แบบนี้สิ! เพื่อนร่วมงานยอดเยี่ยม ไม่เสียดายที่ได้รู้จักกัน
คนวัยทำงานหลายคนมีความคิดที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าเราไม่ควรที่จะคิดเป็นเพื่อนกับเพื่อนร่วมงาน ด้วยมีนิยามของคำว่า “เพื่อน” กับ “เพื่อนร่วมงาน” แบบที่ขีดเส้นแบ่งชัดเจนว่า 2 สถานะนี้ต่างกัน รู้ดีว่าคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีในชีวิตได้ หลายคนอาจไม่ชอบหน้าหรือไม่พอใจกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเพื่อนร่วมงาน แต่พอเข้าสู่โหมดการทำงานก็ต้องแยกแยะ เพราะพวกเขามีความสามารถและทำงานเก่งกันจริง ๆ อีกทั้งเวลาที่ร่วมงานกัน พวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่เลวเลย
ใชแล้ว…นิยาม “เพื่อนร่วมงาน” ไม่ใช่ความหมายว่าคนที่เราร่วมงานด้วยเลวร้ายไปเสียทุกคน มีเพื่อนร่วมงานที่ตัวเราเองไม่ได้มีอคติอะไรด้วย ทำงานเข้าขากันดี มีอะไรก็ช่วยเหลือกันตลอด ปรึกษาได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว และเท่าที่เคยสัมผัสนิสัยใจคอของพวกเขาก็น่าคบหาดี ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานประเภทนี้อยู่ใกล้ ๆ ตัว เป็นความคิดที่ดีเลยนะที่จะเข้าไปสานสัมพันธ์เพื่อให้ได้เป็นเพื่อนซี้กันจริง ๆ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันก็เอื้อต่อการทำงานด้วย ถ้าอย่างนั้นลองมาสังเกตเพื่อนร่วมงานใกล้ตัวดูสิ ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานยอดเยี่ยมที่ไม่เสียดายที่ได้รู้จักหรือเปล่า
ร่วมหัวจมท้ายกันตลอด
การทำงานร่วมกันคือการที่ต้องรับผิดชอบงานร่วมกัน แปลว่าต้องร่วมรับทั้งผิดและรับทั้งชอบ ในเมื่อคิดจะลงเรือลำเดียวกัน ก็ต้องพยายามพากันไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและไม่โยนใครให้ตกน้ำกลางทาง งานสำเร็จได้รับคำชมเชยก็ถือว่าเป็นผลงานที่ทำด้วยกัน ไม่ใช่จ้องจะเอาหน้าเอาดีเข้าตัวแค่คนเดียว ให้เครดิตคนที่มีส่วนร่วมเสมอ ถ้างานถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องร่วมกันรับคำตำหนิ คำวิจารณ์ ช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่โยนเรื่องแย่ ๆ ให้คนอื่นรับไว้แล้วหนีเอาตัวรอด ถ้าเพื่อนในทีมเป็นคนที่อยู่ร่วมรับผิดรับชอบในงานกับคุณเสมอ เขาคือคนที่น่าคบหาคนหนึ่งเลย
คนคิดบวกแต่ไม่ได้โลกสวย
ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างคนคิดบวกกับคนโลกสวย เพราะคนคิดบวก คือคนที่มีทัศนคติในการใช้ชีวิตเชิงบวก แบบที่ช่วยเสริมสร้างพลังบวกให้กับทั้งตัวเองแหละคนรอบข้าง มองทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง อะไรดีก็ว่าดี อะไรไม่ดีก็คือไม่ดี แต่เขาจะมีมุมมองแบบมองมุมกลับได้เสมอ อยู่ใกล้ ๆ แล้วชีวิตเป็นบวกตาม สุขภาพจิตดี แต่คนโลกสวยจะตรงกันข้าม เป็นพวกที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มองโลกในมุมที่ดีเกินไปจนอุดมคติ เรื่องไม่ดีก็ดันทุรังจะไปทำให้เป็นดี ปฏิเสธความเป็นจริง ซึ่งคนแบบนี้อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าเป็นพิษเป็นภัยไม่ใช่เล่นเลย
คุยเรื่องส่วนตัวกันได้
ว่ากันว่าเราไม่ควรคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก เพราะบางทีการคุยกับแปลกหน้า คนที่ไม่รู้จักกันก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นมากกว่าการคุยกับเพื่อนที่รู้จักกันดี ในช่วงเวลาที่เราอาจจะอยากระบายความกังวลใจบางเรื่องกับคนที่ไม่ได้รู้จักเราดีเท่ากับเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่รู้จะไปคุยกับคนแปลกหน้าที่ไหน เพื่อนร่วมงานอยู่ระหว่างเพื่อนและคนแปลกหน้า เรารู้จักกันในฐานะที่ต้องทำงานด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้จักกันดีชนิดอ่านใจจากสายตาได้ มันจึงมีความสบายใจบางอย่างที่จะคุยกันได้ เพราะเราก็คงคัดกรองคนฟังและเรื่องที่จะคุยแล้วว่าไม่ลึกมากจนเกินไป
ลางานแล้วเหงาเลย
ถ้าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเกิดลางาน ไม่ว่าจะลากิจ ลาป่วย หรือลาพักร้อน แล้วทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนชีวิตมีอะไรขาดหายไป รู้สึกเงียบ ๆ เหงา ๆ แม้ว่าจะยังทำงานได้ปกติก็จริง แต่รู้สึกว่าวันนี้ไม่ค่อยสนุกเลย ตอนกินข้าวกลางวันก็รู้สึกว่าข้าวไม่ค่อยอร่อย ไม่มีใครให้พูดคุย ก็แปลว่าเขาต้องเป็นคนที่สำคัญกับเราในระดับหนึ่งเลยล่ะ เพราะถ้าถึงขั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเราเวลาที่เขาไม่อยู่ได้ แบบนี้คือสนิทกันแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าเพื่อนร่วมงานปกติหายไปเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ปกติดี จะอยู่หรือไม่อยู่ก็เหมือนไม่อยู่อยู่แล้วเพราะไม่เคยสนใจ ก็คือคนที่ร่วมงานกันธรรมดา
ได้ประโยชน์ร่วมกันและไม่ขัดประโยชน์กันเอง
เป้าหมายของคนแต่ละคนที่เข้ามาทำงานที่เดียวกันก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น เพื่อให้ตัวเองมีงานทำ เพื่อให้มีรายได้ไว้ใช้จ่าย เพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ เพื่อ… มีอีกร้อยแปดเหตุผล ดังนั้น กับเพื่อนร่วมงานที่คบกันแบบที่สนิทสนมกันในที่ทำงานแต่เรายังรู้สึกว่าเราเองก็สามารถทำงานได้เต็มที่ดี ประโยชน์ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเดิม ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเอาเป็นเอาตาย ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเองไปเพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ขัดผลประโยชน์ใคร แถมยังเอื้อให้มีความสุขในการทำงานมากขึ้น ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว งานที่ออกมาก็มีคุณภาพ แบบนี้สิดี!