สัญญาณดีแต่ดันตกรอบ เราพลาดอะไรไปตอน “สัมภาษณ์งาน”

สัญญาณดีแต่ดันตกรอบ เราพลาดอะไรไปตอน “สัมภาษณ์งาน”

สัญญาณดีแต่ดันตกรอบ เราพลาดอะไรไปตอน “สัมภาษณ์งาน”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากคุณยื่นเรซูเม่สมัครงานไป แล้วถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน แปลว่าโปรไฟล์ของคุณพาคุณมาได้ถึงครึ่งทางแล้ว แต่การสัมภาษณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี่แหละที่เป็นสิ่งตัดสินว่าคุณจะได้ไปต่อหรือไม่

เมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง คุณรู้สึกว่ามีสัญญาณที่ดีแท้ ๆ ว่าคุณจะได้งานนี้ ทั้งความรู้สึกสบายใจ หรือการที่ทางบริษัทพูดคุยกับคุณเป็นเวลานานประหนึ่งว่ารู้จักกันมาก่อน หรือถูกพาไปแนะนำตัวกับคนอื่น ๆ ในองค์กร แต่ท้ายที่สุดคุณกลับถูกปฏิเสธ หรือไม่ได้รับการติดต่อกลับไปเลยดื้อ ๆ ซึ่งก็คงทำให้คุณข้องใจไม่น้อยว่าฉันพลาดอะไร ดังนั้น มาดูกันดีกว่าว่าทำไมคุณถึงไม่ได้งานที่นี่

1. ความประทับใจแรกไม่มี
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบุคลิกภายนอกเป็นด่านแรกที่ทำให้คุณดูโดดเด่นจากคนอื่น แต่ถ้าหากว่าการพบกันครั้งแรกระหว่างคุณกับบริษัทที่เป็นคนแปลกหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งจะจ้างงาน และอีกฝ่ายอยากได้งาน เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าใครมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่ากัน ซึ่งถ้าคุณแต่งตัวไม่เหมาะสม เนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง คะแนนความประทับใจก็หายไปแล้วกว่าครึ่ง ยิ่งถ้าคุณไปสายอีกก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะคุณสมบัติเรื่องการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะสำหรับการทำงาน

2. เขาทำดีกับทุกคน
ข้อนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกแย่สักนิด แต่คุณต้องยอมรับความจริง บริษัทที่อยู่ในสถานะเจ้าบ้านเรียกคุณที่อยู่ในสถานะแขกเข้าไปสัมภาษณ์งาน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าบ้านจะต้อนรับแขกเป็นอย่างดี และการปฏิบัติต่อแขกทุกคนก็ไม่ได้ต่างกัน ดังนั้น การที่เขาแสดงสัญญาณบวกกับคุณก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่แสดงกับคนอื่น เขาอาจจะพยายามเป็นกันเองเพื่อลดอาการประหม่าของคุณ และคุณต้องแยกให้ออกเพราะบางคำถามก็เป็นคำถามพื้น ๆ ในการสัมภาษณ์งาน เช่น เงินเดือน วันที่เริ่มงาน ซึ่งไม่ได้แปลว่าเขาจะจีบคุณมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมอย่างแน่นอนก็เป็นได้

3. เขาได้ตัวเลือกที่ดีกว่า
การที่บริษัทเรียกคนเข้ามาสัมภาษณ์งานนั้น เขามีตัวเลือกมากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว โดยหน้าที่ของเขาก็คือหาคนที่เหมาะสมที่สุดมาทำงาน ตรงนี้คุณอาจจะมั่นใจว่าคุณมีโปรไฟล์ดี สัมภาษณ์ได้ดี แถมสัญญาณหลังสัมภาษณ์ก็ไม่เลว แต่คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่นั่งรอสัมภาษณ์อยู่ข้าง ๆ หรือตรงข้ามคุณนั้นเขามีของแค่ไหน ซึ่งคุณสมบัติของเขาอาจจะโดดเด่นกว่าคุณก็ได้ ฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยเลยว่าทำไมบริษัทถึงไม่เลือกคุณ แต่ก็อย่าเพิ่งน้อยใจว่าคุณไม่เก่งหรือแย่อะไรแบบนั้น เพียงแค่คุณยังไม่ใช่สำหรับที่นี่เท่านั้นเอง

4. คุณพลาด (อย่างแรง) โดยไม่รู้ตัว
เมื่อถูกเรียกสัมภาษณ์งาน ใคร ๆ ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ากันทั้งนั้น แต่ด้วยความกดดันความตื่นเต้น ก็อาจทำให้เกิดอาการประหม่าจนเผลอทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ชื่ออีเมลที่ดูไม่มืออาชีพ หลุดคำหยาบ (มาก ๆ) ตอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนระหว่างที่นั่งรอ กรรมการสักคนอาจเดินมาเจอเข้าก็ได้ หรือขณะที่กำลังสัมภาษณ์คุณก็เผลอทำกิริยาที่เขาไม่ปลื้มออกมา คุณอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่บริษัทเขามองไกลกว่านั้น ว่าถ้าตอนเผลอคุณยังขนาดนี้ ถ้าเข้ามาทำงานแล้วสนิทชิดเชื้อกับคนอื่นและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแล้ว คุณอาจจะหนักกว่านั้นก็ได้

5. คุณสมบัติบางอย่างของคุณทำให้เขาลังเล
ย้อนกลับไปที่ “ตัวเลือกที่ดีกว่า” และ “พลาดโดยไม่รู้ตัว” บริษัทเรียกคุณไปสัมภาษณ์ ก็เพื่อดูการแสดงออก การพูดคุย ความสามารถในการสื่อสาร ทัศนคติ เป็นต้น แต่ถ้าคุณเกิดมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้บริษัทลังเลว่าจะเอายังไง จะจ้างหรือไม่จ้างดี หรือมีคนที่มีคุณสมบัติพร้อมกว่า เช่น คุณอาจจะบอกว่าคุณพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ถนัด แต่ถ้าคู่แข่งของคุณดันพร้อมในสิ่งที่คุณไม่พร้อม บริษัทก็ต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติพร้อมกว่าอยู่แล้ว เพราะสามารถทำงานได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเทรนเยอะ

6. งบประมาณในการจ้างงานมีจำกัด
ทุกวันนี้มีบริษัทเล็ก ๆ อยู่มากมายไปหมด ซึ่งบางที่งบประมาณในการจ้างงานเขาก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ทำให้แม้ว่าโปรไฟล์ของคุณจะเข้าตา คุณสมบัติดีพร้อม แต่ถ้าเงินเดือนที่คุณเรียกสูงเกินที่บริษัทตั้งไว้ (ปกติเปลี่ยนงานก็มักจะเรียกเงินสูงกว่าที่เก่าอยู่แล้ว) ถ้าบริษัทสู้ราคาไม่ไหว เขาอาจจะพยายามต่อรองก่อน แต่ถ้าเขามีตัวเลือกที่ใกล้เคียงกับคุณ แต่เซฟเงินกว่า เขาก็คงเลือกของดีราคาประหยัดอยู่แล้ว อย่าลืมว่าธุรกิจเป็นองค์กรที่แสวงหาผลกำไร ไม่ใช่องค์กรการกุศล ถ้าจ้างแล้วไม่คุ้ม บริษัทก็มีสิทธิเลือกและปฏิเสธอยู่แล้วต่อให้คุณจะเพียบพร้อมแค่ไหนก็ตาม

7. ตัวตนจริง ๆ ของคุณอันตรายเกินไป
สังเกตหรือไม่ว่าใบสมัครที่คุณต้องกรอกก่อนเข้าสัมภาษณ์นั้น จะมีช่องที่คุณต้องกรอกโซเชียลมีเดียของคุณด้วย แล้วมีหรือที่บริษัทจะขอคุณไปเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร โดยเฉพาะการรู้จักคุณให้มากขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย เขาจะเข้าไป “ส่องตัวตน” ของคุณ เพราะหลายคนมีความคิดว่านี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว ฉันจะทำอะไรก็ได้ แต่คุณคงลืมว่าที่ของคุณนั้นมันเผยแพร่สู่สายตาคนทั่วโลก ถ้าทัศนคติที่คุณแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียมันไม่ไหว บริษัทก็จะมองว่าคุณเป็นคนที่อันตรายเกินไปก็ได้ ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าแสดงอะไรแย่ ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียเลย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook