balance คือแบรนด์ที่เราพูดถึง นับตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา NB เป็นแบรนด์ที่ถูกมองข้ามจากสนีกเกอร์เฮดมาโดยตลอด ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็น "รองเท้าคุณลุง" ของสนีกเกอร์จากแบรนด์นี้


Photo : facebook.com/itkkit

เหตุผลที่รองเท้าของ NB กลายเป็นรองเท้าคุณลุงก็มาจากการตลาดของแบรนด์เอง ที่เลือกจะสร้างคอนเซ็ปต์ให้สนีกเกอร์ New Balance เป็นรองเท้าที่ใครก็ใส่ได้ ไม่มีการจ้างแบรนด์แอมบาสเดอร์ชื่อดังหรือจับมือกับคนดังมาสร้างรองเท้าที่น่าตื่นตาตื่นใจออกมา และเลือกวางจำหน่ายรองเท้าแบบธรรมดาที่หาซื้อได้ตามช็อปทั่วไป โดยชูจุดเด่นในเรื่องของความใส่สบาย

New Balance สามารถสร้างแฟนรองเท้าของตัวเองขึ้นมาได้จากความสบายของรองเท้าที่สวมใส่เดินได้ทั้งวัน และใส่ใช้งานในชีวิตจริงได้ทุกวัน อีกทั้งยังมีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

อย่างไรก็ตามถึง NB จะมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง แต่มันก็เป็นจำนวนน้อยมากหากเทียบกับแบรนด์ระดับแถวหน้า ทั้งที่คุณภาพของรองเท้า New Balance ไม่ได้เป็นรอง Nike แม้แต่น้อย แต่การตลาดของการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นรองเท้าติดดิน เป็นรองเท้าที่ไม่ต้องการปั่นกระแสใด ๆ ทั้งสิ้น ส่งผลเสียกลับมาให้กับทาง NB ทำให้ไม่มีทางขึ้นไปตีตลาดกับ Nike หรือ adidas ได้เลย

ฝ่ายการตลาดของ New Balance เชื่อว่าถึงเวลาของแบรนด์ที่จะต้องลุกขึ้นสู้แล้วไปลองตีตลาดสนีกเกอร์อย่างจริงจังเสียที ทำให้ในปี 2020 พวกเขาลองปล่อยรองเท้ารุ่น 992 หรือรองเท้ารุ่นคู่ใจของ สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Apple ผู้ล่วงลับ ที่นำกลับมาดีไซน์ใหม่ ร่วมกับ โจ เฟรชกูดส์ (Joe Freshgoods) ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากเมืองชิคาโก เปลี่ยนรองเท้าหนังกลับสีเทาจืด ๆ ในภาพติดตาของผู้คนให้กลายเป็นรองเท้าสีแดงสุดร้อนแรง ที่มาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าสนใจของรองเท้า นั่นคือ "ความร้อนแรงบนความเรียบง่าย" กับรุ่น The Joe Freshgoods x New Balance "No Emotions Are Emotions"


Photo : nssmag

รองเท้ารุ่นนี้กลายเป็นระเบิดลงกลางวงการสนีกเกอร์ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า New Balance จะเริ่มทำรองเท้ามาแข่งกับ Nike และ adidas ที่สำคัญคือรองเท้าที่ออกมามีความสวยงามและคุณภาพดีเป็นอย่างมาก จนปัจจุบันรองเท้ารุ่น The Joe Freshgoods x New Balance "No Emotions Are Emotions" มีราคาขายรีเซลล์ในปัจจุบันอยู่ที่ 2,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 66,346 บาทไทย

ภายในระยะเวลาอันสั้น New Balance 992 กลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมในทันที จากกระแสต่อยอดของรุ่น The Joe Freshgoods x New Balance "No Emotions Are Emotions" และเมื่อเริ่มต้นก้าวแรกแล้วก็ต้องมีก้าวต่อไป แฟนของ New Balance และเหล่าสนีกเกอร์เฮดต่างเรียกร้องให้ New Balance ออกรองเท้ามีการคอลแล็บและมีสตอรี่พิเศษออกมาวางขายให้เร็วที่สุด

New Balance จึงปล่อยรองเท้ารุ่นที่น่าสนใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคอลแล็บกับแบรนด์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็น New Balance x Joe Freshgoods 990v3, Aimé Leon Dore x New Balance 550, Salehe Bembury 2002R "Water Be The Guide" เป็นต้น


Photo : nssmag

New Balance ส่งรองเท้าที่น่าสนใจออกมาตลอดทั้งปี 2021 และเป็นเรื่องปกติที่ NB มีรองเท้าที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไม่เหมือนใครอยู่แล้ว ทำให้รองเท้ารุ่นไฮไลท์ของ New Balance มีความน่าสนใจและสร้างแรงดึงดูดสำคัญให้สนีกเกอร์เฮดที่เริ่มเบื่อโลโก้ Swoosh ของ Nike หรือ แถบ 3 ขีดของ adidas เข้ามาลองใส่สนีกเกอร์โลโก้ N ของ New Balance กันดูบ้าง

การหันกลับมาให้ความสำคัญกับการสร้างสตอรี่ให้กับรองเท้า รวมถึงมีการคอลแล็บต่าง ๆ เกิดขึ้น คือการเปิดประตูของ New Balance ที่เชื้อเชิญให้เหล่าสนีกเกอร์เฮดที่ไม่เคยเดินเข้ามาสู่โลกของแบรนด์มาก่อนลองเปิดใจและเข้ามาสัมผัส

ซึ่งมันได้ผลมากจริง ๆ เพราะไม่ใช่แค่สนีกเกอร์เฮดจะหันมาสนใจรองเท้าของ NB แต่รวมไปถึงเซเลบริตี้ชื่อดัง อย่าง ทอม ฮอลแลนด์, ริฮานนา, ลีโอนาร์โด ดิ คาปริโอ หรือ ราฮีม สเตอริ่ง ก็หันมาใส่รองเท้า New Balance ต่อหน้าสาธารณชน โดยไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์เลยด้วยซ้ำ


Photo : gq-magazine.co.uk

แถมรองเท้าบางรุ่นที่คนดังเหล่านี้ใส่ก็ไม่ใช่รุ่นที่ New Balance คิดจะผลักดันด้วย เช่น ทอม ฮอลแลนด์ กับรุ่น 237 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า รองเท้าของ NB มีเสน่ห์ในตัวของมันอยู่แล้ว มันแค่รอวันที่ทุกคนจะเปิดใจไปลองสวมใส่เท่านั้น

ซึ่งวงการสนีกเกอร์กับอิทธิพลของคนดังเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ทันทีที่เซเลปหันมาสนใจสนีกเกอร์ของ New Balance มันก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะหันมาสนใจรองเท้าของ New Balance เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน จนทุกวันนี้คอนเทนต์เกี่ยวกับสนีกเกอร์ของ New Balance เป็นที่พบเห็นได้จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ศัตรูอันตรายของ NIKE
New Balance ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2020 และพุ่งสุดขีดในปี 2021 จนทำให้ Nike ต้องประกาศจับตา NB เป็นคู่แข่งเบอร์ใหญ่ ในที่ประชุมของผู้บริหารแบรนด์ Swoosh


Photo : facebook.com/newbalancestoreth

ในความจริงแล้ว New Balance ไม่ได้หวังทำการตลาดมาเล่นงานแบรนด์เพื่อนร่วมชาติแต่อย่างใด แต่เป็นทาง Nike เองที่เริ่มมองว่า NB กลายเป็นภัยคุกคามของพวกเขา

เหตุผลแรกคือรองเท้าของ New Balance หาซื้อได้ง่ายกว่า Nike มาก ด้วยความที่สนีกเกอร์ของ NB ยังไม่เป็นที่ต้องการของคนหมู่มากเหมือนกับ Nike ทำให้เหล่าสนีกเกอร์เฮดที่เบื่อการเล่น "สนีกเกอร์เกม" ต้องมาแย่งชิงรองเท้าเลือดตาแทบกระเด็นในแบบที่ Nike ต้องการ จึงหันไปซื้อรองเท้า New Balance ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่า หรือถ้าจะซื้อในราคารีเซลล์มูลค่าก็เพิ่มขึ้นมาแบบพอประมาณและไม่น่าเกลียดจนเกินไป

การเข้าถึงได้ง่ายกว่ารองเท้า Nike โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการคอลแล็ปที่มีความไฮป์ในระดับเดียวกัน คือแต้มต่อแรกของ New Balance แต้มต่อถัดมาของ NB คือเรื่องของคุณภาพที่เป็นจุดแข็งอันเก่าแก่ยาวนาน


Photo : seprun

เมื่อหลายคนได้ลองสวมใส่รองเท้าของ New Balance ก็จะรับรู้ถึงคุณภาพของรองเท้า ทั้งเรื่องของวัตถุดิบการตัดเย็บที่ยอดเยี่ยม ไปจนถึงความสบายในการสวมใส่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เหล่าสนีกเกอร์เฮดเริ่มลองซื้อรองเท้ารุ่นใหม่ ๆ ที่แม้ทาง New Balance จะไม่ได้ผลักดัน แต่ความสบายของรองเท้าก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธที่ชนะใจผู้คน

ตรงกันข้ามกับ Nike ที่ปัจจุบันแบรนด์ Swoosh มีปัญหาอย่างหนักในการควบคุมคุณภาพการผลิตรองเท้า โดยเฉพาะในปี 2021 ที่คุณภาพการผลิตของรองเท้า Nike ต่ำกว่ามาตรฐานลงไปอย่างมาก การพบคราบกาวบนรองเท้ากลายเป็นเรื่องปกติ หรือด้ายเย็บที่รันแบบบิดเบี้ยวไม่สวยงามก็เช่นกัน จนสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ววงการสนีกเกอร์ในโลกอินเทอร์เน็ต

สิ่งนี้จึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้คนหันไปหา New Balance มากขึ้น เพราะเมื่อซื้อรองเท้าของ New Balance มา คุณก็จะได้รับของดีคุ้มราคาในเรื่องคุณภาพของรองเท้า ขณะที่กับรองเท้าของ Nike คุณต้องมานั่งลุ้นเสียงดวงกันว่า รองเท้าคู่นี้ของเราจะมีปัญหาหรือไม่ ทั้งที่หลายคนต้องจ่ายเงินซื้อในราคารีเซลล์ที่แพงกว่าเป็นเท่าตัว

ขณะที่ Nike กำลังเผชิญปัญหาของตัวเอง ทั้งเรื่องการปราบปรามบอตซื้อรองเท้าและการพัฒนาคุณภาพของรองเท้า New Balance ก็เดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ ในฐานะรองเท้าที่มีตัวตนแตกต่างเป็นของตัวเองแต่ยังคงความเรียบง่าย ใส่สบาย ใส่ได้ทุกโอกาส เพื่อขยายฐานแฟนคลับของตัวเองเอาไว้ได้


Photo : facebook.com/newbalancestoreth

ปี 2022 เพิ่งจะเริ่มต้น และมีรองเท้าอีกจำนวนมากจาก New Balance ที่จะออกมาในปีนี้ ซึ่งเราต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะต่อยอดจากชื่อเสียงที่มีและยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นได้หรือไม่ และ Nike จะสามารถแก้ไขปัญหาจนซื้อใจสนีกเกอร์เฮดกลับมาได้หรือไม่

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.complex.com/sneakers/virgil-abloh-off-white-air-jordan-sneakers-resale-increase
https://sneakerbardetroit.com/peaceminusone-nike-kwondo-1-release-date/
https://www.newsdirectory3.com/peaceminusone-x-nike-kwondo-1-latest-joint-shoes-release-information-official-pictures-officially-released/
https://www.mageplaza.com/blog/nike-marketing-strategy.html?fbclid=IwAR2_hHDJIo2SZrFBwi92jVL6-FS9y0h09PdqmyucBVh2Vv7gi2tBC_IbDPE
https://coschedule.com/blog/nike-marketing-strategy?fbclid=IwAR3xeouDbD0lwiyUJfqM6u6jwjLskFwHkzMnt7MMNRPyjOLpSkvuskt1AdY
https://www.marketwatch.com/story/nike-fears-movement-toward-new-balance-and-smaller-independent-brands-report-11634156107
https://www.complex.com/sneakers/why-new-balance-is-having-its-most-exciting-year-ever
https://www.complex.com/sneakers/2020/02/joe-freshgoods-new-balance-992-omn1s-interview
https://www.gq-magazine.co.uk/fashion/article/tom-holland-new-balance-237-trainers
https://www.esquireme.com/style/fashion/the-10-best-new-balance-sneakers-of-2021
https://footwearnews.com/2021/focus/collaborations/best-new-balance-collaborations-2021-1203223546/
https://urbjournal.com/how-new-balance-became-cool-again/
https://www.reddit.com/r/stockx/comments/m1pqyi/either_fake_or_huge_qc_issues_with_nike_cant/
https://www.reddit.com/r/Sneakers/comments/m6na78/what_happened_to_nike_quality_control/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook